“ใช่แล้ว ไปเถอะ อยู่ในวังก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” โม่ฮว่าเหวินโบกมือ พลิกกายขึ้นหลังอาชา แล้วรั้งหัวม้าหันไปทางโม่เสวี่ยถง “ถงเอ๋อร์ไม่ต้องเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับอันใดแล้ว แค่จัดแต่งทรงผมเล็กน้อยก็พอ อยู่ที่วังไม่เหมือนอยู่บ้านเรา แม้จะบอกว่ามิอาจวางตัวเหิมเกริมตามแต่ใจ แต่ก็อย่าอ่อนแอจนเสียชื่อจวนโม่”
โม่เสวี่ยถงยังอยู่ระหว่างไว้ทุกข์ไม่อาจแต่งกายงดงามหรูหราเกินไป โม่ฮว่าเหวินนึกถึงนิสัยของบุตรสาว บางครั้งก็ดูตื่นกลัวเมื่อไปแปลกที่ เกรงว่าความนุ่มนิ่มขี้กลัวของนางจะทำให้ถูกผู้อื่นรังแก จึงไม่วางใจกล่าวด้วยความเป็ห่วงอีกสองสามประโยค
“เ้าค่ะ ท่านพ่อสบายใจได้ มีพี่หญิงใหญ่อยู่ด้วยทั้งคน แม้ถงเอ๋อร์จะไม่รู้ความนัก แต่หากไม่เข้าใจสิ่งใดพี่หญิงใหญ่ต้องช่วยลูกได้แน่นอน ใช่ไหมเ้าคะพี่หญิงใหญ่” โม่เสวี่ยถงหัวใจเต้นถี่ ตอบโม่ฮว่าเหวินอย่างเชื่อฟัง แล้วหันมายิ้มหวานกล่าวกับโม่เสวี่ยิ่
ภายในใจกระจ่างชัดสมบูรณ์แล้ว
ที่รูปการณ์ออกมาเป็แบบนี้ก็เพื่อให้โม่เสวี่ยิ่ได้เข้าวัง
ที่แท้โม่เสวี่ยิ่ก็คิดจะเข้าวังด้วยวิธีนี้นี่เอง ประเสริฐยิ่ง! ไม่เพียงแต่ทำให้บิดาไม่รู้สึกต่อต้านที่นางลอบออกมาจากจวนโดยพลการ ยังทำให้บิดารู้สึกผิดต่อนางด้วย และแค่แสดงบทบาทง่ายๆ เท่านี้ก็ทำให้บิดาจำเป็ต้องพานางไปร่วมงานเลี้ยงในวัง แผนการของนางไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ล้วนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
แต่นางจะมีสายสัมพันธ์กับฉู่อ๋องได้อย่างไร งานเลี้ยงในวังครั้งที่แล้ว หากฉู่อ๋องมีเยื่อใยเมตตาสงสารสักนิด นางก็คงไม่พบจุดจบน่าอนาถแบบนั้น การกระทำของฉู่อ๋องเมื่อครู่เป็แค่เหตุบังเอิญหรือว่ามีสิ่งอื่นแอบแฝง แต่ถึงจะเป็เช่นนั้น นี่ดูไม่คล้ายเป็เื่ที่สตรีในห้องหอคนหนึ่งจะทำได้ แผนการที่มีความละเอียดซับซ้อนทั้งยังเหนือชั้นถึงเพียงนี้ ต่อให้โม่เสวี่ยิ่จะมากเล่ห์เยี่ยงไรก็ไม่อาจทำได้
เป็ฉินอวี้เฟิงหรือ? เขาเริ่มลงมือแล้ว?
มือของโม่เสวี่ยถงที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
นับั้แ่กลับมาเมืองหลวง เนื่องจากคนสกุลฉินก็ย้ายมาด้วย ฉินอวี้เฟิงจึงไม่ค่อยได้มาจวนโม่อีก แม้ว่าจะมาคารวะบิดาหรือพูดคุยกับโม่อวี่เฟิงบ้าง แต่ก็มิได้เข้ามาถึงเรือนชั้นใน วางตัวเป็สุภาพบุรุษที่เคร่งครัดในธรรมเนียม รู้กาลเทศะสิ่งใดควรไม่ควรอย่างสมบูรณ์แบบ
แต่แม้ว่าเขาจะไม่มาปรากฏตัวก็มิได้หมายความว่าโม่เสวี่ยถงจะไม่หวาดระแวง
อาจเป็เพราะความหวาดกลัวในความทรงจำส่วนลึกของชาติปางก่อน ผู้ที่อยู่เื้ัโม่เสวี่ยิ่บีบคั้นนางทุกก้าวย่างแทบหายใจไม่ออก ทุกครั้งที่ฉินอวี้เฟิงปรากฏตัวโม่เสวี่ยถงจึงระวังตัวเป็พิเศษ วิเคราะห์ทุกความเคลื่อนไหว ตีความทุกการกระทำ บางครั้งแค่คำพูดประโยคเดียวของเขาก็เก็บไปพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่หลังจากที่นางเข้ามาเมืองหลวงก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยออกมาเคลื่อนไหวสักเท่าไร
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็โม่เสวี่ยิ่และฟางอี๋เหนียงที่วางแผนลงมือกับนาง แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกแตกต่าง วิธีที่แเีและได้ผลแบบนี้โม่เสวี่ยิ่ไม่น่าจะคิดออกมาได้ หรือว่าเขารอไม่ไหว คิดจะลงมือแล้ว? หากเขามิได้ชอบพอโม่เสวี่ยิ่ แล้วไยต้องช่วยเหลือนาง เขา้าสิ่งใดกันแน่
หรือว่าโม่เสวี่ยิ่สามารถทำให้เขาได้สิ่งใด?
คำถามแต่ละข้อประดังเข้ามากดทับในหัวใจจนนางรู้สึกหายใจไม่ออก เบื้องหน้าสายตาคล้ายเห็นมหานทีแห่งความมืดมิดอันเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด คลื่นั์สูงเสียดฟ้ากำลังโถมเข้าหานางที่เกาะอยู่บนแผ่นไม้กระดานเล็กๆ เคว้งคว้างเดียวดายอยู่ท่ามกลางคลื่นลม ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ไหน และความมืดมิดจะยาวนานไปถึงเมื่อใด
“คุณหนู... คุณหนู...” โม่เยี่ยเป็คนแรกที่รู้สึกได้ว่าโม่เสวี่ยถงผิดปรกติ จึงคว้ามือนางมาจับถึงทราบว่าคุณหนูของตนกำมือแน่น อุ้งมือเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเย็น จึงกระซิบเรียกพลางถ่ายทอดปราณอุ่นให้
“น้องสามเป็อะไร ไม่สบายหรือ เดี๋ยวพวกเราไปที่นั่นแล้วนั่งพักผ่อนสักครู่ดีหรือไม่” น้ำเสียงของโม่เสวี่ยิ่นุ่มนวลและเต็มไปด้วยความห่วงใย แววตาดูจริงใจ ต่อหน้าผู้คน นางก็มักแสดงภาพลักษณ์เป็พี่สาวแสนดีเช่นนี้อยู่เสมอ
โม่เสวี่ยถงสูดหายใจลึก คลายมือออก แล้วตบหลังมือของโม่เยี่ยแสดงให้รู้ว่าตนเองไม่เป็อะไร นางเงยหน้าขึ้นมุมปากหยักโค้งทอยิ้มอ่อนโยน “ทำให้พี่หญิงใหญ่เห็นเื่น่าขันแแล้ว เมื่อครู่รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ยังใกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว พวกเราไปเลือกชุดสวยๆ กับเครื่องประดับงามๆ ที่เข้าชุดกันให้พี่หญิงใหญ่ดีกว่า พี่หญิงงดงามถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีพร์ความสามารถ จะต้องโดดเด่นกว่าคุณหนูทุกคนในงานเลี้ยงแน่นอน”
โม่เสวี่ยิ่รู้ว่ายามนี้นางควรทำตัวให้เหมือนปรกติ ยิ้มให้ดูแสนดีและงดงามที่สุด แต่นางก็ทำไม่ได้จริงๆ คำพูดของโม่เสวี่ยถงทำให้สีหน้าของนางชะงักค้าง เมื่อครู่ตนเองยังถามแสดงความห่วงใยว่านาง้าพักผ่อนก่อนหรือไม่ แต่ถ้อยคำที่โม่เสวี่ยถงย้อนมากลับกลายเป็ว่าตนเองอยากไปร่วมงานเลี้ยง จึงชี้ชวนให้ไปที่นั่นเพื่อเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับ แต่นางก็ไม่อาจแก้ตัวได้ เพราะพระดำรัสของฉู่อ๋องเมื่อครู่ทุกคนต่างได้ยินชัดเจน
ความหมายของท่านพ่อก็ชัดเจน เช่นนั้นเสื้อผ้าเครื่องประดับที่ไปเลือกก็มีเพียงของตนเองผู้เดียว แต่ถึงจะเป็เช่นนี้นางก็ไม่ควรสื่อความหมายออกมาแบบนั้นกระมัง น้องสามผู้ซึ่งเคยขวัญอ่อนเริ่มแผ่อำนาจแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน แม้แต่นางเองก็ถูกข่มจนเกือบพลิกตัวขึ้นมาไม่ทัน
ภายใต้ก้นบึ้งดวงตาฉายแววเคียดแค้นชิงชัง แต่ไม่นานนักก็กลับมาสู่สภาพปรกติ ถึงเวลาตนเองอยากจะเหยียบย่ำอีกฝ่ายให้จมดินอย่างไรก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่จำเป็ต้องทำยามนี้คืออดทน
ที่ร้านขายเสื้อผ้ามีอาภรณ์ให้เลือกหลายแบบ เนื่องจากเป็ร้านที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ทั้งอาภรณ์และเครื่องประดับล้วนงดงามหรูหราเป็เลิศไม่ว่าสตรีใดเห็นแล้วหัวใจย่อมหวั่นไหว โม่เสวี่ยิ่เข้าไปเลือกเสื้อผ้าโดยมีขันทีเป็ผู้ช่วยอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าเดิมทีคิดว่าจะเลือกอาภรณ์ที่ดูเรียบง่ายและสง่างาม แต่ท้ายที่สุดก็อดใจไม่ไหว เลือกชุดกระโปรงที่ดูเฉิดฉายและหรูหราในแบบที่ตนเองชอบที่สุด
ไม่ว่าสตรีใดก็ล้วนปรารถนาที่จะแต่งตัวให้ตนเองดูโดดเด่นกว่าใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายของนางในวันนี้ก็คือการดึงดูดความสนใจของทุกคนในงานเลี้ยง นางไม่ชอบหลี่โย่วโม่ แต่เมื่อฟังจากความที่ท่านพ่อสื่อความหมายออกมาแล้ว กลับกลายเป็การประวิงเวลาเพียงชั่วระยะหนึ่ง จนข่าวฉาวซาลงไป สกุลหลี่กับสกุลโม่ค่อยมาคุยเื่การแต่งงานอีกครั้ง
โม่เสวี่ยิ่เป็คนมักใหญ่ใฝ่สูง ทะนงตนว่าเป็สตรีที่มีพร์ความสามารถ รูปโฉมก็งดงามตราตรึง แล้วจะเห็นบุรุษชื่อเสียงย่ำแย่ที่สุดในเมืองหลวงอย่างหลี่โย่วโม่อยู่ในสายตาได้อย่างไร ถึงจะเป็บุตรภรรยาเอกของท่านเสนาบดี แต่ก็เป็เพียงชายหนุ่มเสเพลเหยาะแหยะเป็โคลนเหลว นอกจากนึกรังเกียจเดียดฉันท์แล้ว นางยังไม่มีความรู้สึกดีด้วยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำตอนนี้ยังรู้สึกหวาดกลัวเขาอีกด้วย
เมื่อก่อนนางได้ยินผู้อื่นพูดถึงแต่ความน่ารังเกียจของบุรุษผู้นี้ นับั้แ่หลี่โย่วโม่ตบหน้านางโดยไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย นางก็ยิ่งกลัว เขาลงมือเหี้ยมโหดนัก คุณชายในเมืองหลวงล้วนสุภาพอ่อนโยนไม่มีผู้ใดลงไม้ลงมือทำร้ายสตรี แต่คนผู้นั้นโอหังเหิมเกริมถึงขั้นกล้าลงมือกับนางในจวนโม่
หากต้องเป็ภรรยาของคนผู้นั้นนางยอมตายเสียดีกว่า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ยอมแต่งให้หลี่โย่วโม่!
ดังนั้นงานเลี้ยงครานี้นางจะไม่รีบร้อน เพียงแค่ปรากฏตัวอย่างโดดเด่น ใช้ความอ่อนหวานสง่างาม และรูปโฉมของตนดึงดูดความสนใจของทุกคน กลบข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับตนเองไปเสีย ในขณะเดียวกันก็หว่านเสน่ให้บุรุษสกุลดีเ่าั้ หรือบางทีอาจจะเป็เยี่ยนอ๋อง...
แน่นอนว่ายังมีอีกเป้าหมายหนึ่งรออยู่
นางเลือกเสื้อแขนยาวที่กุ๊นขอบสีบานเย็นเข้ากับชุดกระโปรงหรูฉวินเกาะอกสีบานเย็นปักดิ้นทองสองชั้นหางลากยาว แม้เสื้อจะเป็ผ้าฝ้ายแต่เมื่อรัดสายคาดใต้อกทำให้ร่างดูอรชรอ้อนแอ้น เกล้ามวยสูงปักปิ่นผมดอกเฉียงเวย กลีบดอกสามชั้นทำมาจากหินลายเมฆา เกสรฝังอัญมณีสีชมพู สวมตุ้มหูไข่มุกหนานจูขนาดเท่านิ้วโป้งสีสันงดงาม เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องครบครันยิ่งงามเฉิดฉันดึงดูดสายตาผู้คน
ผนวกกับดวงตาอ่อนโยนประดุจสายน้ำที่ทอประกายหวานหยาดเยิ้ม แม้แต่บุปผายังต้องริษยาในความงามอันน่าตื่นตะลึง
ยามที่โม่เสวี่ยิ่ปรากฏตัวในงานเลี้ยง สายตาของผู้คนส่วนใหญ่ดั่งถูกมนต์สะกด เนื่องจาก่นี้มีเื่เกิดขึ้นมากมาย จึงมิได้ออกงานเลี้ยงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ธิดาของขุนนางใหม่ที่เพิ่งย้ายมาเมืองหลวงยังไม่รู้จักนาง ต่างตกตะลึงไปกับความงามเฉิดฉายเปล่งประกายของนาง พากันกระซิบถามว่าสตรีงามเพริดพริ้งผู้นั้นคือผู้ใด
ยามที่รู้ว่านางคือคุณหนูใหญ่สกุลโม่ที่เพียบพร้อมด้วยพร์ความสามารถ ต่างก็อุทานด้วยความชื่นชม
ทั้งรูปโฉมและท่วงท่างามสง่าจับตาเยี่ยงนั้นก็สมดั่งคำร่ำลือทุกประการ มีคุณหนูบางคนที่คุ้นเคยกัน เนื่องจากมิได้พบกันนานแล้ว ต่างเข้ามารายล้อมพูดคุยหยอกเย้าอย่างเริงรื่น
ทันทีที่โม่เสวี่ยถงมาถึงประตูวังก็พบกับลั่วิจู เพราะนางไม่อยากเสแสร้งแสดงเป็พี่น้องรักกันกับโม่เสวี่ยิ่ โม่เสวี่ยถงจึงยอมให้ลูกผู้พี่จูงมือตนเดินออกไปอีกด้านหนึ่ง
แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะพาสาวใช้มาสองคน แต่ขณะที่เข้าวังสามารถพาเข้ามาได้เพียงคนเดียว ด้วยกลัวว่าในวังอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด นางจึงพาโม่เยี่ยซึ่งเป็วรยุทธ์เข้ามาด้วยกัน แล้วให้โม่อวี้รออยู่นอกประตูวัง
งานเลี้ยงเริ่มต้นด้วยการถวายพระพรแด่ไทเฮาเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และหลังจากงานเลี้ยงฉลองก็ยังมีกิจกรรมชมโคมไฟ
ผู้ที่สามารถเข้าเฝ้าถวายพระพรล้วนเป็ขุนนางชั้นสูงคนสำคัญและครอบครัว รวมถึงเชื้อพระวงศ์และสมาชิกจวนติ้งกั๋วกงทั้งหมด โม่ฮว่าเหวินเป็เพียงขุนนางขั้นสามไม่อาจเทียบกับผู้อื่นได้ ดังนั้นโม่เสวี่ยถงจึงไม่มีโอกาสได้ชมพระบารมีของไทเฮา
ไทเฮาพระองค์นี้ก็มีเชื้อสายมาจากสกุลหลิง ยามนั้นมีศักดิ์เป็อาหญิงของจวนติ้งกั๋วกง นางให้กำเนิดพระโอรสและพระธิดาอย่างละหนึ่งพระองค์ น่าเสียดายพระโอรสของพระนางสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เหลือเพียงหลานชายคนหนึ่งที่สืบทอดบรรดาศักดิ์อ๋องต่อจากบิดา ซึ่งบัดนี้ทั้งพระธิดาและหลานชายคนเดียวของพระนางต่างก็อยู่แคว้นเยี่ยน คนหนึ่งถูกส่งไปเป็องค์ประกัน อีกคนหนึ่งก็อภิเษกสมรสขึ้นเป็ฮองเฮา ซึ่งก็คือพระมารดาของไป๋อี้เฮ่ารัชทายาทแคว้นเยี่ยนนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ไทเฮาจึงทรงโปรดปรานพระนัดดานอกราชวงศ์พระองค์นี้เป็ที่สุด
ได้ยินจากเหล่าฮูหยินและคุณหนูที่ได้เข้าเฝ้าเล่ากันว่า ของขวัญที่ไทเฮาทรงถูกพระทัยมากที่สุดก็คือตำราพิณโบราณของไป๋อี้เฮ่า ได้ยินว่าตำราพิณเล่มนั้นไทเฮาทรงตามหามานานแล้ว หลิงเฟิงเยียนฟ้อนรำถวายพระพรงดงามตรึงตาตรึงใจจนได้รับคำชมอย่างล้นหลาม เหนือความคาดหมายที่สุดเห็นทีจะเป็เซวียนอ๋องเฟิงเจวี๋ยหร่านที่ถวายฉากกั้นเก้าบาน แต่ละบานสามารถดึงออกมาได้อีกเก้าฉากเล็ก เป็เก้าเก้าแปดสิบเอ็ด กล่าวได้ว่าเป็ของขวัญที่มีความหมายพิเศษยิ่ง
เมื่อเชื่อมโยงกับชาติภพที่แล้ว งานวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาเป็วันเปิดตัวของหลิงเฟิงเยียน ในฐานะยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉิน นำพาเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาสู่จวนติ้งกั๋วกง หากย้อนเมื่อหลายปีก่อน ฮองเฮาในปัจจุบันก็อาศัยความสามารถและรูปโฉมอันโดดเด่นขึ้นมาเป็มารดาของแผ่นดิน
หากย้อนกลับไปยังความทรงจำที่เหลืออยู่ จวนติ้งกั๋วกงก็คงวางแผนให้คุณหนูผู้นี้ขึ้นมาเป็ฮองเฮาปกครองวังหลัง ตามคำเล่าขานที่สืบต่อกันมาว่าฮองเฮาทุกพระองค์จะต้องเป็สตรีที่มาจากสกุลหลิงของจวนติ้งกั๋วกง
แต่เหตุการณ์ในตอนนี้กับเมื่อยี่สิบปีย่อมไม่เหมือนกัน ตอนนั้นจักรพรรดิจงเหวินตี้ทรงเป็รัชทายาทอย่างถูกต้อง และแต่งคุณหนูจวนติ้งกั๋วกงเป็ชายาเอก ทั้งยังมีไทเฮาหนุนอยู่เื้ั จึงสามารถขึ้นมาเป็ฮองเฮา แต่ตอนนี้จักรพรรดิจงเหวินตี้มีพระโอรสสามพระองค์ นอกจากเฟิงเจวี๋ยหร่านที่ทุกคนต่างมองข้าม ก็ยังเหลืออีกสองพระองค์ที่ยังไม่แน่ว่าผู้ใดจะได้ครองตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้น
สกุลหลิงอาศัยสิ่งใดจึงมั่นใจได้ว่าคุณหนูผู้งดงามที่สุดของพวกเขาจะได้ครองตำแหน่งสูงสุดในวังหลัง
หรือว่าจักรพรรดิทรงมีพระราชประสงค์แต่งตั้งรัชทายาทในงานเลี้ยงคืนนี้?
เหตุผลที่ยังไม่เป็รูปธรรมข้อนี้ทำให้ทุกคนยิ่งพูดคุยกันอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยจะยังไม่เลือกเข้าข้างผู้ใดทั้งสิ้น หาไม่แล้วจะเป็การชักนำเภทภัยมาสู่วงศ์ตระกูล
'ตำแหน่งรัชทายาท' บุปผาแห่งเกียรติยศยิ่งใหญ่นี้จะตกเป็ของผู้ใด