คำพูดของหยางเฉินคล้ายกระแสไฟฟ้าช็อตเข้าไปที่กลางใจของถังถัง
ทั้งสองอยู่ภายในห้องเล็กอย่างเงียบเชียบจนสุดท้ายหยางเฉินก็ปิดคอมพิวเตอร์และเอ่ยถามขึ้นว่า
"อยากจะกลับบ้านหรือยัง"
ถังถังหน้ามุ่ยกล่าวว่า "ยังค่ะ"
"ไม่เชื่อฉันงั้นหรือ?" หยางเฉินส่ายหัว "แม้ความยากจนของหลายๆ คนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยก็ตามแต่ฉันคิดว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายอะไร ทำไมไม่กลับบ้านซะล่ะข้างนอกนี้มีแต่อันตรายเต็มไปหมด"
ถังถังมองหยางเฉินดวงตาเต็มไปด้วยประกาย
"ลุงลุงพูดอย่างนี่หนูก็ยิ่งรักลุงมากยิ่งขึ้นไปอีกหนูอยากรู้ว่าลุงไปยังสถานที่แห่งนั้นทำไม หนูอยากรู้อดีตของลุง... ลุงไม่รู้เหรอว่าผู้หญิงทุกคนสนใจเื่ราวการผจญภัยของผู้ชายมากๆ?"
"อย่าเปลี่ยนเื่เธอบังอาจหนีออกจากบ้านแสดงว่าเธอยังคงเป็เด็กอยู่ ฉันจะไปส่งเธอกลับบ้าน"
"ลุงหนูอยากฟังคำสั่งสอนของลุงต่อ"
"หืม?"
"ฟังลุงสั่งสอนแล้วหนูรู้สึกเหมือนมีพ่อ..."ถังถังเหม่อมองออกไป "หนูไม่ได้หมายถึงพ่อแท้ๆ แต่หนูหมายถึงคนที่คอยพูดคุยเล่นด้วยกัน ทั้งยังสั่งสอน..."
หยางเฉินถึงกับเอียงอายจากลุงเปลี่ยนเป็พ่ออย่างงั้นหรือ!?
"อันที่จริง..." ถังถังพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มพลางมองหยางเฉิน
"ถ้าพี่สาวบอกให้ลุงเป็พ่อของหนูหนูก็ยอมรับได้ แต่ลุงเป็คนที่น่าสงสารจริงๆ ถึงลุงจะไม่ธรรมดาแต่พี่สาวของหนูเป็ผู้หญิงที่งดงามเพียบพร้อม การจะหาผู้ชายสักคนหนึ่งย่อมต้องเป็ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่พนักงานเงินเดือนน่าเบื่อแบบนี้"
หยางเฉินััหัวของถังถัง
"ดูจากที่แม่ของเธอมองหาผู้ชายอื่นแทนที่จะสนใจลูกสาวแล้ว ถ้าฉันมีลูกสาวแบบนี้ฉันคงปวดหัวตาย"
เมื่อถูกหยางเฉินจับหัวไม่ปล่อยแบบนี้ถังถังก็เกิดอาการไม่พอใจ เธอย่นจมูกก่อนกล่าวว่า
"ลุงถึงหนูจะยังไม่ใช่ผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ลุงจะทำเหมือนดูเป็เด็กไม่ได้นะ อ๊า!"
"เธอสัญญาว่าจะกลับบ้านหรือยังล่ะ" หยางเฉินกล่าว
ปากน้อยๆ ของถังถังบ่นพึมพำออกมาไม่กี่คำ จากนั้นก็นำโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาแล้วกดโทรออก
ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงที่เจือไปด้วยความกังวลของหญิงสาวดังจากปลายสาย
"ถังถังเด็กโง่! ไปอยู่ที่ไหนเนี่ย ทำไมยังไม่กลับบ้าน!?"
ถังถังรีบดึงโทรศัพท์ออกจากหูทันที
"พี่สาวจ๋า หนูผิดไปแล้ว ช่วยส่งคนมารับหนูหน่อย"
"รู้ว่าผิดก็ยังจะออกไปอีก! รู้มั้ยว่ามันอันตรายแค่ไหน แล้วทำไมยัง..."
"พี่สาวสุดสวยพี่ยังจะให้หนูกลับบ้านหรือเปล่า!"ถังถังถอดถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
"เด็กดื้อบอกกี่ครั้งแล้วให้เรียกแม่ แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?"
"อยู่โซนเหนือของถนนการค้าใจกลางเมือง"
"ฉันจะส่งคนไปรับทันทีอย่าไปไหนเด็ดขาด เข้าใจมั้ย!"
"หนูรู้ค่ะพี่สาว... พี่ช่างขี้บ่นเหมือนคนวัยหมดประจำเดือนเลย"
"บอกว่าให้เรียกแม่! เรียกแม่เดี๋ยว..."
ไม่รอให้หญิงสาวพูดจบถังถังก็กดวางสายและถอนหายใจออกมา
หยางเฉินฟังบทสนทนานี้อย่างขบขันและยิ้มกล่าวว่า
"แม่ของเธอใจร้อนจริงๆ"
"ไม่เป็ไรหรอกค่ะลุง หนูจะกลับบ้านแล้ว พี่สาวคงเป็ห่วงหนูมากจริงๆ ถึงได้แสดงออกแบบนั้น" ถังถังแย้มยิ้มออกมาอย่างซุกซน
เมื่อเห็นการตัดสินใจของถังถังแล้วหยางเฉินก็พาเธอออกจากร้านอินเทอร์เน็ต และมุ่งตรงไปยังโซนเหนือทันที
แต่แล้วจู่ๆ ถังถังก็ถามหยางเฉินว่า
"ลุง วันที่ 9 เดือนหน้าเป็วันเกิดของพี่หยวนเย่ลุงจะไปมั้ย"
หยางเฉินพยักหน้า
"เธอรู้?"
"เขาปิดบังหนูไม่ได้หรอก" ถังถังกล่าวอย่างภาคภูมิใจ "อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ จัง"
หลังจากนั้นไม่นานนักรถคาดิลแลคสีเทาเงินก็มาถึงพร้อมด้วยสองบอดี้การ์ดที่ลงมาจากรถและจ้องมองหยางเฉินอย่างระมัดระวัง
เมื่อถังถังเข้าไปในรถแล้วเธอก็เปิดกระจกลงยื่นหน้าเศร้าๆ ออกมาพูดกับหยางเฉินว่า
"ลุงคะเมื่อไรหนูจะรู้ว่าหนูโตเป็ผู้ใหญ่แล้วหรือคะ"
เด็กคนนี้ก่อนจากกันยังคงหาปัญหามาให้เขาเสมอเธอควรจะพูดว่า ''ลาก่อน'' หรือไม่ก็ ''บ๊ายบาย'' สำหรับนักคิดนักปรัชญาอย่างหยางเฉินแล้ว เขาจึงอดกล่าวไม่ได้ว่า
"หากวันหนึ่งเธอคิดว่าสิ่งต่างๆล้วนไม่มีค่าให้ลดตัวไปยุ่งเกี่ยว หรือทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลายเป็ไรค่าเมื่อไร เมื่อนั้นแล้วคำว่าผู้ใหญ่ล้วนอยู่ไม่ไกล"
ถังถังกะพริบตาพยักหน้าเล็กน้อย และโบกมือให้หยางเฉิน
"ลาก่อนค่ะลุง!"
เมื่อมองรถขับไกลออกไป หยางเฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกตอนนี้เป็เวลาบ่าย 3แต่หยางเฉินยังไม่้ากลับไปทำงานที่บริษัทเขานึกขึ้นได้ว่า่นี้ไม่มีเวลาไปหาเฉียงเวย นั่นทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาทันที
โชคดีที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบาร์โรสหยางเฉินใช้เวลาแค่ 20นาทีก็มาถึงบาร์โรสแล้ว
ภายในบาร์เวลานี้มีแขกไม่มากนักแต่ผู้คนที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์กลับไม่ใช่เสี่ยวจ้าวคนเดิมอีกต่อไป แต่กลับเป็เฉินหรงแทน
เฉินหรงในเวลานี้ตัดผมสั้นดูเรียบร้อยเป็เสน่ห์ที่มีในสาวหล่อ มันค่อยๆ กลายเป็ความมั่นใจและมีสไตล์ที่ชัดเจนมากขึ้นหยางเฉินสามารถรับรู้ได้ถึงความดื้อรั้นแบบผู้ชายจากตัวเธอ
เมื่อเห็นหยางเฉินเปิดประตูเข้ามาเฉินหรงก็มีท่าทีตื่นเต้น และร้องเรียกหยางเฉินเป็การใหญ่
"พี่ใหญ่"
หยางเฉินไม่ได้เจอเฉินหรงและพี่ชายของเธอเฉินป๋อมาเนิ่นนานถึงเอ่ยถามว่า
"เฉินหรงพี่ของเธอสบายดีหรือเปล่า"
"พี่ชายสบายดีค่ะตอนนี้พี่เขาทำงานเป็นักเขียนในคอลัมน์นิตยสาร ฉันคิดว่าเขาต้องมีความสุขมากกว่าในอดีตที่ผ่านมาแน่ๆ"เฉินหรงกล่าว
หยางเฉินประหลาดใจเล็กน้อยแต่ถึงยังไงเฉินป๋อก็จบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และบางทีมันอาจจะงานที่เขาชอบจริงๆ ก็ได้
เฉินหรงในตอนนี้ต่างออกไปจากครั้งแรกที่มาจงไห่เธอคล้ายกับเป็สมาชิกในบาร์นี้เต็มตัว นั่นทำให้หยางเฉินอดหยอกล้อเธอไม่ได้
"เฉินหรงดูเหมือนเธอจะทำหน้าที่นี้ได้ดีทีเดียว เสี่ยวจ้าวได้ถูกไล่ออกก็คราวนี้แหละ"
เฉินหรงหน้าแดงกล่าวว่า
“พี่เสี่ยวจ้าวได้รับมอบหมายให้ไปจัดการงานใหญ่และตอนนี้พี่เฉียงก็วุ่นวายอยู่กับการบริการจัดการคน ฉันเลยมารับหน้าที่นี้แทนนี่ล่ะค่ะ"
หยางเฉินเห็นเฉินหรงมีความเป็อยู่ที่ดีก็ไม่ได้ถามอะไรมากความอีกเขาเดินตรงไปยังห้องของเฉียงเวยทันที
เมื่อเข้าไปในห้องนอนขนาดใหญ่หยางเฉินก็เห็นภาพที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน
ตอนนี้เฉียงเวยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตรงผนังห้องนอนด้วยชุดนอนธรรมดาผ้าคลุมสีขาว ผมยาวยุ่งเหยิงเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีด แว่นตาสีดำมือกำลังถือปากกาหมึกซึมขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่ และข้างๆ เป็หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงรายงานมากมาย
เมื่อพบว่าหยางเฉินเดินเข้ามาในห้อง เฉียงเวยก็เหลือบสายตามองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยเธอวางปากกาลง ถอดแว่นตาออก ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มก่อนกล่าวว่า
"คุณสามีมาหาฉันตอนกลางวันแบบนี้ คุณโดดงานมาหรือยังไงเอ่ย?"
หยางเฉินเดินไปหาเฉียงเวยแล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาดู ปรากฏว่ามีแต่กรอบแว่นไม่มีเลนส์ จึงหัวเราะกล่าวว่า
"ผมแวะมาดูผู้หญิงของผมไม่ได้เหรอ? แต่ก็ไม่คิดเลยว่าลักษณะท่าทางตอนทำงานของคุณช่างเหมือนพนักงานออฟฟิศ"
"พนักงานออฟฟิศที่ไหนใส่ชุดนอนทำงานกันคะ?"เฉียงเวยคว้าแว่นตาคืนจากหยางเฉินพร้อมกล่าวอย่างเอียงอายว่า "อันที่จริงฉันแค่เล่นเป็หนอนหนังสืออยู่แต่มันช่างน่าอึดอัดเสียจริงๆ”
"แล้วเป็อย่างไรบ้างแผนการที่วางไว้เป็ไปด้วยดีหรือเปล่า?" หยางเฉินถามอยากรู้อยากเห็น
เฉียงเวยส่ายหัว
"โลกใบนี้ย่อมมีสีขาวและดำฉันไม่คิดว่าวงการโลกใต้ดินจะแย่ไปเสียทั้งหมดหากแต่ที่แย่คือรายได้จากการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ ลักลอบนำเข้า และอื่นๆ อีก ถ้าไม่มีรายได้พวกนี้ มันก็ไม่เพียงพอต่อการอยู่รอด ดังนั้นฉันจะสร้างบริษัทที่ขาวสะอาดให้มากขึ้นเพื่อเป็รายได้ทดแทน"
หยางเฉินเห็นด้วยและกล่าวว่า
"ใช่โลกมีสองด้านเสมอ เช่นที่ญี่ปุ่นหากไม่มียากูซ่าก็จะเกิดความวุ่นวาย ส่วนอิตาลีหากขาดพวกมาเฟียไปครึ่งประเทศจะเป็อัมพาตไปทันที"
ดวงตาของเฉียงเวยเปล่งประกายอยากรู้อยากเห็น
"คุณสามีคะ ระหว่างยากูซ่า มาเฟีย หรือคุณ ใครน่ากลัวกว่ากันเอ่ย?"
หยางเฉินประหลาดใจครู่หนึ่งถึงเขาจะไม่จำเป็จะต้องปิดบัง แต่การไม่บอกอาจเป็ผลดีกว่า
"ผมบอกได้เพียงว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับผม"
"เหมือนเทพบน์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับจักรพรรดิบนพื้นดินใช่มั้ย?"เฉียงเวยถาม
"เกือบใช่"
เฉียงเวยไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อเธอลุกขึ้นยืนบิดี้เีเล็กน้อยจากนั้นกล่าวว่า
"ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ"
"ทานข้าวก่อนสิ แล้วค่อยอาบทีเดียวตอนกลางคืนไม่ดีกว่าเหรอ?" หยางเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
เฉียงเวยตะลึงไปในทันทีใบหน้าของเธอขึ้นสีเล็กน้อย
"...คุณสามีไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำ...”
"ทำอะไร?"
"ทำสิ่งนั้น... อ๊า..." แม้เฉียงเวยจะคุ้นเคยกับสิ่งนั้นดีอยู่แล้วแต่เธอก็ยังไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ
หยางเฉินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
"เฉียงเวยที่รักทำไมคุณถึงคิดว่าผมมาที่นี่เพื่อนอนกับคุณเท่านั้นล่ะ?"
เฉียงเวยก้มหน้าลงแล้วกระซิบด้วยเสียงแ่เบาว่า
"เพราะก่อนหน้านี้... ฉันเลยคิดว่าคุณมาที่นี่เพื่อ..."
หยางเฉินเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเ็ปหัวใจหญิงสาวคิดว่าเขามาที่นี่เพียงเพื่อสนองความ้าของตัวเองเท่านั้น!?
เฉียงเวยรู้สึกเช่นนี้มาโดยตลอดแต่เธอก็ไม่เคยพูดมันออกมา และยังคงแสดงใบหน้ายิ้มแย้มกระตือรือร้นออกมาโดยตลอด
หยางเฉินก็จำได้ว่าเขาไม่เคยพาเฉียงเวยไปทานข้าวดูหนังเหมือนคู่รักธรรมดาเลยแม้แต่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็ยังไม่เคย!
เขาเป็ผู้บุปผาที่งดงามแต่กลับไม่มีเวลาเชยชมนั้นเป็สิ่งที่โหดร้ายอย่างที่สุด
คิดได้เช่นนั้นหยางเฉินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
"ที่รัก เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะเราจะออกไปข้างนอกกัน"