ณ เวทีประลองยุทธ
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามจื่อต้าหลงและเฟยจินประมือกันไปแล้วกว่าพันกระบวนท่า
เหล่าศิษย์ต่างส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนานเมามัน
ในที่สุดเฟยจินก็เผยช่องโหว่
จื่อต้าหลงดวงตาวาวโรจน์ เมื่อเห็นช่องโหว่นั้นเขาจึงฟาดฝ่ามือัม่วงกระบวนท่าที่หนึ่งม่วงทะยานฟ้าด้วยพลังห้าส่วนเข้าใส่จุดอ่อนของอีกฝ่าย เฟยเจินนั้นโดนเข้าไปเต็มๆ เขากระเด็นไปอยู่ขอบเวทีประลอง กระบี่ในมือปลิดปลิว ชายหนุ่มกระอักโลหิตออกมาคำโต ดูเหมือนผลประลองจะออกมาแล้ว
“อึ้กก! ข้ายอมแพ้….” เฟยจินกล่าวยอมรับ มือกระบี่ที่ไร้กระบี่ย่อมต้องยอมรับความแพ้พ่าย
ด้านที่นั่งฝั่งผู้ชม “ฮ่าๆๆ มา!! พวกเ้าจ่ายมาสะดีๆ อย่าทำให้ข้าต้องมีโทสะ” เฉิงไฉเซียวหัวเราะพลางกล่าวเสียงดัง
พวกศิษย์ในสำนักถึงแม้จะเจ็บใจแต่ก็ยอมจ่ายแต่โดยดี เพราะอีกฝ่ายนั้น ทรงพลังมากเป็ถึงศิษย์หลักที่พลังบ่มเพาะถึงปราณจิตขั้นที่สอง พวกเขาเองก็สนุกกับการเชียร์เหมือนกัน แม้จะผิดหวังแต่ก็พอยอมรับได้
หลังจากที่ชนะเฟยจินมาได้ ตอนนี้จื่อต้าหลงเองก็อยู่ในลำดับหกของศิษย์หลักทั้งสำนักแล้ว งานประลองอาณาจักรลี่ สำนักปลาทองจะส่งเพียงร้อยศิษย์หลักไปเท่านั้นโดยที่ใครไม่อยากไป ทางสำนักก็ไม่บังคับ อย่างเช่นคุณชายเซ่อเฉิงซานที่้าช่วยงานที่ตระกูล….
การประลองครั้งนี้สำหรับจื่อต้าหลงแล้วนับว่าสบายมากเพราะเขาต้องประมือกับลวี่เหรินและเฉิงไฉเซียววันนึงไม่ต่ำกว่าสามถึงสี่พันกระบวนท่า!! ทำให้พวกเขาฝีมือเฉียบคมมาก หากระดับพลังบ่มเพาะเท่ากันไม่มีทางที่ใครจะเอาชนะพวกเขาได้ง่ายๆอย่างแน่นอน เพราะเหตุนี้ เฉิงไฉเซียวจึงกล้าเปิดโต๊ะรับพนันและเดิมพันข้างสหาย
หลังจากได้รับชัยชนะจื่อต้าหลงเดินไปที่นั่งผู้ชม เหล่าศิษย์สตรีในสำนักต่างกรี๊ดกร๊าดให้เขาจนหูชา คุณชายจื่อช่างหล่อเหลาและแข็งแกร่งยิ่งนัก อีกทั้งบางคนยังโยนผ้าเช็ดหน้าให้เขา นับได้เป็สิบผืนจนจื่อต้าหลงมึนงง เด็กหนุ่มเร่งเดินไปหาเฉิงไฉเซียวและลวี่เหรินชักชวนให้สหายรีบเผ่นออกจากบริเวณนี้ทันที….
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เ้าไม่ชอบรึได้เป็ที่นิยมของบรรดาหญิงสาว” เฉิงไฉเซียวกล่าวเย้าแหย่ขณะรีบเดินเผ่นจากฝูงชน
“ก็ชอบอยู่หรอก แต่ข้าอายน่ะ ดูเหมือนจะยังไม่ชิน ไปเถอะรีบไปกัน” จื่อต้าหลงตอบ ทั้งใบหูและหน้าเขาแดงอย่างอดขำมิได้
“ฮ่าๆๆ วันนี้ข้าได้กำไรมาเยอะ ไปหอเมฆแดงกัน มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง” เฉิงไฉเซียวกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“อย่าบอกนะว่า…” จื่อต้าหลงถามอย่างรู้ทัน
“ใช่ ข้าเอาเ้าไปพนันมา ได้มาตั้งกว่าสามพันตำลึงแน่ะ” เฉิงไฉเซียวกล่าวยิ้มๆ
“บัดซบ!! วันนี้ข้าจะกินให้กระเป๋าท่านแห้งไปเลย” จื่อต้าหลงโพล่งอย่างเคืองๆ ตัวเขาเองได้ค่าขนมจากทางบ้านแค่เดือนละสองพันห้าร้อยตำลึงเองเท่านั้น
“ลวี่เหริน เ้าเองก็เอากับเขาด้วยหรือป่าวเนี่ย รึว่าพวกเ้ารวมหัวกัน?” จื่อต้าหลงซักไซ้
“ข้าไม่เกี่ยว….” ลวี่เหรินตอบเสียงเรียบ
‘แต่ก็ดี…หลังจากนี้คงมีคนเลี้ยงสุราแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า’ จื่อต้าหลงคิดในใจ
และแล้้วเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน การเดินทางจากเมืองปลาทองไปเมืองลี่นั้น ใช้เวลาราวยี่สิบวัน ผู้ที่จะเข้าร่วมงานประลองยุทธอาณาจักรลี่รุ่นเยาว์ได้นั้น ต้องมีป้ายศิษย์หลักจากทางสำนักเพื่อรับรอง ส่วนเื่เดินทาง และใครจะเข้าร่วมหรือไม่ทางสำนักไม่ได้บังคับใครจะไปก็ไป ใครไม่ไปก็แล้วแต่เขา
จื่อต้าหลง เฉิงไฉเซียว และลวี่เหรินนั้นจะออกเดินทางพร้อมกันโดยใช้รถม้า พวกเขานัดรวมตัวกันหลังจากที่จัดการเื่ราวของแต่ละคนเสร็จแล้ว จึงออกจากเมือง
“นี่ข้าต้องนั่งในรถม้าถึงยี่สิบวันเลยรึ?” จื่อต้าหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ
“อย่างน้อยก็ดีกว่าเดินไปเองแหละน่า” เฉิงไฉเซียวตอบอย่างร่าเริง
“นี่นับว่าเป็การท่องยุทธภพครั้งแรกของข้า…” ลวี่เหรินกล่าวเสียงเรียบ
พอทั้งสองคนได้ยินลวี่เหรินพูดเช่นนั้น แววตาพลันเปลี่ยนเป็เปล่งประกาย เต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขาทั้งสาม นี่นับเป็ครั้งแรกที่ออกเดินทางจากเมืองปลาทองไปยังสถานที่ห่างไกล
รถม้าคันนี้นั่งได้ ถึงสี่คน รอบนี้พวกเขาเดินทางไปโดยมีลุงฉีสารถีคนขับรถของตระกูลจื่อเป็ผู้นำทางให้ ระหว่างทางพวกเขาอาจได้แวะหลายเมือง
ในยี่สิบวันนี้ อาจต้องผ่านเมืองมากกว่าห้าถึงหกเมือง จื่อต้าหลงเสนอมาว่าต้องลองแวะดื่มสุราขึ้นชื่อให้ครบทุกเมือง
เฉิงไฉเซียวกับลวี่เหรินเองก็เห็นด้วย การเดินทางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของสามหนุ่ม เมืองบางเมืองที่พบเห็นบ้างก็มีขนาดเล็กกว่าเมืองปลาทอง บ้างก็เท่ากัน บ้างก็ใหญ่กว่า
เวลาไหลผ่านไป ระหว่างทางพวกเขาแวะเมืองนั่นเมืองนี่ และในที่สุดทั้งสามก็มาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรลี่ เมืองหลวงนี้เรียกว่าเมืองลี่ ขนาดของเมืองใหญ่กว่าเมืองปลาทองนับสี่ถึงห้าเท่าเลยทีเดียว กำแพงเมืองยาวไปจนสุดสายตา เต็มไปด้วยผู้คนหลั่งไหลเข้าออกเมืองมากมาย เมื่อมาถึงพวกเขาก็หาโรงเตี๊ยมพักกัน ซึ่งหาโรงเตี๊ยมธรรมดาพักได้ยากมาก ส่วนใหญ่จะเต็มหมดแล้ว พวกเขาเลยต้องเลือกโรงเตี๊ยมขึ้นชื่อพักกัน
“นี่น่ะหรือเมืองหลวงของอาณาจักรลี่… ช่างใหญ่โตเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งนัก!” จื่อต้าหลงกล่าว
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้” เฉิงไฉเซียวกล่าวสมทบ
ลวี่เหรินเองก็ดูใเหมือนกันที่เมืองจะใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้ มันกว้างมากจนถึงกับที่ขนาดเขาต้องยืนอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ ในใจคิดว่าช่างน่าสนใจยิ่งนัก
หลังจากหาโรงเตี๊ยมได้แล้วพวกเขาก็เดินท่องเมือง ในเมืองนั้นผู้คนช่างแออัดนัก พวกเขาไม่เคยเห็นคนมากมายเต็มไปทุกถนนขนาดนี้จึงได้แต่เบิกตากว้าง ทั้งสามเดินเที่ยวเล่นดูสินค้าข้างทางอย่างสบายใจ เมืองหลวงอาณาจักรลี่นับว่าใหญ่สุดจากหลายเมืองที่เคยผ่านมา พวกเขาเดินเล่นกันจนกระทั่งยามค่ำมาเยือน จึงได้กลับโรงเตี๊ยมชั้นสูงที่จองไว้ หลังจากนั้นจึงได้สั่งอาหาร และสุรามาดื่มกิน ทั้งสามใมากโรงเตี๊ยมนี่มีถึงสามชั้น พวกเขาไม่มีรอ รีบไปนั่งริมระเบียงที่ชั้นสามทันที
เมื่ออาหารและสุรามาถึงโต๊ะพวกเขาก็ดื่มกินกันอย่างเต็มที่
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า สุราของเมืองนี้นับว่าดีที่สุดจากหลายเมืองที่ผ่านมานะ” จื่อต้าหลงกล่าว
“ใช่ถูกคอข้ายิ่งนัก” เฉิงไฉเซียวกล่าวพร้อมยกสุราขึ้นมาซด
ส่วนลวี่เหรินนั้นเลือกที่จะนั่งจิบอย่างเงียบๆ จื่อต้าหลงและเฉิงไฉเซียวชินไปแล้วกับวิธีดื่มของสหายจึงไม่ได้สนใจเขา
เวลาผ่านไป ที่ชั้นสามเริ่มมากไปด้วยผู้คน เสียงจอแจ ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย จับใจความฟังได้ว่า ส่วนใหญ่ต่างเดินทางมาจากเมืองของตนเพื่อร่วมประลองบ้าง เพื่อรับชมบ้าง จากที่ฟังมาดูเหมือนสำนักลี่จะแข็งแกร่งสุดๆศิษย์ของพวกเขาติดอันดับหนึ่งถึงร้อยของอาณาจักรได้มากที่สุดเสมอมา แต่สำนักอื่นก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน ในแผ่นดินนี้ มักมีัซุ่มพยัคฆ์หมอบมากมาย งานประลองนี้จึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนเป็เทศกาลให้ผู้คนได้ตื่นตาตื่นใจ….
