เสียงของรถไฟดังฉึกฉักๆ ขณะแล่นไปในความมืดบริเวณรอบๆ ไร้ซึ่งแสงไฟแต่กลับมีแสงจากดวงดาวส่องสว่างลงบนพื้น เมื่อมองดีๆยังพอทำให้เห็นฝูงวัวกับฝูงแกะเดินไปบนสันเขา
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จอาจารย์หลันเท้อก็เดินเข้ามาพร้อมกับตำราในมือก่อนจะนั่งลงข้างๆ พวกข้าแล้วพูดขึ้น“ข้าจะพูดเน้นอีกครั้งหนึ่งว่าหมู่บ้านฮวงเจวี๋ยอยู่ห่างจากตัวเมืองหลินเสี่ยเฉิงมากซึ่งเป็เพียงหมู่บ้านที่ชำรุดทรุดโทรมและอยู่ห่างจากกำแพงชีวิตไม่ถึงสิบลี้รอบนอกล้วนแล้วแต่เป็ป่าเขาและมีอันตรายค่อนข้างมากเพราะมีทหารคอยดูแลอยู่ไม่ถึงร้อยคนแต่มีพวกล่าเงินรางวัล นักฆ่าและพวกหัวขโมยอยู่เป็พันดังนั้นพวกเ้าจะต้องคอยเกาะกลุ่มกันไว้ตลอดเพราะถ้าคนใดคนหนึ่งแยกออกไปอาจจะกลายเป็เป้าสายตาได้ข้าเองก็จะคอยดูแลปกป้องชีวิตของพวกเ้าตลอดการเดินทาง แต่ไม่รับประกันว่าพวกเ้าจะได้รับาเ็หรือเปล่า”
ถังเชวียหรานกระตุกยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์แบบไหน ท่านก็อย่ายื่นมือเข้ามาช่วยเด็ดขาดเพราะนี่เป็การฝึกฝนด้วยตัวของพวกข้าเอง ถ้าขืนท่านยื่นมือเข้ามาช่วยแล้วจะเรียกว่าการฝึกฝนด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน?”
ข้าพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
หลันเท้อลูบจมูกเบาๆ ก่อนจะยิ้มขึ้น “ได้ไม่เสียแรงที่เป็ลูกศิษย์ของข้า ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ละกันถ้าพวกเ้ามีใครเป็อะไรขึ้นมาละก็อย่างมากข้าก็แค่ถูกลงโทษและลาออกกลับไปอยู่ในป่าในเขาเหมือนเดิมแค่นั้น”
พวกเราพากันหัวเราะแบบไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็รู้ดีว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆหลันเท้อไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอน
...
เมื่อรถไฟมาหยุดที่กลางทุ่งในตอนกลางคืนพวกเราก็ขนของลงมาบริเวณโดยรอบล้วนแต่เป็ป่าลึกที่ยังได้ยินเสียงของหมาป่าร้องออกมาหลันเท้อยกมือขึ้นชี้ก่อนจะพูดออกมา “เห็นแสงไฟตรงนั้นไหม? นั่นแหละหมู่บ้านฮวงเจวี๋ยไปกันเถอะ พวกเราจะต้องรีบไปให้ถึงที่นั่นภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นก็ค่อยหาที่พักกัน”
“ขอรับ อาจารย์”
พอเดินไปบนทางเล็กๆ ในป่าหลันเท้อก็เดินนำอยู่ด้านหน้า ส่วนข้าเดินอยู่ด้านหลังสุดโดยมีซูเหยียนเดินอยู่เคียงข้างถึงแม้ในมือจะถือกระเป๋าที่หนักว่าห้าสิบกิโลแต่ก็ไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไร
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงพวกเราก็มาถึงจุดหมาย
และก็เป็อย่างที่คิดไว้จริงๆเมื่อด้านในคือหมู่บ้านที่ค่อนข้างทรุดโทรมและมีเพียงโรงเหล้าไม่กี่หลังที่ยังมีแสงไฟส่องสว่างและด้านในก็มีเสียงการดื่มเฮฮาสังสรรค์ของพวกทหาร
“พ่อหนุ่ม อยากได้ที่พักไหมเอ่ย?”
หญิงสาวที่ทำตัวลับๆ ล่อๆอยู่ในความมืดพูดอย่างยั่วยวน “มาพักที่บ้านข้า คืนละสามร้อยเหรียญบริการจนกว่าเ้าจะพอใจเลยนะ...”
หลันเท้ออดถามขึ้นมาไม่ได้ “บริการอะไร?”
ซูเหยียนและตั้นไถเหยารีบพูดขึ้นมาทันที“ท่านอาจารย์ ไหนท่านบอกว่าจองโรงแรมไว้แล้วไม่ใช่หรือไง?”
“อ้อ ข้าเกือบลืมไปเลย...”
หลันเท้อลูบท้ายทอยก่อนจะพูดขึ้น“อยู่ตรงหน้านี้แหละ โรงแรมชั้นดีและเจริญที่สุดในหมู่บ้านนี้เลยล่ะ”
“หืม? ฟังดูแล้วก็ไม่เลวเหมือนกันนะ...”ซูเหยียนว่าพลางยิ้ม
แต่ข้ากลับไม่ได้หวังอะไรมากมายเพราะถนนของหมู่บ้านยังเป็ถนนดินแดงอยู่เลยแล้วการที่ไปหวังว่าจะมีโรงแรมห้าดาวระดับดีๆ อยู่ในนี้ไม่เหมือนกับเพ้อฝันหรือไง?
และก็เป็ไปตามคาดเมื่อโรงแรมที่ว่าเป็เพียงกระท่อมหลังใหญ่ที่อยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้นแม้แต่กำแพงยังมีรูพรุนเต็มไปหมด ส่วนเ้าของก็เป็หญิงที่มีน้ำหนักอย่างน้อยๆก็สองร้อยกว่ากิโลนางเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่มีการแต่งเต็มสีจัดจ้านก่อนจะพูดขึ้น“พวกท่าน้าที่พักหรือเปล่า?”
“ข้าจองห้องไว้แล้ว”
อาจารย์หลันเท้อว่าแล้วล้วงเอาตราสัญลักษณ์ของสำนักหมื่นิญญาออกมาแล้วพูดขึ้น“คนของพวกเรามาที่นี่เมื่อวันก่อนแล้วจองห้องสำหรับพักเจ็ดวันที่มีเตียงใหญ่ในห้องหมายเลข002”
“อ้อ ข้านึกออกแล้ว เชิญทางนี้ได้เลย”
“เตียงใหญ่?...เตียงใหญ่ที่ว่าหมายความว่าไง?” ซูเหยียนถามอย่างสงสัย
ถังเชวียหรานที่มึนงงไม่ต่างกันพูดขึ้นมา“หรือว่า...จะเป็ห้องพักสำหรับคนห้าคนอย่างงั้นเหรอ?”
หลันเท้อพูดขึ้น“ปัจจัยความเป็อยู่ของที่นี่ก็แบบนี้แหละ พวกเ้าก็ถูไถๆ ไปก่อนละกันอีกอย่างที่นี่ก็อันตราย จะพักคนละห้องก็ดูจะอันตรายเกินไป”
ข้าถามขึ้น “แล้วท่านล่ะจะไปพักที่ไหน?”
“ที่สาวงามคนเมื่อกี้ไง...”
ซูเหยียนถึงกับโมโหเมื่อได้ยิน “อาจารย์!ทำไมพวกข้าต้องพักรวมกันแล้วท่านถึงได้ไปอยู่ในที่สบายๆ แบบนั้นล่ะ?”
“ถือเป็การฝึกฝนของพวกเ้าอย่างหนึ่งยังไงล่ะ”หลันเท้อว่าแล้วเปลี่ยนเป็น้ำเสียงหนักแน่น “คืนนี้พักผ่อนให้เยอะๆพรุ่งนี้เช้าข้าจะกลับมาพาพวกเ้าเริ่มทำภารกิจ เอาล่ะ ไปนอนได้แล้ว ข้าไปล่ะ...”
เพียงพริบตาเดียวคนที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างหลันเท้อก็หายไปอย่างรวดเร็วส่วนพวกข้าก็ถูกพาเข้าไปในห้อง
ด้านในเป็ห้องกว้างๆมีผนังกั้นไว้เป็ห้องรับแขกด้วยแต่ว่าในห้องกลับเป็เตียงใหญ่ที่จะต้องนอนเรียงกันห้าคนแถมเตียงนั้นยังมีกลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไร ดูก็รู้ว่ามีชายชาติทหารหรือใครเคยมานอนแล้วบ้าง
เมื่อเห็นแบบนี้พวกนางต่างก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
เหลือเพียงข้าคนเดียวที่ดูจะไม่รู้สึกรังเกียจอะไร“พวกเ้านอนบนเตียงแล้วกัน เดี๋ยวข้าจะไปปูผ้านอนในห้องรับแขก”
หลิวถงเอ๋อร์ที่ได้ยินเบิกตาโพลงก่อนจะพูดขึ้น“แบบนั้นจะดีเหรอ? เพราะถ้าเ้าพักผ่อนไม่เพียงพอขึ้นมาอาจจะกระทบต่อการต่อสู้เป็ทีมของพวกเราได้นะ...”
นางคงเป็สาวงามผู้มีจิตใจอ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ
ซูเหยียนได้ยินแล้วก็พูดเสริม “เอ้า เ้าคนกินจุเ้านอนกับพวกเราก็ได้ เพราะยังไงก็ใส่เสื้อผ้านอนกันทั้งนั้น ไม่เป็อะไรหรอกพวกเราไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวนอนกันเถอะ”
“อืม”
บางครั้งคงเป็เพราะศิษย์ของสำนักอย่างพวกเราไม่ได้สนใจเื่แบบนี้มากนักก็เลยไม่ได้คิดอะไรถึงขนาดที่ว่ามีศิษย์บางกลุ่มของสำนักที่คบหาดูใจเพียงเพราะอยากจะได้พลังและวรยุทธ์ของอีกฝั่งก็มีซึ่งหอพักที่ขึ้นชื่อว่าแยกหญิงชายก็ใช่ว่าจะเป็ไปตามชื่อเพราะมีหลายคนที่ใช้เงินซื้อห้องพักเพื่อใช้เป็รังรักของคู่นอนตัวเองจนกลายเป็เื่แปลกที่ปกติของสำนักไปเสียแล้ว
พอหญิงงามทั้งสี่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยต่างก็พากันใส่ชุดนอนแล้วนอนลงบนเตียง
ส่วนข้าไม่มีชุดนอนก็เลยต้องใส่เสื้อเชิ้ตของสำนักแล้วเข้านอนด้วยกันโชคดีที่อากาศค่อนข้างดีไม่ร้อนไม่หนาวก็เลยนอนได้อย่างสบายๆ
พอปิดไฟแล้วก็มีเสียงลมพัดผ่านหน้าประตูกับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาผ่านประตูหน้าต่างมันเงียบจนข้าได้ยินเสียงการดื่มเหล้าที่มีทั้งก่นด่าและทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกันข้างนอก
ซูเหยียนที่นอนอยู่ข้างๆพลิกตัวกลับมามองข้าด้วยแสงไฟสลัวๆ ข้าใช้แขนทั้งสองข้างซ้อนกันไว้ใต้ท้ายทอยถึงแม้ไม่ได้หันไปมองก็รู้ว่านางกำลังมองข้าอยู่จึงถามขึ้น “เป็อะไรนอนไม่หลับเหรอ?”
นางยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“เ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”
ข้ากระแอมเสียงเบาก่อนจะบอกไป“นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าต้องนอนกับผู้หญิง ก็เลย...ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นน่ะ”
ตั้นไถเหยาพูดขึ้น“ตื่นเต้นหรือว่าหวั่นไหวกันแน่ เกิดเป็คนก็ต้องจริงใจหน่อยสิ”
ข้าถึงกับหน้าแดงก่อนจะบอกไป“มันก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
นางทั้งสองได้ยินแล้วก็หัวเราะกันคิกคัก
ถังเชวียหรานมองขึ้นไป้าพลางพูดบ้าง“พวกเ้าสามคนนี่จริงๆ เลย วันข้างหน้าพวกเราจะต้องทำงานร่วมกันนะแถมยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมากมาย นี่ไม่ทันไรก็ตื่นเต้นและหวั่นไหวกันแล้วอีกหน่อยจะไม่แย่เหรอ?”
ตั้นไถเหยาได้ยินจึงพูดขึ้น“เ้าเองก็นอนไม่หลับไม่ใช่หรือไง?”
“ข้าถูกเสียงของพวกเ้าปลุกให้ตื่นต่างหาก...”นางพูดอย่างหมดแรงก่อนจะยอมรับความจริง “อืม...ยอมรับก็ได้ จริงๆแล้วข้าก็ไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน...”
“ในเมื่อต่างคนต่างนอนไม่หลับถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันดีกว่าไหม?” ซูเหยียนว่าแล้วก็พลิกตัวกลับไปทำให้เส้นผมนุ่มๆของนางสะบัดลงมาบนตัวของข้าพร้อมกับสะโพกนิ่มๆ ที่ทำให้ข้ารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
ดูเหมือนว่านางเองก็รู้สึกตัวกับการััก็เลยรีบขยับออกห่างแล้วพูดขึ้น“ในเมื่อเราต่างก็มีความฝันอยากจะเป็เทพศาสตราวุธเหมือนกันถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องกำหนดเป้าหมายต่อไปให้ดีข้าไปศึกษาเกี่ยวกับเื่นั้นมาบ้างแล้วจึงรู้ว่าพ่อของถังเชวียหรานอย่างถังอานหลีซึ่งอยู่ในลำดับที่33ของเทพศาสตราวุธเขาอยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้นผู้พิทักษ์ระดับ์ซึ่งก็ยังอยู่ไกลเกินเอื้อมดังนั้น่นี้เป้าหมายของพวกเราเปลี่ยนไปเป็จอมยุทธ์ในอันดับัพยัคฆ์ก่อนดีกว่าโดยจอมยุทธ์ลำดับสุดท้ายในการจัดอันดับที่ว่าอยู่ในระดับกลางของขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพซึ่งตอนนี้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเราก็คือปู้อี้เชวียนที่อยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญาส่วนข้าก็บรรลุระดับกลางของขั้นเทวิญญาแล้ว พวกเ้าอีกสามคนล่ะ?”
ถังเชวียหรานได้ยินแล้วจึงพูดขึ้น“ข้าอยู่ในระดับต้นของขั้นเทวิญญา”
ตั้นไถเหยา “ระดับสมบูรณ์ของขั้น์”
หลิวถงเอ๋อร์“ข้าก็อยู่ในขั้นเดียวกันกับถังเชวียหรานนั่นแหละ”
ตั้นไถเหยาลอบยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“ดูเหมือนว่าอาจารย์ปู้ของพวกเราจะมีการพัฒนาเร็วที่สุดสินะอีกหน่อยก็คงจะเป็หัวหน้ากลุ่มของพวกเราแล้วล่ะ!แล้วนี่เ้ามีวี่แววว่าจะบรรลุอีกขั้นแล้วหรือยัง?”
ข้าส่ายหน้าก่อนจะบอกไป “ยังไม่มีเลยมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นสักหน่อย...จริงด้วยสิเสี่ยวเหยียนทำไมคราวนี้ลุงหลงถึงไม่ตามมาด้วยล่ะ?”
ซูเหยียนพูดขึ้น“ก็เพราะคราวนี้มีอาจารย์หลันเท้อเป็คนพามาอย่างไรล่ะลุงหลงก็เลยไม่ได้ตามมาด้วย”
ข้าผงกหัวขึ้นมองถังเชวียหรานซึ่งนางก็มองข้าอยู่เหมือนกัน
“มองข้าทำไม?” นางถามขึ้น
ข้าได้ยินแล้วก็พูดขึ้น“ก็เ้าเป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลถังในดินแดนกาฬวาตแต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีองครักษ์ประจำตัวเลยสักนิดก็เลยดูไม่ปกติสักเท่าไร”
นางยิ้มแล้วยักไหล่ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าเหรอ...ท่านพ่อรู้ดีว่าข้าดูแลตัวเองได้ก็เลยไม่ได้เป็ห่วงหรือกังวลอะไรขนาดนั้นจึงปล่อยๆ ไป ถ้าไม่เชื่อเ้าก็ลองถามเสี่ยวเหยียนดูสิพ่อข้าเป็คนพูดออกมาเองกับปากเลยนะ”
ซูเหยียนพูดขึ้นบ้าง“เ้านี่มันน่าอิจฉาชะมัดที่ไม่ต้องมีใครคอยตามตลอดเวลา”
ถังเชวียหรานยืดตัวบิดี้เีจนหน้าอกของนางยืดออกเผยให้เห็นก้อนเนื้อนูนออกมาเหมือนชามที่คว่ำเอาไว้ ข้าเองก็มองจนตาแบบถลน...ผู้หญิงสมัยนี้รูปร่างดีชะมัด!!
ตั้นไถเหยาหาวหวอดๆ ก่อนจะพูดขึ้น “นอนเถอะๆเดี๋ยวพรุ่งนี้จะต้องไปทำภารกิจอีก นอนเก็บแรงไว้บ้างก็ดี”
“อืม”
ทุกคนต่างก็นอนหลับกันหมดแล้วส่วนข้าก็หลับลงไปด้วยอาหารมึนๆ จากการเมารถนิดหน่อย
ในความฝัน...
ข้ารู้สึกถึงร่างกายที่นิ่มนวลสอดแทรกเข้ามานอนในอกส่วนข้าเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่กลับทำให้รู้สึกคุ้นเคยแปลกๆกระทั่งเสียงไก่ป่าร้องขันข้าถึงได้ลืมตาตื่นแสงที่สาดส่องเข้ามาตกบนร่างทำให้รู้ว่าข้ากำลังนอนกอดหญิงงามที่มีเส้นผมสีทองอยู่ไม่ใช่ซูเหยียนแล้วจะเป็ใครกัน!
แขนซ้ายของนางพาดอยู่บนตัวและใบหน้าที่งดงามก็กำลังทาบอยู่บนหน้าอกของข้าอยู่เมื่อก้มหน้ามองต่ำลงไปก็มองเห็นก้อนเนื้อขาวที่ไม่ได้มีอะไรมาปิดกั้นซึ่งมันก็แนบเข้ากับหน้าอกของข้าจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“อือ...”
นางค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมามองข้าช้าๆก่อนจะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมจึงได้ดิ้นขลุกขลักอยู่บนตัว ข้าจึงรีบปล่อยแขนออกเมื่อลุกขึ้นได้นางก็รีบจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะพูดขึ้น “ยังจะมองอยู่อีกเ้าคนกินจุ!”
ข้ารีบเก็บสายตาเดิมที่ทำให้หายใจไม่สะดวกดูเหมือนว่าการฝึกฝนด้วยตัวเองครั้งนี้จะมอบอะไรดีกว่าที่คิดเสียอีก!
และในตอนนี้เองเสียงของอาจารย์หลันเท้อก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก“ตื่นได้แล้ว ข้าให้เวลาเตรียมตัวครึ่งชั่วโมงแล้วก็ออกมากินข้าว เร็วๆ หน่อย!”
...
ขณะที่ข้าเปิดประตูออกไปล้างหน้าแปรงฟันอาจารย์หลันเท้อที่ยืนกอดอกอยู่ตรงระเบียงก็พูดพลางยิ้มขึ้น“ดูเหมือนจะสดชื่นไม่เบานี่ เมื่อวานไม่ได้ทำอะไรพิเรนทร์ๆ ใช่ไหม?”
ซูเหยียนหน้าแดงก่อนจะปรายตามองข้าพักหนึ่ง
ตั้นไถเหยากลับเบิกตาโตมองไปที่คอของหลันเท้อก่อนจะพูดขึ้น“ท่านอาจารย์ ก่อนท่านจะออกมาช่วยเช็ดรอยลิปหน่อยเถอะ แล้วขอบตาดำๆของท่านมันมาได้อย่างไร?”
หลันเท้อพูดเสียงต่ำเหมือนมีลับลมคมใน“นั่นมันบทรักที่เรียกว่า ‘รอยฝากรักจากใจสาว สุขใจสว่างดุจแสงดาวมิรู้ลืม’พวกเ้ายังเด็กจะไปรู้อะไร”
ข้าถึงกับอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “บทรักบ้าอะไรล่ะแล้วนี่ท่านจ่ายเงินหรือยัง?”
“เจ็ดร้อยเหรียญ! ให้ตายเถอะอยู่ๆ นางก็ขึ้นราคาขึ้นมาตั้งเยอะ พูดแล้วก็โมโห!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้