ซูอินจำได้อย่างชัดเจน ในชาติก่อน่ฤดูร้อนนี้ อู๋อู๋ได้เดินทางไปที่มณฑลเพื่อเข้าร่วมการศึกษาเพิ่มเติม เธอจึงไม่ได้อยู่บ้านระยะหนึ่ง
และสิ่งแรกที่เธอทำหลังจากกลับมาคือแบ่งคะแนนสอบของเธอไปให้หลิงเมิ่ง
ในความทรงจำของเธอ อู๋อู๋ให้ความสำคัญกับการศึกษาเพิ่มเติมในครั้งนี้มาก จึงไม่เพียงซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงหลายตัว เธอยังปฏิเสธคำขอของหลิงเมิ่งที่้าติดตามเธอเข้าไปในตัวมณฑล เนื่องจากไม่อยากเอาเวลามาใส่ใจเื่อื่น
การศึกษาเพิ่มเติมในครั้งนี้ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี อู๋อู๋ได้เลื่อนตำแหน่งหลังจากจบการอบรมได้ไม่นาน ต่อมาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นโดยไม่เปลืองแรง
เหตุการณ์ในอดีตวนเวียนอยู่ในหัว ซูอินได้สติจากความทรงจำ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็เช่นไร จะให้อู๋อู๋ได้รับโควตานี้ไม่ได้
ส่วนจะขัดขวางอย่างไรนั้น….
เธอมองสวีเหวินเหวินที่อยู่ตรงหน้า “แม่ของเธอทำงานที่โรงพยาบาลหรือ”
“ใช่ เธอไม่รู้หรือ”
เธอทำหน้าประหลาดใจก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่ง สวีเหวินเหวินทำหน้าเศร้า “แต่ก็จริง หลายครั้งที่มีประชุมผู้ปกครอง แม่ก็ไม่ได้เข้าร่วม เธอไม่รู้ก็ไม่แปลก เหมือนกับว่าจะอยู่แผนกเดียวกับแม่ของเธอนะ”
แผนกเดียวกัน เป็ไปไม่ได้
ในหัวของซูอินมีชื่อของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมา “แม่ของเธอแซ่หยางใช่ไหม”
“อื้อ แม่ของฉันชื่อหยางอวี้หลาน”
เป็เธอจริงๆ ด้วย!
สาเหตุที่ซูอินรู้ก็มาจากอู๋อู๋ หลังเลิกงานน้อยครั้งที่เธอจะเอ่ยถึงเพื่อนร่วมงานในโรงพยาบาล แต่อู๋อู๋กลับพูดถึงหยางอวี้หลานบ่อยๆ
แน่นอนว่าสิ่งที่เอ่ยออกมาไม่ใช่คำพูดที่ดี
“หยางอวี้หลานขี้ประจบสอพลอ พอหัวหน้าพูดจบเธอก็จะเสนอหน้าเข้าไปทันที ทั้งที่ความจริงเอาวางไว้ตรงนั้นก็ได้ ตอนนี้ทุกคนในแผนกต่างก็ต้องทนทุกข์เพราะเธอ”
“โง่สิ้นดี ใครไม่รู้ว่าแม่คนนั้นลางานไปเพราะมีนัด ปวดท้องอะไรล่ะ คนปวดท้องเดินเร็วขนาดนั้นเนี่ยนะ หยางอวี้หลานก็โง่เชื่อเข้าไปได้ ทำไมต้องเข้ากะแทน”
“ทำเป็หลับหูหลับตาไปก็ได้ ยังไงก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว ทำไมหยางอวี้หลานจะต้องเข้าเวรเพิ่มจนถึงทุ่มสองทุ่มด้วย”
แน่นอนว่ายังมีประโยคที่เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจเช่นนี้ด้วย “ยายแก่ตัวเหม็นเปรี้ยวนั่น สกปรกจะตาย อายุมากขนาดนั้น หากทำไม่ดีขึ้นมาแล้วตายจะทำยังไง ฉันก็เลยไม่ทำ ชีวิตคนพวกนี้ควรส่งให้หยางอวี้หลานนั่นแหละ”
ซูอินกลับมาอยู่ในเมืองั้แ่อายุแปดขวบ จนถึงอายุสิบหกปี แปดปีที่ผ่านมานี้เธอได้ยินอู๋อู๋พูดถึงหยางอวี้หลานหลายครั้ง
คำพูดของอู๋อู๋ หยางอวี้หลานคือผู้หญิงที่เชื่อคนง่าย โง่เขลา หากมีเื่ไม่พอใจอะไรก็โยนให้เธอหมด ในชาติก่อนเธอเชื่อฟังคำพูดของอู๋อู๋ จึงทำให้เธอเชื่อเช่นนั้นไปด้วย
แต่ในวันนี้เมื่อเดินออกมาจากวงจรอุบาทว์แล้ว เธอมีความสามารถในการวิเคราะห์ด้วยตนเอง ในตอนนี้เธอรู้สึกนับถือหยางอวี้หลานผู้นี้มาก
ขยันหมั่นเพียร ทนต่อความลำบาก และมุมานะบากบั่น ทำงานหนักมากว่าสิบปี
และเป็ความจริงที่คนอย่างอู๋อู๋ชอบกดผู้อื่นเพื่อดันตัวเองให้สูง ทำอะไรก็สำเร็จโดยง่าย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่หากทุกคนในสังคมเป็เช่นนี้ โลกใบนี้คงน่ากลัวมากขึ้น หากกลับกันทุกคนเป็เหมือนกับหยางอวี้หลาน โลกที่สมานฉันท์จะไม่ได้เป็เพียงความฝัน
คนแบบนี้สมควรได้รับโควตา!
ในหัวของซูอินเกิดความคิดเช่นนี้ และหยั่งรากลึกอย่างรวดเร็ว
“ตอนอยู่บ้านคุณหมออู๋เคยพูดถึงคุณป้าหยาง…”
สวีเหวินเหวินชะงักไปครู่หนึ่งจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ “คุณหมออู๋” หมายถึงใคร ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ในใจเธอก็รู้สึกสนใจคำพูดนี้มาก
“เฮ้อ คุณป้าอู๋ก็คิดว่าแม่ฉันโง่ใช่ไหม”
ซูอินไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ “ฉันคิดว่าคุณป้าหยางเป็แบบนี้ดีแล้ว ใช่ เธอช่วยอะไรฉันนิดหน่อยได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา!”
สวีเหวินเหวินรีบตอบรับด้วยความเต็มใจ “ช่วยอะไรหรือ”
“ฉันขออยู่หลบภัยด้วยสักสองสามวันได้ไหม”
เมื่อเข้าใจว่า “หลบภัย” หมายถึงอะไร สวีเหวินเหวินก็เริ่มอึกอัก ปากปิดสนิทเหมือนกับเปลือกหอย ใบหน้าที่สงบนิ่งอยู่เสมอเริ่มเป็สีแดงระเรื่อ
“ฉัน…ไม่ใช่อะไรหรอกนะ เพียงแต่ว่าอินอิน ทำไมอยู่ดีๆ ถึง…”
ซูอินเข้าใจในความหมายของคำพูดนั้น เธอไม่อธิบายอะไรมาก แค่ตอบออกไปสบาย ๆ “เกิดเื่นิดหน่อย เลยถูกไล่ออกมาน่ะ”
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง
“ก็ใช่ว่าจะไม่ได้นะ เพียงแต่…”
“หือ?”
“สภาพบ้านของฉันไม่ดีเท่าไร เธออาจจะอยู่แล้วไม่ชิน”
นิ้วเรียวของซูอินหยิบกุ้งน้ำจืดขึ้นมาตัวหนึ่ง เธอแกะเปลือกมันออกอย่างรวดเร็วก่อนจะเอาเนื้อกุ้งสีแดงสดเข้าปาก
อร่อยจริงๆ อันที่จริง่หน้าร้อนเหมาะที่จะกินกุ้งหม่าล่าเป็ที่สุด
แต่ทว่าใน่ปีนี้ การกินกุ้งเหมือนจะยังไม่เป็ที่นิยมนัก
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ซูอินส่ายหน้าโดยที่ยังไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน
“ไม่เป็ไร ฉันเป็คนปรับตัวเร็ว ั้แ่เด็กจนถึงแปดขวบ ฉันอยู่ที่ชนบทมาตลอด”
“มีเื่แบบนั้นด้วยหรือ”
“อืม พวกเขาทำงานยุ่ง จึงให้ปู่กับย่าที่ชนบทดูแลฉัน แม้แต่ตอนอนุบาลก็เรียนที่นู่น จนอายุแปดขวบขึ้นชั้นประถม จึงได้รับกลับมา”
“เื่นี้…”
ดูเหมือนว่าสวีเหวินเหวินจะตัดสินใจได้แล้ว “ถ้างั้น เธอมาอยู่บ้านฉันก่อนก็แล้วกัน”
ซูอินเผยรอยยิ้มที่มุมปาก “ดีเลย เธอมีหลายเื่ที่ไม่เข้าใจไม่ใช่เหรอ ตอนกลางคืนฉันสามารถอธิบายให้ฟังได้นะ”
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงข้อสอบแบบเดิมที่จะมีขึ้นตอน่บ่าย
ปัจจุบันสวีเหวินเหวินคือเพื่อนสนิทของเธอ อีกฝ่ายตั้งใจเรียนมาก แต่เข้าใจอะไรไม่ชัดเจนนัก ทำให้คะแนนไม่ค่อยดี เธอจำได้ว่าในชาติก่อนมีนักเรียนที่สอบขึ้นมัธยมปลายจำนวนไม่น้อย โรงเรียนมัธยมทดลองก็มีคนสอบผ่านหลายคน สวีเหวินเหวินและเมิ่งเมิ่งก็เป็หนึ่งในนั้น
เธอจึงใช้โอกาสนี้ เพื่อเฉลยโจทย์ข้อสอบขึ้นมัธยมปลายให้สวีเหวินเหวินได้รู้
“แบบนั้นก็ดีสิ”
สวีเหวินเหวินถอนหายใจยาว เมื่อนึกถึงบรรยากาศในบ้านของตนเอง บิดาที่ค่อนข้างต่อต้านคนนอก แต่ว่าในตอนนี้เธอมีเหตุผลที่สมควร เขาคงไม่โต้แย้งใช่ไหม
การช่วยเหลือจากตระกูลสวีจึงถูกตัดสินใจเช่นนี้
วิชาที่จะสอบใน่บ่ายคือคณิตศาสตร์ และเช่นเดียวกับวิชาภาษาจีนใน่เช้า เกิดภาพหลอนตรงหน้าซูอินอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ลังเล หยิบปากกาขึ้นมาแล้วบันทึกภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวลงบนกระดาษทดทันที
เนื่องจากใช้เพียงสัญลักษณ์ในการจดจำ ทำให้เธอสามารถเขียนได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ใช้เวลาพอสมควรเช่นกันในการบันทึก
จนเมื่อเธอได้สติกลับมาดูกระดาษคำตอบ เธอทำเสร็จถึงโจทย์ข้อสองใหญ่ เสียงกริ่งที่บอกเวลาสอบสิ้นสุดจึงดังขึ้น
โจทย์ข้อสุดท้ายที่มีคะแนนมากที่สุดถูกทิ้งไว้เพียงแค่นั้น อีกทั้งโจทย์ข้อที่ทำเสร็จแล้วก็ไม่มีเวลาได้ตรวจทาน
ซูอินรู้สึกว่า การทำข้อสอบจำลองในครั้งนี้ คะแนนจะต้องออกมาไม่ดีเท่าไร
แต่ในส่วนนี้เธอกลับเข้าใจดีว่า การทำข้อสอบจำลองเป็เพียงการประเมินในโรงเรียน แม้ว่าคะแนนสอบจะไม่ดี แต่มันก็เป็เพียงเื่ของสองวันนี้ เธอตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเธอจะได้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่ไหน ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการสอบ ดังนั้นแม้ว่ากระดาษคำตอบของข้อสอบจำลองจะว่างเปล่าและได้ศูนย์คะแนน แต่เธอก็จะต้องจำข้อสอบสำหรับสอบขึ้นชั้นมัธยมปลายให้ได้
เธอเก็บกระดาษทดที่จดบันทึกนั้นเข้าไปในห้วงมิติ และเดินออกมาจากโรงเรียนด้วยจิตใจเบิกบานพร้อมกับสวีเหวินเหวิน