สองสามีภรรยาเสิ่นชะงักงัน ต่างมองลูกสะใภ้
กู้เจิงวางตะเกียบลงนางพูดเสริมอีกว่า “ในเมืองเยว่เฉิงคงจะมีตระกูลหวังเพียงไม่กี่ตระกูลที่มีอายุสืบทอดมาร้อยปีบุตรีสกุลหวังที่ตวนอ๋องเอ่ยถึงข้าเลยคิดว่าน่าจะเป็บุตรสาวของรองเสนาบดีหวังเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนเห็นสีหน้าแปลกแปร่งของบิดามารดาแม้แต่ชุนหงยังมองเขาอย่างขุ่นเคือง “พวกเ้ากำลังคุยอะไรกัน?”
นายท่านเสิ่นพึมพำขึ้นเบาๆ “มิน่าเล่ารองเสนาบดีผู้นั้นถึงมีท่าทีพิกลยิ่ง”
กู้เจิงเคี้ยวขนมเข่งชิ้นสุดท้ายเงียบๆหลังจากอิ่มเรียบร้อยนางก็ได้แสร้งทำท่าทางออดอ้อนเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ได้รับความไม่เป็ธรรม “เมื่อเช้าตอนที่ไปส่งท่านเข้าวังข้าได้พบกับตวนอ๋องเขาบอกว่าจะให้ท่านหย่ากับข้าแล้วไปแต่งงานกับบุตรสาวสกุลหวังของตระกูลบัณฑิตเก่าแก่เ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนกวาดสายตามองชามอาหารที่วางเปล่าของนางนางกินอาหารหมดจานจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก กินอิ่มดื่มอิ่มแล้วสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจนี้กลับเข้าเนื้อไม้ลึกสามส่วน*
(*เปรียบเปรยถึงความคิดอันหลักแหลมลึกซึ้งหรือผู้ที่มีความคิดล้ำลึก วิเคราะห์ประเด็นปัญหาได้อย่างชัดเจน)
“ข้ากับพ่อเ้าล้วนไม่เห็นด้วยกับเื่นี้” นายหญิงเสิ่นมั่นใจในตัวบุตรชายของนางที่สั่งสอนมากับมือ “เราเชื่อว่าเ้าจะไม่ทำให้เราผิดหวัง”
“เื่นี้ ตัวอาเยี่ยนเองย่อมรู้อยู่แก่ใจ” นายท่านเสิ่นก็กล่าวเสริมเช่นกัน
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้าและพูดเสียงเรียบว่า “ท่านพ่อท่านแม่โปรดวางใจ ข้าจะไม่แต่งงานกับหญิงอื่นอีก” เขาเหลือบเห็นภรรยากำลังแอบยิ้มอยู่ สตรีผู้นี้ก็จริงๆ เลยเชียว
หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จ เสิ่นเยี่ยนก็พูดคุยกับพ่อแม่เกี่ยวกับแผนการในอนาคตผลการสอบของเขานั้นมีตวนอ๋องและองค์รัชทายาทคอยหนุนหลัง น่าจะอีกไม่นานก็คงจะได้รับการแต่งตั้งเป็ขุนนางสักตำแหน่งหนึ่ง
กู้เจิงฟังแล้วรู้สึกเบื่อ จึงกลับห้องไปล้างหน้าล้างตากับชุนหง
“คุณหนู ท่านบุตรเขยบอกว่าจะไม่แต่งงานกับคนอื่นท่านวางใจได้แล้วนะเ้าคะ” ชุนหงหวีผมยาวสลวยของคุณหนูพลางเอ่ยอย่างมีความสุข
“จะวางใจตอนนี้เลยก็ยังเร็วไปหน่อย ยังมีตวนอ๋องอยู่อีกแต่เื่ของตระกูลหวังกับป้าสามหากตวนอ๋องทราบเื่เข้าก็คงจะหยุดความคิดที่จะให้เสิ่นเยี่ยนไปเกี่ยวดองกับตระกูลหวัง” สองมือของกู้เจิงตบลงบนเข่า จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าไม่เพียงแต่จะเจ็บแผลที่มือเท่านั้นที่หัวเข่าก็เจ็บมากเหมือนกัน นางรีบขึ้นไปนั่งบนเตียง แล้วถกขากางเกงขึ้นดู
ชุนหงอุทานออกมา “คุณหนูหัวเข่าท่านช้ำไปหมดแล้วเ้าค่ะ”
กู้เจิงนึกถึงตวนอ๋องผู้นั้น เขาช่างเป็ตัวซวยในชีวิตนางเสียจริงต่อไปนางจะต้องหลบเขาให้ไกลที่สุด
“บ่าวจะไปขอยาท่านป้าเสิ่นมาให้เ้าค่ะ” ชุนหงกำลังจะออกจากห้องไป แต่เมื่อนางเปิดประตูก็พบเสิ่นเยี่ยนที่หน้าห้อง “ท่านบุตรเขย”
“ข้าเอายาขี้ผึ้งมาให้แล้ว เดี๋ยวข้าทำเอง เ้าไปพักผ่อนเถอะ” เสิ่นเยี่ยนก้าวเท้าเข้ามาในห้องเขาเห็นรอยช้ำบนสองเข่าที่ขาวเนียนของภรรยา รอยช้ำเป็จ้ำเขียวใหญ่จนน่าใทำเขาอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
ชุนหงกำลังจะก้าวออกจากห้อง ่จังหวะหันกลับมาปิดประตูนางเห็นคุณหนูของนางยื่นขาไปทางท่านบุตรเขยด้วยสีหน้าเหยเก ก่อนจะร้องเสียงอ่อน “ท่านพี่ ข้าเจ็บเ้าค่ะ” ชุนหงยิ้มกับตัวเอง
รอยช้ำแม้จะดูน่ากลัวแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงกระดูกหัวเข่า เสิ่นเยี่ยนทายาและนวดให้เนื้อยาซึมเข้าแผลอย่างสม่ำเสมอัันุ่มของผิวเนื้อสาวทำเอาเขาใจเต้นขึ้นมา
“ท่านพี่ เบาหน่อยเ้าค่ะ” กู้เจิงจิ้มแขนสามีให้เขานวดเบาๆ นางคว้ามือของเขามาพลิกดู “มือท่านด้านขนาดนี้ มิน่าเล่าข้าถึงเจ็บไปหมด” มือของเสิ่นเยี่ยนแม้จะด้านเหมือนมือของผู้ชายทั่วไปแต่ก็สวยได้รูปนิ้วมือของเขาเรียวยาวปลายเล็บตัดสะอาด
เสิ่นเยี่ยนดึงขากางเกงของภรรยาลง “เอามือเ้ามา”
กู้เจิงยื่นมือให้เขาบ้างนางมองสามีทายาลงบนแผลที่มือของนางอย่างทะนุถนอม
นางนึกถึงตอนที่เสิ่นเยี่ยนเตะหวังหงเซิง จึงถามอย่างสงสัย “ในค่ายทหารฝึกอะไรกันหรือเ้าคะ?”
“ฝึกดาบ ขี่ม้า ยิงธนูเล่นหินผนึก* และอีกมากมาย”
(*เครื่องมือที่ทำจากหินเพื่อฝึกความแข็งแกร่งโดยจะมีด้ามให้จับถือได้ง่าย คล้ายกับการยกดัมเบล)
“ท่านเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊เ้าคะ?”
“ขุนนางไม่แบ่งแยกบุ๋นหรือบู๊ แต่แบ่งอำนาจสูงต่ำ”
กู้เจิงชะงักงัน ถ้อยคำนี้อาจฟังดูไม่มีอะไรแต่หากคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนจะมีเื่ของอำนาจซ่อนอยู่ในคำกล่าวนี้
“ท่านแม่บอกว่าแผลที่มือของเ้าทายาสักสามวันก็น่าจะหายแล้ว” เสิ่นเยี่ยนเมื่อทายาเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าวางพาดบนเก้าอี้ “แต่รอยช้ำบนหัวเข่าของเ้าน่าจะใช้เวลานานหน่อย"
กู้เจิงไม่ได้ใส่ใจแผลของนางมากขนาดนั้น นางเอนกายนอนลงบนเตียงรอจนเสิ่นเยี่ยนมานอนที่ด้านข้าง แล้วนางก็ขยับเข้าไปใกล้เขาอย่างแนบชิดเหมือนทุกคืน “ท่านพี่ ถึงแม้ท่านจะไม่หย่ากับข้า แต่ตวนอ๋องจะยอมหรือเ้าคะ?”
“ท่านพ่อท่านแม่เพิ่งคุยเื่นี้กับข้า”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ “งั้นนอนกันเถอะเ้าค่ะ” พ่อแม่สามีออกตัวให้นางแล้ว นางยังจะรู้สึกไม่สบายใจอะไรอีก
เสิ่นเยี่ยน “...” ยามปิดเปลือกตาลง สตรีผู้นี้ก็กระเถิบเข้ามาใกล้เขาอีกน้ำเสียงอ่อนโยนของนางเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ที่จริงข้าอิจฉาท่านป้าสามมากเลยเ้าค่ะนางมีลุงสามที่รักมั่นทำเพื่อนางถึงขนาดนั้นแม้ว่าลุงสามอาจจะไม่ใช่บุตรที่ดีของพ่อแม่ และก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็พี่น้องที่ดีแต่เขาถือเป็สามีที่ดีเ้าค่ะ”
“ไม่เอาไหน” เสิ่นเยี่ยนพูดเสียงเรียบ
กู้เจิงเบ้ปาก ไม่เอาไหนอะไรกันนี่เป็สิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่ทำไม่ได้ต่างหาก “ท่านพี่ หากวันหนึ่งข้ากลายเป็คนอัปลักษณ์ ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่เ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนเงียบอยู่นาน จนกู้เจิงเริ่มง่วงและสะลึมสะลือ แต่จู่ๆเสียงเรียบของเขาก็ดังขึ้นข้างหู “ข้ารักเดียวใจเดียวต่อให้เ้าอัปลักษณ์ก็ไม่นึกรังเกียจ*”
(*มาจาก ‘บันทึกฝูเซิงลิ่วจี้’ ของเสิ่นซานไป๋)
วันรุ่งขึ้น เสิ่นเยี่ยนไปค่ายทหารแต่เช้าหลังเขาออกไปทำงานได้ไม่นาน แม่เฒ่าซุนก็ส่งอาหารและยาบำรุงสำหรับหน้าหนาวมาให้นางบอกว่านายท่านกับนายหญิงรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ผอมลงจึงให้นางนำยามาให้สำหรับบำรุงร่างกาย หลายวันมานี้จวนกู้กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานมงคลสมรสหลังจากผ่านงานแต่งงานไป ก็คิดจะเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้บุตรเขยใหญ่อีกกู้เจิงรีบเอ่ยขอบคุณไป
หลังจากส่งแม่เฒ่าซุนกลับไปแล้ว นายท่านเสิ่นก็นึกเื่หนึ่งขึ้นได้เลยพูดกับกู้เจิงว่า “เมื่อวานอากุ้ยเอาฐานไม้ที่เ้าฝากเขาทำมาให้ ข้าลืมไปเลย” ว่าแล้วเขาก็เดินเข้าห้องไปหยิบของ
“ฐานไม้นี้แกะสลักได้สวยมากเลยเ้าค่ะ” ชุนหงเห็นก็อุทานออกมาทันที มีลวดลายเมฆมงคลแกะสลักอยู่ด้านล่างฐานมีเด็กชายและเด็กหญิงบนก้อนเมฆกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานด้วยท่าทางไร้เดียงสาต่างดูมีชีวิตชีวาเสมือนจริงและที่แปลกใหม่ก็คือเด็กชายและเด็กหญิงเหล่านี้ไม่เหมือนกับภาพเด็กอ้วนๆ ขาวๆที่นางรู้จัก คุณหนูบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไรสักอย่างนี่แหละ
“ดูดีมากเลยทีเดียว” นายหญิงเสิ่นเองก็รู้สึกว่าภาพเด็กๆ พวกนี้ดูพิเศษมาก
กู้เจิงชื่นชมฝีมืองานไม้ของญาติผู้พี่อากุ้ยในใจมิน่าเล่าเขาถึงเป็ที่ถูกใจของเหล่าขุนนางทั่วไปจนต้องแย่งตัวกันไปทำงานให้
“ท่านป้าของประดับสำหรับวางบนฐานไม้ที่คุณหนูปักสวยยิ่งกว่านี้อีกเ้าค่ะอีกไม่กี่วันก็จะปักเสร็จแล้ว” ชุนหงพูดอย่างภาคภูมิใจงานเย็บปักถักร้อยคุณหนูของนางทำได้ดี “ถึงตอนนั้นบ่าวจะเอามาให้ท่านดูนะเ้าคะ”
นายหญิงเสิ่นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เวลานี้ นายท่านเสิ่นหิ้วขนมเข่งตากแห้งออกมา “เดี๋ยวเราจะทำขนมเข่งกรอบ อาเจิง น้องสี่ของเ้าชอบกินไม่ใช่หรือ? หลังทำเสร็จก็เอาไปแบ่งให้นางหน่อยแล้วกัน”
“ได้เ้าค่ะ”
“จริงสิ” นายหญิงเสิ่นมองสามีแล้วพูดขึ้น “พี่สะใภ้รองบอกว่าวันนี้บ้านนางจะคั่วถั่วลิสงจะขอยืมทรายของเราหน่อย พอทำตรงนี้เสร็จท่านก็เอาไปให้พวกพี่สะใภ้รองเถอะเ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว” นายท่านเสิ่นพยักหน้ารับ
“ถั่วลิสงคั่ว? ข้าเคยกินถั่วลิสงแต่ไม่เคยเห็นตอนคั่วถั่วลิสงเลยเ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ยอย่างสนใจ
นายหญิงเสิ่นยิ้มบางๆ “เช่นนั้นเ้าก็ไปบ้านลุงรองพร้อมกับเขาแล้วกันถั่วลิสงของป้ารองได้มาจากบ้านฝั่งมารดาของนางมันต่างจากถั่วลิสงที่พวกเรากินกันทั่วไป ถั่วของนางมีขนาดเล็กและอวบอิ่มทั้งยังมีกลิ่นหอม อีกเดี๋ยวเ้าไปก็ลองชิมดูได้”
“ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพอากาศเป็แบบนี้บ้านป้าใหญ่ของพวกเ้าคงเริ่มขายขนมมันเทศ* แล้ว” เสียงของพ่อสามีดังมาจากในห้องครัว “ไปเอามาลองชิมดูก็ได้”
(*เป็ขนมแป้งทรงกลมที่นำแป้งผสมเนื้อมันเทศให้เป็เนื้อเดียวกันแล้วนำไปทอดในกระทะ)
“ข้าเคยกินขนมมันเทศมาก่อนเ้าค่ะ มันนุ่มและอร่อยมาก” ชุนหงพูดด้วยความตื่นเต้น
กู้เจิงนึกย้อนในความทรงจำอยู่พักหนึ่งไม่ว่าจะเป็นางหรือกู้เจิงคนก่อน ดูเหมือนว่าสิ่งที่พ่อแม่สามีพูดนั้นนางจะไม่เคยกินมาก่อน ทั้งที่เป็ของธรรมดาทั่วไป แต่ทำไมพอได้ยินอย่างนี้แล้วนางถึงรู้สึกอยากลองกินไปหมด
ทำขนมเข่งกรอบต้องระวังเื่ไฟมากตอนทำพ่อแม่สามีก็ไม่ยอมให้กู้เจิงเข้าไปช่วย เพราะต้องใช้แรงมาก นายท่านเสิ่นจึงเป็คนทำเอง
กู้เจิงมองดูขนมขนมเข่งแห้งที่ค่อยๆพองตัวขึ้นทีละนิดภายใต้ความร้อนของทราย ตอนที่พองจนด้านนอกเป็สีเหลือง นายท่านเสิ่นก็ตักออกมาวางลงบนตะแกรงไม้ไผ่ที่เตรียมไว้
กู้เจิงกับชุนหงรีบหยิบมาชิมคนละชิ้น
“ระวังร้อนนะ” นายท่านเสิ่นเห็นแล้วอยากจะหัวเราะเด็กสองคนนี้พอเป็เื่กินแล้วเข้าคู่กันดีจริงๆ
ขนมเข่งที่ทำเสร็จผิวด้านนอกกรอบแต่ด้านในยังนุ่มและมีกลิ่นของข้าวที่หอมกรุ่น รสชาติของมันนั้นดียิ่งนัก
นายท่านเสิ่นเททรายลงในกระทะเหล็กอีกครั้ง คราวนี้เขาใส่เกลือลงไปเล็กน้อยก่อนจะเทขนมเข่งที่เหลือลงไปแล้วเริ่มทำอีกครั้ง
ตอนเสิ่นเยี่ยนกลับมาที่บ้าน ก็เห็นภรรยายืนอยู่ที่หน้าเตาดวงตาใสกระจ่างของนางจ้องมองขนมเข่งที่ท่านพ่อของเขากำลังทำโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างรูปลักษณ์ดั่งดอกโบตั๋นของนางนั้นนั้นดูติดดิน* ยิ่ง เสิ่นเยี่ยนนึกเปรียบเทียบนางกับลูกสุนัขที่เขาเคยเลี้ยงไว้ตอนเด็กๆทุกครั้งที่เขากินอะไรลูกสุนัขตัวนั้นก็จะส่ายหางและนั่งจ้องอาหารไม่วางตาอยู่บนพื้นเมื่อมองภรรยาอีกครั้งดูเหมือนท่าทางของภรรยาที่ห่วงของกินจะคล้ายกับเ้าลูกสุนัขตัวนั้นอยู่บ้าง
(*หมายถึง ไม่ทำตัวฟุ้งเฟ้อหรูหราใช้ชีวิตปกติธรรมดาสามัญ)
นายหญิงเสิ่นเห็นว่าบุตรชายกลับมาแล้วแต่เขาเอาแต่จ้องมองภรรยาอย่างจดจ่อ แม้สีหน้าของเขาจะยังเรียบเฉยเหมือนปกติทว่าแววตากลับอ่อนโยนลงมาก