สี่พี่น้องไหนเลยจะหลับลง พวกเขาคุยกันอยู่ในห้องโถงด้วยความตื่นเต้นอีกพักใหญ่ คิดว่าจ้าวซื่อใกล้จะตื่นแล้ว หลี่ิ่หานจึงอาศัยเหตุผลว่า ตนเด็กสุดในหมู่ผู้ชาย ขออาสานำกระโถนปัสสาวะในห้องนอนจ้าวซื่อออกไปเทและล้างให้สะอาด
จ้าวซื่อมีเื่ให้คิดจึงนอนหลับไม่สนิท เมื่อตื่นขึ้นมาและสวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่ห้องครัว เห็นบุตรชายคนโตกำลังง่วนอยู่หน้าเตาเพื่อทำอาหารเช้า จึงถามไปว่า “หรูอี้เล่า”
“ท่านแม่ น้องสาวไปนอนต่อแล้วขอรับ” หลี่เจี้ยนอันยิ้มกว้าง เดินไปปิดประตูห้องครัว จากนั้นจึงพูดกับจ้าวซื่อหลายประโยค
“์” จ้าวซื่อยกมือขึ้นทาบอก คล้าย้ากดหัวใจที่กำลังเต้นระรัว เพราะตื่นเต้นราวกับว่ามันจะกระเด็นออกมาให้กลับเข้าไป ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยพูดขึ้นว่า “มากมายเพียงนี้เชียวหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ น้องสาวบอกว่าเื่เช่นนี้หาได้ยาก คราวนี้บ้านเราแค่โชคดีเท่านั้น”
จ้าวซื่อดีใจจนพูดไม่หยุดปาก “ใช่แล้ว คราวนี้เป็โชคของพวกเ้าพี่น้องจริงๆ”
“ทั้งยังเป็เพราะฝีมือทำอาหารของน้องสาวด้วยขอรับ แม้แต่ผู้สูงศักดิ์ก็ยังชม” เมื่อหลี่เจี้ยนอันพูดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกผิดในใจ อดพูดไม่ได้ว่า “ท่านแม่ขอรับ พวกเราพี่น้องเคยเรียนย่างแป้งกับน้องสาวแล้ว แต่ย่างไม่อร่อยเท่านาง แป้งย่างแปดร้อยแผ่นที่ผู้สูงศักดิ์้าคราวนี้ น้องสาวก็เป็คนย่างทั้งหมดเพียงคนเดียว พวกเราไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้” ฝีมือทำครัวของจ้าวซื่อไม่ดี แม้เป็อาหารชนิดเดียวกัน แต่อาหารที่นางทำก็ไม่อร่อยเท่าที่บุตรีสุดที่รักทำ สู้ไม่ได้กระทั่งหลี่ซานและเฟิงซื่อด้วยซ้ำไป
หลี่ฝูคังเดินถือใบกะหล่ำที่ล้างจนสะอาดแล้วเข้าไปในครัว กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว รู้หรือไม่ว่าครอบครัวเรามีเงินปรับปรุงบ้านแล้ว”
หลี่เจี้ยนอันพูดอย่างโมโห “ดูเ้าเถิด ใจร้อนจริงๆ ข้ายังไม่ได้พูดกับท่านแม่เลย”
หลี่ฝูคังหัวเราะแห้งๆ หลายครั้ง “อ้อ... ให้พี่ใหญ่พูดกับท่านแล้วกัน”
“ครอบครัวเราจะปรับปรุงบ้านแล้ว” จ้าวซื่อกวาดตามองไปยังห้องครัวเก่าๆ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ผุพังแล้ว คิดว่านี่เป็ความฝันหรือไม่ จึงยกมือขึ้นหยิกแขนตนครั้งหนึ่ง เจ็บ... นี่คือความจริงไม่ใช่ความฝัน นางพูดอย่างดีใจว่า “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะหาเงินได้รวดเร็วเพียงนี้”
หลี่เจี้ยนอันหั่นใบผักกาดสีเขียวใส่ลงไปคลุกเคล้าในแป้งข้าวโพดครู่หนึ่ง “ท่านแม่กินอาหารเช้าให้เสร็จก่อน แล้วลูกจะคุยกับท่านอย่างละเอียดอีกครั้ง”
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานทำความสะอาดลานบ้านแล้วนำไก่ไปปล่อยที่ลาน
อาหารเช้าอย่างง่ายถูกยกขึ้นโต๊ะ ขณะที่จ้าวซื่อและบุตรชายทั้งสี่กำลังกินข้าวเช้าก็ได้ยินเสียงสตรีะโมาจากด้านนอกว่า “น้องจ้าว อยู่หรือไม่”
ในดวงตาของหลี่ิ่หานมีแววรังเกียจปรากฏ “จางซื่อสะใภ้ของหลิวเป่ามาขอรับ”
“ข้าจะออกไปคุยกับนางด้านนอกสักหน่อย” จ้าวซื่อไม่อยากให้คนที่ไม่ชอบเข้ามาคุยกันในบ้าน ขณะที่นางกำลังเดินออกไป กลับเห็นจางซื่อเดินประคองท้องเข้ามาที่ลานบ้านอย่างหน้าด้าน นางจึงพูดเสียงเรียบว่า “ข้าอยู่บ้านทุกวัน”
“เื่ที่บ้านเ้ามีผู้สูงศักดิ์มาเยือนแพร่ไปทั่วหมู่บ้านแล้ว” จางซื่อจมูกไวกว่าสุนัขเสียอีก นางได้กลิ่นหอมของน้ำมันหมูจึงเกิดความสงสัยว่า ครอบครัวหลี่กินอะไรกัน ถึงกับเดินผ่านจ้าวซื่อเข้าไปยังห้องโถงโดยตรง
เด็กหนุ่มทั้งสี่แห่งบ้านหลี่พากันมองไปทางจางซื่อ เห็นนางยื่นหน้าเข้ามา มองจานอาหารบนโต๊ะแปดเซียนของพวกตน ราวกับจะมองให้ทะลุอย่างไรอย่างนั้น พาลให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
จางซื่อยิ้มอย่างลำพองใจ พูดว่า “บ้านของพวกเ้าก็กินโจ๊กจากแป้งข้าวโพดใส่ผักเช่นกันหรือ ข้าคิดว่าบ้านพวกเ้าร่ำรวยแล้วจะกินเนื้อเสียอีก”
เด็กหนุ่มทั้งสี่แห่งบ้านหลี่มีสีหน้าเหนื่อยหน่าย พากันลุกขึ้นทักทายจางซื่อ “ป้าจาง” จากนั้นจึงนั่งลงกินข้าวต่อไป
จ้าวซื่อยืนอยู่ที่เดิมตลอดไม่ได้ขยับไปไหน พูดเสียงดังว่า “จางซื่อ เ้ามีเื่อะไรก็มาคุยกับข้าที่ลานบ้านนี่”
จางซื่อกำลังตั้งครรภ์ หากลื่นล้มในบ้านแล้วให้บ้านหลี่ชดใช้ขึ้นมา จะเป็เื่ดีไปได้อย่างไร
ไม่ใช่ว่าจ้าวซื่ออยากจะใช้ความคิดคนถ่อยไปตัดสินบัณฑิต แต่ด้วยนิสัยของจางซื่อแย่เหลือเกิน จำเป็ต้องป้องกันไว้ก่อน
จางซื่อเดินออกมาจากห้องโถง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินว่า บ้านเ้ารับซื้อแป้งขาวและไข่ไก่ เหตุใดจึงไม่มาขอซื้อจากบ้านข้าเล่า”
จ้าวซื่อถูกคำว่า “ขอ” ทำเอารู้สึกรังเกียจ จึงพูดด้วยใบหน้าเ็าว่า “ข้าทำการค้ากับเฟิงซื่อด้วยฐานะเท่าเทียมกัน มิใช่ใครขอร้องใคร”
“อ้อ...” จางซื่อถูกสวนจนสะอึก แม้คำพูดในปากก็ยังต้องเก็บคืนกลับไป ได้แต่ลอบด่าจ้าวซื่ออยู่ในใจว่า ช่างอวดดีนัก จากนั้นจึงพูดเข้าเื่ไปเสียเลยว่า “บ้านข้ามีแป้งขาวและไข่ไก่ ขายให้เ้าได้”
แต่จ้าวซื่อกลับตอบไปว่า “ข้าตกลงกับเฟิงซื่อไว้แล้วว่า จะรับซื้อแป้งขาวและไข่ไก่จากนาง”
จางซื่อโกรธจนไม่มีรอยยิ้มเหลืออยู่บนใบหน้าอีกต่อไป ถลึงตากล่าวว่า “เ้านี่มันเป็สุนัขกัดเ้าของ ไม่รู้จักรับน้ำใจผู้อื่นจริงๆ แป้งขาวและไข่ไก่บ้านข้าไม่ด้อยไปกว่าของบ้านเฟิงซื่อแม้แต่น้อย ราคาก็ไม่ได้สูงกว่า อีกทั้งบ้านข้าก็อยู่ติดกับบ้านเ้า เหตุใดไม่มาซื้อแป้งขาวและไข่ไก่จากบ้านข้าเล่า”
“ใครดีใครร้าย ข้ากระจ่างแจ้งอยู่แก่ใจ บางคนเบื้องหน้ายิ้มแย้มให้ข้า แต่ลับหลังไม่รู้ว่าพูดจาให้ร้ายบ้านข้ามากน้อยเพียงใด” จ้าวซื่อไม่เกรงใจจางซื่ออีกต่อไป “ดูแลปากของตนเองให้ดีเถิด อย่าได้ปล่อยให้มันไปพูดจามั่วซั่วทุกครั้งที่ว่าง หึ... สตรีปากยื่นปากยาวจะต้องตกนรก!”
จางซื่อพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “จ้าวซื่อ เ้าว่าใครเป็สตรีปากยื่นปากยาว!”
จ้าวซื่อปรายตามองไป เห็นชาวบ้านกำลังมองมาทางนี้จึงจงใจพูดเสียงดังขึ้น “หากเ้ามีความสามารถก็สาบานด้วยชีวิตของเ้าสิว่า ไม่เคยพูดจาว่าร้ายบ้านข้า”
เด็กหนุ่มทั้งสี่ของบ้านหลี่เดินออกมายืนข้างกายจ้าวซื่อ และยืนล้อมปกป้องนางเอาไว้
จางซื่อมักพูดจาว่าร้ายบ้านหลี่อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะระยะนี้ นางอิจฉาที่บ้านหลี่กินข้าววันละสามมื้อ เจอใครก็พูดจาว่าร้ายบ้านหลี่ไปทั่ว ตอนนี้ถูกจ้าวซื่อเปิดโปงต่อหน้า ทั้งยังให้นางสาบานอีกด้วย จะอย่างไรนางก็ผิดจริงจึงร้อนตัว ได้แต่ถลึงตาใส่จ้าวซื่อแล้วเดินจากไปอย่างขุ่นเคือง
จ้าวซื่อพูดอย่างเ็าว่า “จางซื่อ คราวหน้าหากครอบครัวพวกเราไม่เห็นชอบ เ้าก็ห้ามเข้ามาที่บ้านพวกเราอีก!”
หลี่ฝูคังถามขึ้นว่า “นางว่าอะไรครอบครัวเราหรือ”
จ้าวซื่อกัดฟันตอบ “นางพูดว่าน้องสาวของเ้ารักษาให้บุรุษ ดูไม่งามไร้จรรยา”
หลี่ฝูคังมองตามหลังอันอ้วนท้วมของจางซื่อ ด่าไปว่า “ถุย! สตรีปากยื่นปากยาวจะต้องตกนรกแน่”
หลี่เจี้ยนอันก็พูดอย่างเ็า “จางซื่อ ถ้าท่านกล้ามาทำลายชื่อเสียงของน้องสาวข้าอีก ข้าไม่ปล่อยท่านแน่!”
จางซื่อหันกลับมา เห็นดวงตาอันคมกริบของหลี่เจี้ยนอันมีประกายดุดัน ทำเอานางใจนตัวสั่น
จ้าวซื่อพาบุตรชายทั้งสี่กลับเข้าไปกินข้าวต่อ ผู้ใดจะรู้ว่ากินไปได้ไม่กี่คำก็มีคนมาหาอีกแล้ว คราวนี้เป็นางตินของบ้านจาง
ปีนี้นางตินอายุสี่สิบแปดแล้ว ร่างกายเตี้ยเล็ก แผ่นหลังโก่งเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดวงตาขุ่นมัว ดูแล้วเหมือนคนอายุหกสิบกว่า
นางสวมชุดสีเทาเก่าๆ ขาดๆ ในมือถือไข่ไก่มาด้วย นางหยุดยืนอยู่นอกประตูรั้ว ยัดไข่ไก่ใส่มือหลี่เจี้ยนอันแล้วมองไปยังห้องโถงของบ้านหลี่ เมื่อเห็นจ้าวซื่อไม่ออกมาจึงพูดเสียงดังว่า “ครอบครัวพวกเรามีคนมากปากย่อมมากตาม หากเคยล่วงเกินครอบครัวพวกเ้าที่ใด ขอให้ทุกคนทำตัวเป็ผู้ใหญ่ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กด้วยเถิด”
“นี่...” หลี่เจี้ยนอันเห็นนางตินเดินไปแล้วจึงนำไข่ไก่กลับไปให้จ้าวซื่อ
หลี่ฝูคังพูดยิ้มๆ “นางตินคงคิดว่าครอบครัวเรามีใต้เท้าหลิวเป็ูเาให้พึ่งพิง แล้วจะไปแก้แค้นครอบครัวจางของนางกระมัง”
หลี่อิงฮว๋าเอ่ยปากพูด “นางตินยังพอใช้ได้ แต่สะใภ้ทั้งสามคนของนางไม่ค่อยดี โดยเฉพาะสะใภ้ใหญ่ติงซื่อ เป็ดั่งไม้กวนอุจจาระ กวนทั้งวันจนครอบครัวจางไม่ได้อยู่สงบๆ”
“เ้าช่างรู้มากเสียจริง” จ้าวซื่อกลัวว่าจะเป็ไข่เน่าจึงรับมาเขย่าดู เมื่อเขย่าก็พบว่าไข่ไก่ใบหนึ่งมีของเหลวเคลื่อนไหวอยู่ด้านใน ใบหน้าจึงเปลี่ยนไปโดยพลัน รีบบอกให้หลี่เจี้ยนอันนำไปที่ห้องครัว
หลี่ฝูคังพูดอย่างโกรธเคืองว่า “นางตินให้ไข่ไก่มาสองฟอง ใบหนึ่งถึงกับเป็ไข่เน่าเชียวหรือ”
.......................................