เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น หมี่หลันเยว่เริ่มบทสนทนาด้วยท่าทีสบายๆ ถามถึงสถานการณ์ของพนักงานขายในร้านของป้าิ่ เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างป้าิ่กับแม่เจิ้งแล้ว ถึงแม้ว่าแม่เจิ้งจะไม่ได้ไปที่ร้านบ่อยนัก แต่เธอก็ไม่น่าจะรู้สึกแปลกหน้ากับที่นั่น ดังนั้นเธอจึงน่าจะมีความเข้าใจในภาพรวมของพนักงาน
"ทำไมนึกอยากถามเื่นี้ขึ้นมาล่ะ?"
แม่เจิ้งเก่งเื่เข้าสังคมจริงๆ เธอรู้ดีว่าหมี่หลันเยว่ไม่มีวันถามอะไรโดยไร้เหตุผล แม้ว่าเธอจะเพิ่งรู้จักกับหมี่หลันเยว่ได้เพียงไม่กี่วัน แต่เธอก็เข้าใจแล้วว่าเด็กสาวคนนี้ไม่มีวันทำอะไรที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
"คืออย่างนี้นะคะคุณป้า หลังจากร้านของป้าิ่ย้ายออกไปแล้ว หนูอยากจะรีบจัดการเื่การตกแต่งให้เสร็จภายในสิบวัน ถ้าเป็อย่างนั้น เวลาที่หนูจะหาพนักงานขายก็จะเหลือแค่ประมาณยี่สิบกว่าวันเท่านั้น เวลานี้ค่อนข้างกระชั้นชิดค่ะ หนูเลยคิดว่าจ้างคนคุ้นเคยดีกว่าคนแปลกหน้า ถ้าพนักงานของป้าิ่มีฝีมือดี หนูก็จะเก็บพวกเขาไว้"
"แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหนูต้องรู้ว่าระดับความสามารถของพวกเขาเป็ยังไง ถ้าความสามารถไม่ดี แล้วหนูยังขอให้เก็บพวกเขาไว้ ต่อไปหนูคงไม่กล้าที่จะบอกเลิกจ้างพวกเขา แต่คุณป้าก็รู้ดีว่าทำเลที่ตั้งร้านของเราเป็ทำเลทองคำของปักกิ่ง ถ้าในร้านมีแต่คนที่ไม่ทำอะไร นอกจากจะรับเงินเดือนไปแล้ว ยังจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของร้านเราด้วย"
"เพราะงั้นหนูเลยอยากรบกวนคุณป้าช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยว่า ตอนที่คุณป้าไปที่ร้านของป้าิ่ พนักงานของพวกเขาแสดงออกเป็ยังไงบ้าง คุณภาพของพวกเขาผ่านเกณฑ์หรือเปล่า คุ้มค่าที่หนูจะเก็บพวกเขาไว้ไหมคะ?"
เมื่อได้ยินหลันเยว่พูดถึงเื่ ‘คุณภาพ’ แม่เจิ้งก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
"เธอนี่นะ เื่จริงจังก็ยังพูดได้ตลกขนาดนี้ พนักงานจะเอา 'คุณภาพ' มาบรรยายได้ยังไงกัน?"
แม่เจิ้งเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากเล็กๆ ของหมี่หลันเยว่ หมี่หลันเยว่ไม่ได้หลบ เธอแกล้งทำเป็เงยหน้าไปข้างหลังราวกับว่าถูกแตะอย่างแรง
“โอ้โห แสดงให้เหมือนกว่านี้อีกหน่อยสิ คนไม่รู้จะคิดว่าป้าออกแรงสุดชีวิตเลยมั้งนั่น”
แม่เจิ้งหัวเราะจนท้องแข็งเพราะหมี่หลันเยว่
"คุณป้าไม่ได้ออกแรงสักหน่อย คุณป้าใช้พลังภายในขั้นสุดยอด หนูเป็แค่เด็กตัวเล็กๆ จะทนไหวได้ยังไงกันคะ"
ทั้งโต๊ะก็หัวเราะกันครืน เด็กสาวคนนี้เล่นถึงขั้นพลังภายในแล้ว เพื่อให้แม่เจิ้งมีความสุข เธอทำทุกวิถีทาง เจิ้งซวี่เหยาหัวเราะไปพร้อมกับทุกคนและจ้องมองเด็กสาวอย่างไม่ละสายตา ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเด็กสาวคนนี้จนแทบจะเก็บไว้ไม่ได้แล้ว
"เื่อะไรกันถึงได้สนุกสนานขนาดนี้ ฉันได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างนอกดังจนเหมือนหม้อจะะเิแล้ว"
คุณปู่เจิ้งผมสีดอกเลาเดินเข้ามาจากข้างนอก ขัดจังหวะเสียงหัวเราะในห้อง เลขาที่เดินตามหลังมาวางกระเป๋าเอกสารของคุณปู่เจิ้งไว้บนโซฟาในห้องรับแขกแล้วรีบถอยออกไป
"สวัสดีคุณปู่เจิ้งครับ/ค่ะ"
เด็กๆ หลายคนลุกขึ้นยืนอย่างมีมารยาทเพื่อทักทายคุณปู่เจิ้ง คุณปู่เจิ้งโบกมือ
"สวัสดีเด็กๆ นั่งลงเถอะๆ เดี๋ยวค่อยเล่าให้ปู่ฟังนะว่าเื่อะไรกันถึงได้หัวเราะกันสนุกขนาดนี้"
คุณปู่เจิ้งบอกให้เด็กๆ นั่งลงก่อนจะไปล้างมือแล้วกลับมาที่โต๊ะอาหาร
"มาๆ กินด้วยกัน เล่าให้ปู่ฟังหน่อยสิว่าเมื่อกี้หัวเราะอะไรกัน?"
ทุกคนดูเก้ๆ กังๆ มองหน้ากัน ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี แม่เจิ้งจึงเป็คนเริ่มก่อน
"คุณพ่อคะ หลันเยว่ถามหนูว่าอยากจะรู้เื่พนักงานขายในร้านของเสี่ยวิ่ ถ้าพวกเขาทำงานได้ดี เธออยากจะพิจารณาว่าจะเก็บพวกเขาไว้หรือเปล่าค่ะ"
"อ้อ พนักงานขายในร้านของเสี่ยวิ่? ทำไม เขาไม่ทำร้านนั้นแล้วเหรอ?"
คุณปู่ค่อนข้างจะรู้จักเพื่อนๆ ที่หัวสูงของลูกหลานอยู่บ้าง เพราะเขาต้องคอยระวังไม่ให้ลูกหลานคบเพื่อนไม่ดี แล้วถูกคนอื่นเอาเปรียบ
"ค่ะ เธอคงจะไปต่างประเทศในอีกหนึ่งสองเดือนนี้แล้วล่ะค่ะ ทำเื่ทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ก็เลยขายร้านไปแล้ว นั่นไง ขายให้เด็กสาวคนนี้ไงคะ"
แม่เจิ้งส่งสายตาไปทางหมี่หลันเยว่ ทำหน้าตาบอกว่าอย่าดูถูกคน
"โอ้ หลันเยว่น้อย เก่งนี่นา ปู่ยังไม่เคยรู้เลยว่าหนูมีพลังมากขนาดนี้"
หมี่หลันเยว่หน้าแดงเล็กน้อย รีบอธิบาย
"ที่หนูรีบขึ้นมาปักกิ่งก็เพราะอยากจะหาร้านนี่แหละค่ะ โชคดีที่ได้เจอคุณป้าถึงได้โอกาสซื้อร้านนี้มาได้ ถ้าอย่างนั้น หนูไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เจอร้านที่เหมาะสมแบบนี้"
"เด็กๆ ทำอะไรได้ดีก็ไม่ต้องถ่อมตัวมากนัก ทำได้เองก็เป็ความสามารถ ไม่ได้ไปขวางใครสักหน่อย คุยกันในครอบครัวก็ไม่มีอะไรนี่นา ไม่ได้ออกไปอวดใครสักหน่อย"
คุณปู่เจิ้งเป็คนที่เปิดใจกว้าง เขาเคยได้ยินลูกสะใภ้พูดถึงเื่ของเด็กสาวคนนี้มาก่อน เขาก็รู้สึกชอบเด็กสาวคนนี้อยู่บ้าง
"ขอบคุณคุณปู่ที่สอนค่ะ หนูจะจำไว้ค่ะ"
หมี่หลันเยว่ไม่ได้ถ่อมตัวต่อ รีบขอบคุณคุณปู่เจิ้งอย่างตรงไปตรงมา ด้วยท่าทีที่จริงใจ คุณปู่เจิ้งมองท่าทีที่ไม่หยิ่งทะนงของหมี่หลันเยว่แล้วดวงตาเป็ประกาย
"แค่ถามเื่พนักงานขาย จะมีอะไรให้หัวเราะกันนักหนา?"
คุณปู่เจิ้งเปลี่ยนเื่ไป แล้วตักข้าวเข้าปาก เขาเห็นว่าหมี่หลันเยว่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะพูดเื่นี้ต่อ ในฐานะคนแก่ที่เจนโลก คุณปู่เจิ้งจึงต้องให้ความร่วมมือ
"ก็แค่ถามเื่พนักงานขาย แต่หลันเยว่เขา..."
พอคิดถึงท่าทางและคำพูดของหลันเยว่เมื่อกี้ แม่เจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีก สุดท้ายเจิ้งซวี่เหยาจึงเป็คนเล่าแทนแม่ คุณปู่เจิ้งก็หัวเราะตามไปด้วย
"ไม่นึกเลยว่าเด็กสาวคนนี้จะตลกขนาดนี้ เล่นถึงขั้นพลังภายในแล้ว ดูท่าทางแล้วเธอจะเป็ยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่นะเนี่ย"
หมี่หลันเยว่ไม่คิดว่าจะถูกเจิ้งซวี่เหยาเปิดโปง ยิ่งไม่คิดว่าคุณปู่เจิ้งจะเป็คนที่เข้ากับคนง่ายขนาดนี้ เื่ตลกแบบนี้เขายังหัวเราะตามได้ตั้งนาน
"หนูก็แค่เล่นตามสถานการณ์ แซวเล่นเท่านั้นเองค่ะ"
หมี่หลันเยว่รู้สึกว่าตัวเองแก้ตัวอย่างมีพิรุธ เธอตั้งใจจะทำให้แม่เจิ้งมีความสุขจริงๆ นั่นแหละ การตีสนิทและการออดอ้อนคือวิธีที่ได้ผลที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้
ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะขอความช่วยเหลือจากสกุลเจิ้งอย่างเต็มที่ ก็สู้ใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าไปเลย ยังไงก็ติดหนี้บุญคุณแม่เจิ้งไปแล้ว ถ้ามีโอกาส หมี่หลันเยว่จะตอบแทนอย่างแน่นอน ่เริ่มต้นเป็่ที่ยากลำบากที่สุด และเธอจะจดจำผู้ที่ช่วยเหลือเธอใน่เวลานี้
"เด็กๆ ร่าเริงก็ดี ไม่พูดไม่หัวเราะก็ไม่สนุกนี่นา พวกเธอกลับมากับซวี่เหยาด้วยกัน ทำให้บ้านเราครึกครื้นขึ้นเยอะเลย เฮ้อ ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้นานแล้ว"
คำพูดของคุณปู่เจิ้งทำให้ทุกคนเงียบลง
"ปู่ครับ"
เจิ้งซวี่เหยาเป็คนเริ่มพูดก่อน คุณปู่เจิ้งยิ้ม
"ไม่เป็ไรๆ ปู่แค่รู้สึกเฉยๆ ว่าคนแก่ก็อยากได้ยินเสียงดังๆ บ้าง ตอนที่หลานยังไม่กลับมา ในบ้านก็มีแค่ปู่กับแม่ของหลานแล้วก็พ่อของหลานสามคน มันเงียบเหงาไปหน่อยจริงๆ"
เจิ้งซวี่เหยารู้สึกไม่ดีขึ้นมาในใจ เขาเป็ลูกชายคนเดียวของบ้าน ลูกสาวอีกสองคนก็แต่งงานออกไปหมดแล้ว ส่วนเขาเองก็ไปอยู่ต่างประเทศตั้งห้าปี บ้านนี้คงจะเงียบเหงาไปมากจริงๆ
"ปู่ครับ ต่อไปผมจะไม่ไปไหนแล้ว"
เมื่อเห็นว่าตัวเองทำให้เด็กๆ หลายคนไม่สนุก คุณปู่เจิ้งก็รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป คนแก่ก็อยากจะมีความสุขในครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ
"ดีแล้ว ไม่ไปไหนก็ดี ที่ไหนก็ไม่ดีเท่าบ้านเราหรอก"
"ใช่ ที่ไหนก็ไม่ดีเท่าบ้านเรา"
แม่เจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แต่หลังจากนั้นก็พูดต่อ
"แต่ถ้าปีกของลูกแข็งแรงแล้ว ก็ต้องปล่อยเขาไปบินอยู่ดี พญาอินทรีเมื่อบินผ่านไปแล้วถึงจะรู้ว่าท้องฟ้ากว้างใหญ่แค่ไหน ถ้าขังอยู่แต่ในบ้านก็เป็แค่กบในกะลาเท่านั้นแหละ"
"ใช่แล้ว ซวี่เหยาโตแล้วนะ พอคิดว่าเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วไปอยู่ต่างประเทศตั้งห้าปี กระดูกกระเดี้ยวของปู่ก็คงจะแก่จริงๆ แล้วล่ะ"
คุณปู่เจิ้งตบหน้าอกตัวเอง ทำท่าทางเกินจริง
"ปู่ยังไม่แก่สักหน่อยค่ะ คุณปู่ยังทำงานอยู่แนวหน้า ใครกล้าบอกว่าคุณปู่แก่แล้ว ถ้าคุณปู่ไม่หนุ่มแล้ว แล้วใครจะหนุ่มได้ล่ะคะ"
หมี่หลันเยว่พูดแทรกขึ้นมาอย่างถูกจังหวะ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงทันที
"เธอนี่พูดจาดีจริงๆ ไม่ใช่หรือไง ปู่ยังไม่แก่สักหน่อย ปู่ยังต้องทำงานอีกหลายปี ต้องทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ไม่ใช่แค่พวกหนุ่มๆ สาวๆ ที่กำลังพยายามทำเพื่อหน้าที่การงาน"
คุณปู่เจิ้งส่ายหัวไปมา โต๊ะอาหารก็เริ่มครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
"ว่าแต่พอพูดถึงเื่พยายามทำเพื่อหน้าที่การงานแล้ว หลันเยว่ไม่ได้ถามว่าพนักงานของเสี่ยวิ่เป็ยังไงบ้างเหรอ? ลองพูดมาดูสิ ถ้าไม่ไหว เราก็เก็บพวกเขาไว้ไม่ได้นะ ถ้าเก็บไว้แล้วจะไล่ออกก็ไม่ดี"
คุณปู่เจิ้งพูดประโยคนี้ก็ดึงเื่กลับมา
"คุณปู่กับหนูคิดเหมือนกันเลยค่ะ หนูถึงได้อยากจะถามคุณป้า ถ้าฝีมือไม่ดีจริงๆ ถึงหนูจะต้องลำบากหน่อย หาคนใหม่ทั้งหมด ก็ยังเก็บพวกเขาไว้ไม่ได้ ไม่งั้นต่อไปคงจะลำบากจริงๆ เพราะเราเป็ฝ่ายขอร้องพวกเขาเอง"
หมี่หลันเยว่ไม่คิดว่าคุณปู่เจิ้งจะคิดถึงสิ่งที่เธอเป็กังวลได้ในทันที อดไม่ได้ที่จะชื่นชมชายชราคนนี้มากยิ่งขึ้น สายตาของเขาคมกริบจริงๆ มองปัญหาไม่ได้มองแค่ผิวเผิน แต่เห็นถึงระดับที่สำคัญของปัญหาในทันที
"พนักงานหลายคนนั้น ปู่เคยเจอบ้าง พวกเขาเป็คนดีนะ กระตือรือร้น ร่าเริง แต่ถ้าพูดถึงเื่งานแล้ว พูดตามตรงว่าก็งั้นๆ แหละ ถ้าไม่มีป้าิ่คอยดูแลทุกวัน ยอดขายของร้านพวกเขาคงไม่เท่าไหร่ ปู่เคยเห็นพวกเขาต้อนรับลูกค้า เมื่อเทียบกับพนักงานที่ปู่เคยเจอมาบ้างแล้ว ก็ยังด้อยกว่า"
เมื่อได้ยินแม่เจิ้งพูดอย่างนี้ ความกระตือรือร้นของหมี่หลันเยว่ก็มลายหายไปในทันที หวังลมๆ แล้งๆ ไปเสียเปล่า
"ถ้าอย่างนั้น หนูคงต้องรับสมัครคนใหม่แล้วสิคะ แต่พนักงานที่รับสมัครใหม่ตอนนี้ก็ไม่กล้ารับประกันฝีมือเหมือนกัน เฮ้อ เป็ปัญหาจริงๆ"
หมี่หลันเยว่ไม่มีอารมณ์กินข้าวแล้ว ในหัวเริ่มคิดแล้วว่าจะต้องประชาสัมพันธ์ล่วงหน้ายังไงถึงจะประกาศรับสมัครคนได้ แล้ว่แรกจะต้องรับสมัครคนเยอะๆ หน่อย เพราะไม่รู้ว่าใครจะใช้ได้ดี กลับไปปรึกษากันว่าจะกำหนด่ทดลองงาน ใครฝีมือดีก็เก็บไว้ ใครไม่ดีก็ต้องปล่อยไป
"หลันเยว่ ทางรัฐบาลของเรากำลังรับสมัครเ้าหน้าที่บริการโรงแรมอยู่น่ะ อีกสองวันจะมีการสัมภาษณ์ หรือจะให้ปู่ให้หนูเข้าไปดูหน่อยดีไหม?"
คุณปู่เจิ้งไม่ได้พูดตรงๆ ว่าอยากจะช่วยเหลือ แต่แค่หยิบยื่นโอกาสให้หลันเยว่
"ว้าว ดีเลยค่ะ ขอบคุณคุณปู่มากค่ะ"
หมี่หลันเยว่จะพลาดโอกาสนี้ไปได้ยังไง รัฐบาลรับสมัครคนเลยนะ เงื่อนไขคงต้องสูงแน่ๆ รัฐบาลคงไม่เก็บไว้ทั้งหมด อย่างนี้ก็เข้าทางเธอสิ หมี่หลันเยว่ไม่ทันสังเกตว่าการช่วยเหลือของคุณปู่ทำให้เธอหัวเราะจนตาหยี
