“ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านลืมปล่อยมือขอรับ” หลี่ลั่วเอ่ยเตือนขึ้น
“อืม” กู้จวิ้นเฉินรับคำ จากนั้นจึงปล่อยมือ
หลี่ลั่วเปิดประตูรถม้า ขณะที่หลี่ฉางเฉิงกำลังจะอุ้มเขาลงจากรถม้านั้น กู้จวิ้นเฉินก็ได้มานั่งตรงประตู “เมื่อข้าอายุเท่าเ้านั้น ล้วนขึ้นลงรถม้าด้วยตนเอง”
คำพูดลอยๆ เพียงประโยคเดียว ทำให้มือของหลี่ฉางเฉิงถึงกับแข็งค้างไปในทันที หลี่ลั่วผู้น่าสงสารต้องเดินลงมายังแท่นเหยียบอย่างระมัดระวัง หลังจากที่เดินลงมาอย่างปลอดภัย เขาก็หันกลับไปถลึงตาให้กับกู้จวิ้นเฉินครั้งหนึ่งอย่างแค้นเคือง
ชายหนุ่มนั่งพิงประตูรถม้าในมุมย้อนแสง ดวงตาที่สงบนิ่งทั้งคู่มองมายังตนเอง สายตานั้นลุ่มลึก ทว่ากลับมีรอยยิ้มเคลือบแฝงอยู่ด้วย แม้ว่าจะเป็เพียงบางๆ แต่สว่างสดใสราวกับแสงแดด
คนผู้นี้หน้าตาดีอย่างเหลือร้าย ั้แ่ครั้งแรกที่เห็นกู้จวิ้นเฉินในจวนจงกั๋วกง ทุกครั้งที่หลี่ลั่วพบเขาอีกครั้งล้วนรู้สึกว่าเขาน่าดูยิ่งขึ้น คิ้วและดวงตาของเขาราวกับภาพวาด กลิ่นอายสูงส่ง ราวกับเป็ภาพวาดที่ได้วาดแล้วเสร็จมาเนิ่นนาน ช่างวิจิตรบรรจงนัก น้อยยิ่งนักที่เขาจะยิ้ม แต่เมื่อเขายิ้มกลับทำให้คนรู้สึกว่าในนาทีนั้นสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนไร้ซึ่งสีสัน
งดงามเกินไป
ฉีอ๋องผู้หล่อเหลาเป็ว่าที่สามีของเขา หลี่ลั่วรู้สึกว่าเหมือนกับมีชีวิตอยู่ในความฝัน
เมื่อเห็นหลี่ลั่วมองเขาอย่างโง่งม มุมปากของกู้จวิ้นเฉินก็พลันโค้งขึ้น จากนั้นปิดประตูรถม้า “ไปจวนจงกั๋วกง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
มองรถม้าค่อยๆ ห่างออกไป เป็ครั้งแรกที่หลี่ลั่วรู้สึกว่าภายในใจของเขานั้นวูบโหวงว่างเปล่า เขาอยาก...จะติดตามไปด้วย
ณ จวนจงกั๋วกง เรือนต้านสุ่ย
“เ้ามาได้อย่างไรกัน?” ผู้ที่ไม่นิยมชมชอบการออกจากจวนเช่นนี้ หาได้ยากนัก หลี่ต้านต้อนรับอย่างกระตือรือร้น แต่แววตาของเขากลับมีความกลัดกลุ้มปรากฏอยู่
กู้จวิ้นเฉินเอ่ย “กินข้าวกับลั่วเอ๋อร์ที่หอชมจันทร์ เลยแวะมาเยี่ยมเ้า”
“แล้วน้องหกของข้าเล่า?” หลี่ต้านมองไปทางด้านหลังของเขา ไม่เห็นเงาของหลี่ลั่ว
“เขายังเล็ก กินข้าวแล้วก็ต้องส่งเขากลับไปพักผ่อน” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
หลี่ต้านประหลาดใจ “ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าฝ่าายังมีมุมที่รู้จักเอาใจใส่ต่อผู้อื่นเช่นนี้” ฝนสีแดงจะตกลงมาจากท้องฟ้าแล้วหรือไร?
“ต่อไปรอให้เ้าหมั้นหมายแล้วเ้าก็จะรู้เอง เอาใจใส่ต่อว่าที่ภรรยาของตนเองไม่ใช่เื่ที่สมควรทำหรอกหรือ?” กู้จวิ้นเฉินถามกลับ
“...” ความรักช่างมาได้รวดเร็วนัก ทว่าหลี่ต้านกลับมีสีหน้าดำทะมึนลง “ฝ่าา หม่อมฉันอยากไปเข้าร่วมกองทัพ ซีเป่ยนั้นเป็ที่ถิ่นของพี่ชายท่าน ข้าไปเข้าร่วมกองทัพเป็เช่นใด?”
กู้จวิ้นเฉินรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเขา “ไฉนจู่ๆ จึงอยากจะไปเข้าร่วมกองทัพเล่า? แม้ว่าซีเป่ยจะเป็ถิ่นของพี่ชายข้า แต่ในบรรดาค่ายทหารทั้งหมด กองทัพซีเป่ยเป็สถานที่ที่ยากจนข้นแค้นที่สุด ทหารซีเป่ยนับสิบหมื่น ราวๆ สามปีจึงจะจ่ายเงินเดือนครั้งหนึ่ง อาหารการกินนั้นย่ำแย่ยิ่งนัก”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำเพื่อเงินเดือนหรือปากท้อง” หลี่ต้านตอบ “ฝ่าาน่าจะยังไม่เคยไป อย่าได้พูดเช่นนี้เพื่อจะทำให้ข้าเกรงกลัวเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อครั้งเสด็จพ่อยังมีพระชนม์อยู่นั้น เสด็จอามักจะพูดกับเสด็จพ่อเื่สถานการณ์ของทหารซีเป่ย พี่ชายเขียนจดหมายมาแจ้งที่บ้านเสมอ” กู้จวิ้นเฉินอธิบาย “เ้าย่อมไม่ได้ทำเพื่อเงินเดือน หรือเพื่อปากท้อง ถ้าเช่นนั้นทำเพื่อความดีความชอบทางทหารใช่หรือไม่?”
“ความดีความชอบทางทหารหรือ?”
“กั๋วกงเหฺยอายุมากแล้ว บิดาของเ้าน่าจะสืบทอดบรรดาศักดิ์ภายในปีสองปีนี้ เมื่อถึงเวลานั้นพี่ชายคนโตของเ้า หลี่เจ๋อ จะถูกแต่งตั้งเป็ซื่อจื่อ ส่วนคุณชายรองเช่นเ้าย่อมไม่มีภาระความรับผิดชอบใดๆ ไฉนจึงต้องไปลำบากที่ซีเป่ยเล่า?” คำพูดของกู้จวิ้นเฉินตรงประเด็นยิ่งนัก เขากับหลี่ต้านนั้นถือได้ว่าเติบโตมาด้วยกัน นิสัยของหลี่ต้านร่าเริงแจ่มใส ย่อมไม่เหมาะสมที่จะไปอยู่ในค่ายทหาร
หลี่ต้านนิ่งเงียบไป
“หากเ้าไปซีเป่ยแล้ว สระบัวที่เ้ารักจะทำเช่นใดเล่า?” กู้จวิ้นเฉินถามอีก
“ข้าไม่้าสระบัวอีกต่อไปแล้ว” หลี่ต้านพูดเสียงต่ำ
“อะไรกัน?”
หลี่ต้านพลันลุกพรวดขึ้น “ฝ่าารอสักครู่...ใครก็ได้ เอาสุรามากาหนึ่ง”
บ่าวรับใช้นำสุรามาอย่างรวดเร็ว หลี่ต้านรินสุราให้ตนเองและกู้จวิ้นเฉินคนละถ้วย “ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ฝ่าา ฝ่าามีเื่มงคลทำให้สีหน้าผ่องใสยิ่งนัก ข้าก็อยากจะได้รับกลิ่นอายมงคลจากฝ่าาเช่นกัน แต่ไฉนจึงไม่ได้รับไอมงคลเลยเล่า” พูดแล้ว ก็ดื่มเหล้าอึกใหญ่
กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว “อีกสักครู่เมื่อกลับไปถึงจวนอ๋องแล้วจะส่งอาภรณ์ของข้ามา ให้เ้ากอดเอาไว้เพื่อรับกลิ่นอายมงคล”
“ข้าคิดว่าพวกเราต่างเติบโตมาด้วยกัน แต่ไฉนเลยจะรู้ว่า...ที่แท้จริงแล้วผู้อื่นกำลังรอให้นางเติบโต” หลี่ต้านดื่มสุราอีกอึกหนึ่ง
สิ่งใดเติบโตไม่เติบโตกันเล่า? กู้จวิ้นเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เ้ามีหญิงสาวในใจแล้ว...มีคนในใจแล้วใช่หรือไม่?” ที่จริงแล้วอยากจะพูดว่าหญิงสาว แต่เมื่อคิดดูแล้วคนที่หลี่ต้านชมชอบอาจจะเป็ชายหนุ่มก็ได้ ดังนั้นจึงพูดว่าคน ฉีอ๋องหมั้นหมายกับคนเพศเดียวกัน คิดว่าผู้อื่นในใต้หล้าก็คงชอบเพศเดียวกันเช่นกัน
ความคิดดียิ่งนัก แต่ความจริงนั้นยากยิ่ง
คิดไม่ถึงว่าคำพูดนี้ของกู้จวิ้นเฉินจะทำให้หลี่ต้านปวดใจยิ่งกว่าเดิม เขาดื่มสุราไปด้วยและพูดไปด้วย “ชอบแล้วมีประโยชน์อันใด ข้าชอบนางมาั้แ่เล็ก ดอกบัว...ดอกบัวผายลมน่ะสิ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่นางที่ชอบดอกบัว แต่เป็พี่ชายคนโตของเ้าต่างหากเล่าที่ชอบดอกบัว”
อะไรกัน? กู้จวิ้นเฉินฟังรู้เื่บ้างไม่รู้เื่บ้าง แต่เขาค่อยๆ ปะติดปะต่อเื่ราว “คนที่เ้าชอบนั้นชอบหลี่เจ๋อใช่หรือไม่? เ้าคิดว่าอีกฝ่ายชอบดอกบัว ดังนั้นจึงคิดวิธีขุดสระบัวนี้ขึ้นมา แต่กลายเป็ว่าอีกฝ่ายชอบเพราะชอบพี่ชายคนโตของเ้าจึงชอบดอกบัวใช่หรือไม่?”
“ข้าชอบนางมาั้แ่เล็ก ชอบมาั้แ่เล็ก ท่านรู้หรือไม่?” หลี่ต้านดื่มสุรามากเกินไปแล้ว ถ้วยแล้วถ้วยเล่า สติของเขาเริ่มเลอะเทอะ ไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดสิ่งใดอยู่ เขาเพียงแต่้าระบาย
แม่นางที่ตนชมชอบกำลังถูกทาบทามเื่แต่งงานกับพี่ชายของตน ใจของเขานั้นเ็ปนัก
ทั้งๆ ที่พวกเขาเหมาะสมกันมากกว่า อายุของพวกเขาไล่เลี่ยกันมากกว่า เหตุไฉนคนที่นางชมชอบกลับเป็พี่ชายของเขาเล่า? บนโลกใบนี้ นางจะชมชอบผู้ใดก็ได้ เขาล้วนสามารถไปแย่งชิงได้ แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ นั่นก็คือพี่ชายของเขา ประการแรก พวกเขาเป็พี่น้องแท้ๆ เขาไม่มีเหตุผลที่จะไปแย่งผู้หญิงของพี่ชายตนเอง ประการที่สอง สองพี่น้องแย่งชิงผู้หญิงคนเดียวกัน หากคำพูดนี้ถูกแพร่งพรายออกไป นางยังจะอยากมีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่?
น้ำตาของหลี่ต้านไหลนองหน้า เขาเดินมาอยู่ข้างกายกู้จวิ้นเฉิน คิดจะกอดเขาร่ำไห้ แต่กู้จวิ้นเฉินเตะออกไปทีหนึ่ง ทำให้หลี่ต้านกระเด็นไปอยู่บนพื้น
หลี่ต้านและกู้จวิ้นเฉินอยู่ในลานบ้าน รอบๆ นอกจากจวิ้นอีแล้วไม่มีผู้อื่น มองไปที่หลี่ต้านซึ่งม้วนตัวอยู่บนพื้นราวกับเป็ดินก้อนหนึ่ง กู้จวิ้นเฉินจึงเอ่ยขึ้นว่า “จวิ้นอี ไปเรียกบ่าวรับใช้ของเขามาเก็บกวาดที่นี่เสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
บ่าวรับใช้ของหลี่ต้านมาอย่างรวดเร็ว
“คารวะท่านอ๋อง” จากนั้นจึงรีบเข้าไปประคองคุณชายของตน
“เขาดื่มสุราเมาแล้ว หากพูดจาผายลมใดๆ เ้าได้ยินแล้วก็ให้ลืมไปเสีย หากเื่นี้แพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว เปิ่นหวางจะเอาชีวิตเ้า” ท่านอาในเรือนชมชอบพี่สะใภ้ หากคำพูดเหล่านี้แพร่งพรายออกไปจะทำเช่นใด
“พ่ะย่ะค่ะ ขอท่านอ๋องโปรดวางพระทัย” บ่าวรับใช้ผู้นี้ติดตามหลี่ต้านมาั้แ่เล็ก เป็บ่าวข้างกายหลี่ต้าน
กู้จวิ้นเฉินกลับมายังจวนอ๋อง อาบน้ำเพื่อชำระล้างกลิ่นสุราของหลี่ต้านที่ติดตัวมา อาบน้ำแล้วย่อมต้องผลัดเปลี่ยนถุงเท้า กู้จวิ้นเฉินพบว่าถุงเท้าสี่คู่นั้นไม่พอผลัดเปลี่ยน ดังนั้น ฉีอ๋องอาบน้ำเสร็จแล้วจึงเตรียมตัวเขียนจดหมายให้หลี่ลั่ว
จดหมาย ‘เนื้อผ้าที่นำมาทำถุงเท้ายังมีอีกหรือไม่?’
เขียนจดหมายเสร็จแล้ว ฉีอ๋องตัดสินใจว่าพรุ่งนี้พบหน้าหลี่ลั่วค่อยให้เขา
“ท่านอ๋อง อั้นสุ่ยกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หน่วยข่าวกรองของกู้จวิ้นเฉินนั้นทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ล้วนเป็คนที่ไท่จื่อเยี่ยนได้ทิ้งเอาไว้ในครั้งนั้น องครักษ์ธาตุทั้งห้านั้นถือกำเนิดมาจากหน่วยข่าวกรองธาตุทั้งห้าของไท่จื่อเยี่ยน ความสามารถในการสะกดรอยตามและสืบสวนดีที่สุด ไท่จื่อเยี่ยนตไปแล้ว หน่วยข่าวกรองธาตุทั้งห้าย่อมเป็กู้จวิ้นเฉินที่เข้ามารับ่ต่อ
จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้ว่าหน่วยลับดังกล่าวมีตัวตนอยู่ ครั้งนั้นเขาและไท่จื่อเยี่ยนเป็พี่น้องร่วมอุทรที่ตายแทนกันได้ ไฉนจะไม่รู้เล่า ทว่าเขากลับไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนความคิดของหน่วยข่าวกรองธาตุทั้งห้า
“ให้เขาเข้ามาได้”
อั้นสุ่ยเข้ามาแล้ว คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “คารวะท่านอ๋อง เลขที่หนึ่งแปดศูนย์ ถนนเหนือตรอกตะวันออกเป็เรือนสองห้อง ได้สืบสวนเ้าของเรือนชัดเจนแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็พ่อค้าเล็กๆ คนหนึ่ง มีร้านค้าสองแห่งอยู่ในเมืองหลวง เรือนสองห้องและร้านค้าเป็ชื่อของเขา เขาชื่อว่า ถงหลี่ว์ ปีนี้อายุสามสิบสองปี มีภรรยาหนึ่งคน บุตรสาวสองคนพ่ะย่ะค่ะ” ภายในระยะเวลาอันสั้น สิ่งที่สืบมาได้ล้วนแต่เป็ข้อมูลพื้นฐาน
ก็แค่คนที่ไม่โดดเด่นอันใดผู้หนึ่ง ไฉนจึงมีความเกี่ยวพันกับกรมวังได้เล่า?
“สืบต่อไป สืบไปถึงผังสกุลของครอบครัวของเขาด้วย คนบนผังสกุลไม่เว้นแม้แต่คนเดียว”
“พ่ะย่ะค่ะ” อั้นสุ่ยรีบออกไป
ณ จวนจงหย่งโหว
หลี่ลั่วนอนไปงีบหนึ่งแล้วจึงตื่นขึ้น บิดี้เีอย่างเกียจคร้าน การดำเนินชีวิตของเด็กน้อย กินแล้วนอน ไม่มีเื่ให้ต้องทุกข์ใจ สบายจริงๆ
“เสี่ยวโหวเหฺย ท่านตื่นแล้ว” ลวี่ผิงประคองน้ำถาดหนึ่งเข้ามาในเรือน ส่งผ้าขนหนูที่บิดแล้วให้กับหลี่ลั่ว “เมื่อสักครู่เหล่าฮูหยินส่งคนมาเ้าค่ะ เมื่อเห็นว่าท่านนอนหลับจึงไม่ได้เอ่ยอันใด บอกว่ารอให้ท่านตื่นแล้วค่อยพูดเ้าค่ะ”
หลี่ลั่วเช็ดหน้า “ไปเถิด ไปเรือนหยวนเซ่อ”
ณ เรือนหยวนเซ่อ
“ไปดูร้านค้าในเวลานี้หรือขอรับ?” หลี่ลั่วคิดแล้วก็ถูกต้อง อีกไม่กี่วันก็เดือนเก้าแล้ว ข้าวในฤดูใบไม้ร่วงต้องเก็บเกี่ยวแล้ว ถึงเวลานั้นเื่ของร้านค้าต้องดำเนินการให้เสร็จก่อน “เช่นนั้นไปกันเถิดขอรับ”
ร้านค้าสองห้องของหลี่หยางซื่อไม่ได้อยู่บนทำเลที่คึกคักของเมืองหลวง ร้านค้าที่อยู่ในทำเลที่คึกคักในเมืองหลวงนั้นราคาสูงเกินไป และหากมีร้านค้าให้ปล่อยเช่า ค่าเช่านั้นย่อมแพงเช่นกัน ร้านค้าในละแวกนั้นจะมีคนขายออกมาได้อย่างไร? ดังนั้นร้านค้าสองห้องของหลี่หยางซื่อจึงอยู่บนถนนย่านการค้าธรรมดาทั่วไปแห่งหนึ่ง
ราคาของร้านค้าไม่สูง แต่ผู้คนที่สัญจรไปมาในละแวกใกล้เคียงถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ร้านค้าที่นี่ห้องหนึ่งมีความกว้างราวๆ ห้าสิบกว่าตารางเมตร ถือเป็เงินหนึ่งพันตำลึง ค่าเช่าที่ปล่อยเช่าแต่ละปีนั้นมีเพียงสองถึงสามร้อยตำลึง ดังนั้นต้องใช้เวลาปล่อยเช่าถึงสามปีขึ้นไปจึงจะเอาทุนคืนมาได้ แต่หลี่หยางนำมาทำการค้าเอง สิ่งที่นำมาขายนั้นคือผ้า มีทั้งราคาแพงและราคาถูก อย่างไรเสียนายบ่าวในจวนโหวก็ต้องสั่งตัดเสื้อผ้าทุกๆ ฤดูกาล เนื้อผ้านั้นสามารถใช้ผ้าในร้านได้เลย เช่นนี้แล้วถูกกว่าไปซื้อผ้ามาจากร้านอื่น
ร้านค้าอีกแห่งหนึ่งเป็ร้านเครื่องประดับ สิ่งของที่ขายในร้านล้วนเป็สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดอกกุหลาบ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าเช็ดหน้าเป็ต้น สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่ว่าที่ไหนล้วนมี หากไม่ใช่ร้านค้าที่ตนเองซื้อเอาไว้ เป็การยากนักที่จะหาเงินได้ ดังนั้นร้านค้าทั้งสองแห่งนี้ล้วนทำเงินไม่ได้
ร้านนี้ดูแลรับผิดชอบโดยจี้ซิ่น บุตรชายของพ่อบ้านจี้ หลี่ลั่วไม่คุ้นเคยกับจี้ซิ่นผู้นี้ ในเวลาปกติไม่ค่อยได้พบเขา เมื่อเห็นหลี่หยางซื่อ หลี่หง และหลี่ลั่วมา จี้ซิ่นจึงรีบออกมาต้อนรับ “เหล่าฮูหยิน โหวเหฺย คุณชายใหญ่”
หลี่หยางซื่อพยักหน้า “วันนี้พาเสี่ยวโหวเหฺยมาดูร้านค้า ที่นี่เป็ร้านค้ากองกลางของจวนโหว ต่อไปยกให้เสี่ยวโหวเหฺยดูแล”
เื่นี้จี้ซิ่นทราบแล้ว เมื่อวานหลี่หยางซื่อได้เรียกตัวเขาไป และได้แจ้งกับเขาแล้ว ปัญหาคือที่นี่ยังมีผ้าและเครื่องประดับตกค้างอยู่อีกมากมาย เงินทุนที่จมอยู่นี้มีประมาณราวๆ หนึ่งพันตำลึง ไม่ใช่น้อยๆ เลย