หลังกำแพงสูงชะลูด
มีดอกไม้ชูช่อขึ้นสูงอยู่มากมาย
ดอกไม้บานสะพรั่ง
ความสูงของมันพอๆ กับต้นไม้เสียด้วยซ้ำ
ดอกไม้ดอกใหญ่มากมายหลากหลายสี ทั้งยังเบ่งบานเป็เวลานาน
ดอกไม้ผลิบานได้งดงามเหลือเกิน
ลำต้นชูตรง
ใบหนาใหญ่ทั้งยังทนแดดทนฝน
ใต้ลำต้นของดอกไม้มีชายหนุ่มชุดสีทึมทึบยืนอยู่
เด็กหนุ่มเรือนผมยาวสยาย เรือนผมงามมีปิ่นหยกสีขาวนวลปักอยู่
ผิวพรรณของเด็กหนุ่มขาวผ่อง คางเรียวแหลม หางตาเรียวยาว เมื่ออยู่ในชุดสีทึบเช่นนี้ก็ทำให้เขาดูงดงามราวกับปีศาจ
ทว่าแววตาของเด็กหนุ่มกระจ่างใสนัก
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงบนดอกไม้ เผยให้เห็นสีสันที่ซ่อนอยู่
ทั้งยังสาดลงบนร่างของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มหย่อนกายนั่งขัดสมาธิลงใต้ต้นไม้
ข้างกายยังมีแส้หางม้าอันยาวน่ามองวางอยู่
ด้ามจับของมันสะท้อนสีแดงดูแล้วน่าจะผ่านกาลเวลามาพอสมควร เส้นไหมบนแส้หางม้าสีขาวสะอาดเรียงกันแน่น ดูแล้วก็เพลินตาไม่เบา
ท่าทางของเด็กหนุ่มดูเหมือนกำลังมีสมาธิอยู่ ทว่าความจริงจิตใจของเขาไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก
เขากำลังรอคนอยู่
หากคนที่เขารอคอยเดินทางมา ่เวลาแห่งการรอคอยนี้ย่อมเต็มไปด้วยความหอมหวาน
ทว่าหากคนที่เขารอคอยไม่มา ่เวลาแห่งการรอคอยย่อมราวกับกำลังโดนลงทัณฑ์ให้ร้อนรน
เขารอคอยมานานหลายวันแล้ว
ครั้งแรกที่เขาพบองค์หญิงอี นางก็ยืนอยู่ใต้ดอกไม้นี้
ใบหน้าน้อยเงยมองดอกไม้ด้วยแววตาสงสัย ท่าทางเช่นนั้นของนางราวกับกระแทกเข้ามาในใจเขา
นับั้แ่วันนั้น ทุกวันยามเห็นดอกไม้เหล่านี้เขาก็เอาแต่คิดถึงนาง
ดอกไม้ชนิดนี้สำหรับเขามีความหมายต่างออกไป
อีกทั้งเพราะที่นี่อยู่ค่อนข้างจะใกล้กับตำหนักของราชครู ทั้งยังอยู่ไกลจากตำหนักอื่นๆ ในวังหลวง ทว่าก็อยู่ใกล้กับกำแพงวังพอดี ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่ค่อยเดินทางมาที่นี่
สำหรับราชครูน้อยแล้ว เขาก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าเขาชอบหรือไม่ชอบที่นี่
แม้ว่ายามที่มาที่นี่แล้วเขาจะไม่ต้องทำงานอะไร เพียงแค่ตั้งใจเล่าเรียนก็พอ
ทั้งยังไม่มีคนมาด้อยค่าเขา
ทว่าเขากลับไม่รู้สึกมีความสุขเท่าใดนัก วังหลวงสำหรับเขาราวกับคนแปลกหน้า อนาคตของเขาในที่แห่งนี้ก็ช่างเลือนราง
จวบจนที่เขาได้พบกับองค์หญิง
ชีวิตของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เขาเพิ่งจะได้รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีเด็กสาวเช่นนี้อยู่ เด็กสาวที่ทั้งฉลาด ปราดเปรียวและงดงาม ทั้งยังแสนจะเอาแต่ใจ
ชีวิตของเขาราวกับตกลงไปในวังวนแห่งความลุ่มหลง
องค์หญิงก็ย่อมจะต้องชอบเขาเช่นกัน
ทว่าต่อให้อบอุ่นใจเพียงใด ยามที่ต้องกระวนกระวายใจเช่นนี้ สำหรับเขาช่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน
จ้งเยียนเลิกหลอกตัวเองแล้วนั่งลง เงยหน้ามองดอกไม้ที่อยู่เหนือหัว
แสงแดดที่สาดลงมา ทำให้ดอกไม้เหล่านี้ดูงดงามยิ่งกว่าเดิม
องค์หญิงชอบทำเครื่องหอมมาก คราก่อนเขาก็เห็นเหล่านางกำนัลมาเก็บดอกไม้ที่นี่
หากว่าสำเร็จแล้ว เขาเองก็อยากเก็บไว้สักชุดหนึ่งเหมือนกัน ต่อไปจะได้พกไว้กับตัวบ้าง
องค์หญิงยังเคยตั้งใจเขียนกลอนให้เขาบทหนึ่ง
เมื่อคิดถึงความคิดแปลกประหลาดขององค์หญิง เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
่นี้เขาอยู่ในวังหลวงก็ใช้ชีวิตเอ้อระเหยไปวันๆ อีกไม่กี่วันก็แค่ไปเยี่ยมพระสนมเล่อสักหน่อยว่าเป็อย่างไรบ้าง จากนั้นก็ไม่มีเื่ใหญ่อันใดแล้ว
ฝ่าาให้ความสำคัญกับพระสนมเล่ออย่างผิดปกติ ว่าไปแล้วก็แปลกประหลาดนัก
ในวังมีโฉมงามมากมาย ไม่ว่าแบบใดก็มีหมด ครั้งแรกที่เขาได้พบกับเหล่าพระสนมที่มารวมตัวกัน ก็แทบจะตาลายไปหมด
ทว่าเมื่อสายตาของเขาไปหยุดลงที่สตรีที่หน้าท้องเริ่มจะนูนใหญ่ออกมา ก็เห็นว่าใบหน้าเต็มไปด้วยรอยกระเต็มหน้าราวกับดวงดาว พวงแก้มทั้งสองก็เ้าเนื้อเหลือเกิน ทว่ายามที่ยิ้มออกมา นางกลับยิ้มแย้มอย่างเบิกบานไปทั้งใบหน้า ยามนั้นจ้งเยียนจึงเข้าใจขึ้นมา
พระสนมเอกเล่อเพียงแค่ได้มองหน้านางก็พลอยรู้สึกเบิกบานไปกับนางแล้ว
เขาเห็นว่าในสวนของพระสนมเล่อก็มีดอกไม้ชนิดนี้เหมือนกันจึงได้รู้สึกเบิกบานใจ ทั้งยังลอบรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนั้นขึ้นมา
ดอกไม้นี้องค์หญิงน่าจะเป็คนส่งมา
ในตอนนั้นเขาถึงขั้นมีความคิดว่า หากมีวันหนึ่งที่ใบหน้าขององค์หญิงเปลี่ยนเป็เ้าเนื้อเช่นนั้น ทั้งยังมีกระบนใบหน้าอยู่ประปราย เขาก็ยังคงจะชอบนางเช่นนี้ ชอบนางตลอดไป
ทว่ายามนี้เขากลับได้แต่ถอนหายใจ
เขาคือราชครู ราชครูไม่อาจแต่งงานได้
ลมพัดใบไม้ไหวดังซ่าๆ
ดอกไม้ดอกโตที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ ร่วงหล่นลงมาจากก้าน
ทั้งยังหมุนติ้วไปมาบนพื้นอย่างงดงาม
จ้งเยียนยื่นมือออกไปเก็บดอกไม้ดอกนั้นขึ้นมา
เมื่อคิดถึงเื่ที่องค์หญิงใช้ดอกไม้ชนิดนี้ทำเครื่องหอม เขาก็ยกมันขึ้นมาลองดมดู กลิ่นของมันประหลาดนัก เขาจึงอ้าปากขึ้น คิดจะลองชิมรสชาติของมันดู
“อย่ากิน มันมีพิษ” เสียงใสกังวานดังขึ้น
จ้งเยียนพลันตื่นใ
เสียงของใครกัน
เขาเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อเห็นเ้าของเสียงเขาก็ต้องเบิกตาโพลง
บนกำแพงสูงลิบมีคนกำลังขยับไปมา ศีรษะค่อยๆ โผล่ขึ้นมา สองมือยังคงออกแรงเกาะกระเบื้องมันวาว้าเอาไว้
เป็เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่เด็กยิ่งกว่าเขา
“เ้าขึ้นไปได้อย่างไร” จ้งเยียนถามขึ้นด้วยความฉงน
วังหลวงสูงตระหง่านหาที่ใดเปรียบ กำแพงวังยังสูงยิ่งกว่านั้น
นอกจากว่าจะเป็คนในตำนานหรือเื่เล่าแปลกๆ และหนังสือภาพเกี่ยวกับเจียงหูที่เล่าว่ามีคนสามารถใช้วรยุทธ์บินไปบินมาเ่าั้ ก็ไม่น่าจะมีใครสามารถขึ้นไปได้
ทว่าความจริงแล้วคนเ่าั้ไม่มีจริง จ้งเยียนเองก็ไม่เคยเห็น เหล่าทหารที่เก่งกาจในวังหลวงก็ยังไม่อาจโบยบินขึ้นไปบนหลังคาได้เช่นนั้น
จ้งเยียนค่อนข้างมั่นใจ เพราะองค์หญิงเองก็เคยจงใจทดสอบดูเช่นกัน
องค์หญิงมีหลายเื่ที่นึกสงสัย จึงได้ลองไล่ให้แมวปีนขึ้นไปบนกำแพงวัง ด้วยเพราะอยากจะเห็นทหารเ่าั้บินขึ้นไปเก็บแมวลงมา
ผลลัพธ์คือเหล่าทหารก็ต้องใช้บันไดปีนขึ้นไป มิได้บินขึ้นไปเช่นที่คิด
เมื่อลองอีกครั้ง เหล่าทหารก็เพียงยิงธนูไล่ให้เ้าแมวหนีลงมา
จ้งเยียนบินไม่ได้ ท่านอาจารย์ของเขาก็บินไม่ได้
“ข้าปีนขึ้นมา” เฉินโย่วกล่าวขึ้นอย่างโอ้อวดพร้อมสะบัดแส้ในมือ แส้ในมือของนางเมื่อกระทบกับแสงแดดก็เปล่งประกายสีฟ้าอ่อนๆ
สีหน้าของจ้งเยียนพลันเปลี่ยนไป
ต่อมาดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มบนกำแพงจะเบิกบานใจเกินไป ยามที่มือโบกสะบัดสาธิตให้เขาดู จึงทำให้ไม่ทันระวังเผลอปล่อยมืออีกข้าง
ทันใดก็มีเสียงดังตุ๊บ พร้อมกับร่างนั้นที่ร่วงลงมา
เด็กชายร่วงลงมาบนพุ่มดอกไม้
จ้งเยียนถลึงตามองร่างนั้นหล่นหายเข้าไปในพุ่มดอกไม้
จากนั้นก็ค่อยๆ ไถลมาตรงหน้าเขา
ใบหน้าไม่ได้รับาเ็อะไร เพียงแต่ผมยุ่งไปสักหน่อย
เสื้อผ้าก็ทั้งขาดทั้งยับย่นไปหมด
ยามนี้เด็กชายท่าทางจนตรอก ทั้งศีรษะและร่างกายเต็มไปด้วยดอกไม้
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงอยากหัวเราะขึ้นมา
“เ้ายังไหวไหม”
เด็กชายพลันยกมือขึ้นกุมศีรษะแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “จบเห่แล้ว เสื้อผ้าขาดเช่นนี้ หากกลับไปแล้วโดนด่าขึ้นมาจะทำอย่างไรดี”
เมื่อเห็นท่าทีทุกข์ทรมานของเด็กชาย จ้งเยียนยังนึกว่าเขาคงได้รับาเ็
ไม่คาดคิดว่าที่แท้จะเป็เพราะเื่เสื้อผ้า
เด็กคนนี้ช่างดูมีความสุขเสียจริง ความคิดแรกที่ลอยเข้ามาในหัวเมื่อเขาได้ยินเด็กชายกล่าวเช่นนั้นคือ ครอบครัวของเด็กชายตรงหน้าย่อมต้องอบอุ่นมากเป็แน่
เด็กคนนี้จะต้องเป็บุตรชายของท่านอ๋องสักคนเป็แน่จึงได้ซุกซนเช่นนี้ ยามออกมาเที่ยวเล่นยังอุตส่าห์กังวลเื่เสื้อผ้าว่าจะโดนคนที่บ้านตำหนิเอาได้
ยามปกติเ้าเด็กนี่จะต้องซุกซนมากเป็แน่
เขาชอบยามเ้าเด็กนี่ขมวดคิ้วนัก หากว่าเขาเป็ผู้าุโย่อมจะต้องตัดใจลงโทษหนักๆ ไม่ลงเป็แน่ ดังนั้นทุกคนคงได้แต่ลงโทษสถานเบา จนเ้าเด็กนี่ซุกซนยิ่งกว่าเดิม
มิเช่นนั้นจะมีเด็กคนใดที่ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน ปีนกำแพงวังอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้
ทันใดนั้นก็มีเสียงทหารลาดตระเวนกำลังวิ่งเหยาะๆ มาทางนี้
เด็กชายเบิกตาโพลง มองเขาด้วยสายตาเว้าวอน จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปหลบอยู่ในพุ่มดอกไม้
ท่าทีของเด็กชายไม่ได้ระแวดระวังเขาแม้แต่น้อย
จ้งเยียนได้แต่งงงวย
รอจนทหารลาดตระเวนมาถึง ก็เห็นว่าท่านราชครูนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ จึงได้เอ่ยถามขึ้น “ใต้เท้า ท่านพบสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
จ้งเยียนรู้สึกว่ามีมือกำลังกระทุ้งหลังเขาจนรู้สึกคันขึ้นมา เขาจึงส่ายหน้าอย่างเยือกเย็น
“เมื่อครู่เหมือนว่าจะมีนกบินผ่านไปทางนั้น” จ้งเยียนทำหน้านิ่งพร้อมทั้งชี้ไปด้านหน้า
