เล่มที่ 9 บทที่ 244 คัมภีร์ปะทะผีดิบอสูร
กรงเล็บอันแหลมคมของผีดิบอสูรจ้วงแทงเข้าไปที่หลังปลาั์ ทันใดนั้นก็มีเืเนื้อมากมายสาดกระเซ็นออกมา ผีดิบอสูรเห็นดังนั้นก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย ก่อนจะยัดชิ้นเนื้อเข้าปากและกัดกินเสียงดังน่าสะพรึงกลัว...
เ้าปลาั์ฟาดหางไปมาด้วยความเ็ป เพียงครู่เดียวก็ฟาดจนผีดิบอสูรร่วงตกลงมา จากนั้นลำตัวอันใหญ่โตของเ้าปลาั์ก็ทับลงมา ก่อนจะชนเข้ากับผีดิบอสูรจนเกิดเสียงดังกัมปนาท พื้นดินสั่นไหวรุนแรง
แรงอัดกระแทกเกิดเป็คลื่นพลังพวยพุ่งไปทั่วทุกทิศทาง...
ทว่าผีดิบอสูรกลับสามารถต้านรับการโจมตีของเ้าปลาั์เอาไว้ได้ ไออสูรและกลิ่นซากศพรวมกันจนเกิดเป็หมอกควันดำราวกับอสรพิษั์ ทั้งคล่องแคล่วและดูลึกลับในเวลาเดียวกัน ซึ่งบัดนี้กำลังโอบพันปลาั์เอาไว้อย่างแ่า ไม่ว่าเ้าปลาั์จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจหลุดรอดไปได้ ผีดิบอสูรเห็นดังนั้นก็คำรามเสียงดัง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้าเ้าปลาั์ด้วยกรงเล็บอันแหลมคม พริบตาถัดมามันก็ทุ่มเ้าปลาั์ลงกับพื้น หมายจะทุ่มให้ตาย...
แน่นอนเ้าปลาั์นั้น สืบสายเืมาจากซวีคงเหยาที่เป็ถึงสัตว์อสูรา ชั่วขณะที่กำลังจะถูกผีดิบอสูรทุ่มลงกับพื้น ทันใดนั้นเ้าปลาั์ก็ส่ายหางก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย...
ขณะที่ผีดิบอสูรกำลังมึนงงอยู่นั้น เ้าปลาั์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง บริเวณด้านหลังของผีดิบอสูร ก่อนจะกระหน่ำฟาดหางอันใหญ่โตใส่ กระทั่งผีดิบอสูรกระเด็นลอยออกไปไกล...
ใครจะไปคาดคิดว่าชั่วขณะที่ผีดิบอสูรกระเด็นออกไป จะมีเสียงะเิดังขึ้นมา เดิมทียังเป็ร่างที่มีส่วนสูงหลายสิบจ้าง จากนั้นก็สลายกลายเป็หมอกควันดำ ภายใต้หมอกควันดำนั้นก็มีใบหน้าแสนอัปลักษณ์ของมารปีศาจมากมายปรากฏออกมา และใบหน้าเ่าั้กำลังกรีดร้องพลางพุ่งตัวไปยังเ้าปลาั์อย่างดุร้าย...
เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นราวกับฝูงแมลงขนาดั์ เพียงพริบตาเดียวก็มีมารปีศาจจำนวนมากปีนป่ายเกาะตามตัวของเ้าปลาั์ มารปีศาจเหล่านี้กำลังกัดกินฉีกกระชากปลาั์อย่างบ้าคลั่ง เกล็ดและเืเนื้อสาดกระเซ็นไปทั่ว เ้าปลาั์ถึงกับต้องพยายามหายตัวอยู่หลายครั้ง จึงจะหนีรอดมาได้ หลังจากนั้นเหล่ามารปีศาจก็สลายตัวกลับเป็ผีดิบอสูรขึ้นอีกครั้ง...
“ศิษย์พี่หลิน หากไม่ช่วยละก็ เห็นทีข้าคงต้องใช้เืบงการเอาแล้วนะ...” เวินโหวเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ สองมือก็เอาแต่วาดค่ายกล เพื่อคอยบงการเ้าปลาั์ และบัดนี้ก็เริ่มจะต้านทานไม่ไหวเสียแล้ว...
ความหวังเดียวตอนนี้ก็คือศิษย์พี่หลิน โดยหวังว่าเขาจะยื่นมือเข้าช่วย...
ทว่า...
“ไม่ได้หรอก ข้ากำลังยุ่งอยู่” หลินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“บ้าเอ๊ย!” เวินโหวรู้สึกหน้ามืดทันที หากไม่มีศัตรูอยู่เบื้องหน้าละก็ เวินโหวอยากจะบีบคอหลินเฟยให้ตายจริงๆ
‘ให้ตายเถอะ ที่เป็เช่นนี้ก็เพราะใคร แต่ดันมาบอกว่ายุ่งอยู่เนี่ยนะ?’
‘แย่แล้วล่ะ ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว คราวนี้ตายแน่ๆ...’
ผีดิบอสูรของฟางจวิ้นนับว่าร้ายกาจมาก เ้าปลาั์ไม่อาจทำอะไรมันได้เลย ถึงขนาดงัดวิชาหายตัวออกมาใช้แล้ว แต่ก็ยังต้านได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ‘จะทำอย่างไรดีล่ะ หรือจะต้องใช้เืจริงๆ?’
แต่การใช้เืหล่อเลี้ยง ไม่ได้สูญเสียเพียงอายุขัยแค่สามปีอย่างเดียวเท่านั้น...
เพราะการใช้เืหล่อเลี้ยงเป็เคล็ดวิชาลับที่ทำลายขั้นบำเพ็ญของตนเอง ทุกครั้งที่ใช้ก็จะกระทบถึงรากฐาน หากใช้หลายครั้งละก็ เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่มีหวังจะได้บรรลุการบำเพ็ญอีกแล้...
และเวลานี้เอง หลินเฟยก็เดินจากไป...
แต่ยังดีที่หลินเฟยยังมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง จึงไม่ได้เพียงจากไปเฉยๆ ก่อนจากไป เขาก็ได้โยนคัมภีร์เล่มหนึ่งมาให้
“จริงสิ ข้าให้เ้ายืมอันนี้ก่อน ใช้แค่ค่ายกลในคัมภีร์ก็พอ อย่าปล่อยสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ไม่เช่นนั้น ข้ากลัวว่าศิษย์พี่ฟางจะรับไม่ไหว…”
“…”
ขณะที่เวินโหวรับคัมภีร์มา ก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาให้ได้…
เพียงคัมภีร์เก่าๆเล่มเดียว ยังไม่ให้ปล่อยสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา แถมกลัวศิษย์พี่ฟางรับไม่ไหวอีก…
‘ถ้ามีใจเป็ห่วงศิษย์พี่ฟางจริงๆ สู้เป็ห่วงข้าไม่ดีกว่าหรือไง?’
‘สัตว์อสูรข้าจะถูกตีตายอยู่แล้วนะ…’
เ้าปลาั์หายตัวหลายครั้ง ต่อให้เป็สัตว์อสูราก็รับไม่ไหวเช่นกัน เพราะการหายตัวแต่ละครั้งจะต้องสูญเสียพลังมาก แถมทุกครั้งยังต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันของห้วงมิติที่บิดเบี้ยวจากการหายตัวอีกด้วย ตอนนี้เ้าปลาั์จึงบอบช้ำอย่างหนัก ไม่มีแรงจะต้านทานผีดิบอสูรได้อีกต่อไป…
“เอาไงเอากัน ไม่สนมันแล้ว…” เวินโหวรู้ดีว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้ลังเลอีกต่อไปแล้ว จึงไม่สนว่าคัมภีร์นั้นจะเก่าแก่เพียงใด ทันใดนั้นก็รีบโคจรพลังใส่เข้าไปทันที
โดยปกติแล้วหากใช้อาวุธของคนอื่นต่อให้ลบล้างตราประทับของเ้าของเดิมออกไปอย่างไร ก็ไม่อาจใช้พลังได้เต็มที่นัก เพราะวิถีการบำเพ็ญที่ต่างกัน อย่างมากก็ใช้ได้แค่สามในสิบส่วนเท่านั้น…
ทว่าคัมภีร์โครงกระดูกนี้แตกต่างออกไป
เพราะวิธีการหลอมอาวุธของหลินเฟยคือการใช้เคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูหลอมทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่สนว่าสิ่งที่หลอมมีวิถีการบำเพ็ญอย่างไร ต่อให้คัมภีร์โครงกระดูกนี้ไม่มีพลังขั้นศาสตราวุธและอสุรกายที่คอยช่วยเหลือก็ตาม มันก็ยังมีมนต์สะกดสูงถึงสามสิบแปดสาย แล้วแบบนี้จะเรียกว่าเป็คัมภีร์ธรรมดาๆได้อย่างไร?
เพียงเวินโหวโคจรพลังเข้าไปในคัมภีร์ กระแสไอหยินก็ปั่นป่วนขึ้นทันที ครู่เดียวก็มีภาพนิมิตของเจดีย์โครงกระดูกหกชั้นปรากฏขึ้น กระแสลมรอบด้านพลันกระโชกรุนแรง จนเกิดเสียงหวีดร้องไปทั่วราวกับผีร้ายครวญคราง ไออสูรและกลิ่นซากศพก็ขาดห้วงไปเสมือนถูกแช่แข็ง ไม่นานก็มีพลังรุนแรงปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะเป็ฟางจวิ้นหรือเวินโหว ต่างก็ถูกพลังอันรุนแรงนี้ทำเอาใจนตาค้าง…
“สุดยอดไปเลย ไม่คิดว่าศิษย์พี่หลินจะทิ้งยอดอาวุธไว้ให้ข้าเช่นนี้!”
เวินโหวตกตะลึงจนใบหน้าซีดเผือด…
หลังจากภาพนิมิตเจดีย์โครงกระดูกปรากฏออกมา ผีดิบอสูรก็ชะงักค้างทันที ครู่เดียวก็มีไออสูรและกลิ่นซากศพพวยพุ่งกลายเป็หมอกควันดำจำนวนมาก คิดจะสำแดงพลังปลดปล่อยเหล่ามารปีศาจออกอีกครั้ง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามนต์สะกดทั้งสามสิบแปดสายแล้ว พลังของผีดิบอสูรจึงถือว่าอ่อนด้อยมาก เพียงหมอกควันดำปรากฏขึ้นมาไม่นานก็ถูกกระแสลมพัดหายไปทันที...
จากนั้นภาพนิมิตเจดีย์หกชั้นก็หมุนวนไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นผีดิบอสูรก็ถูกดูดเข้าไปโดยไม่ทันตั้งตัว...
หลังจากกลืนกินผีดิบอสูรลงไปแล้ว คัมภีร์โครงกระดูกก็ม้วนเก็บ ก่อนจะลอยลงสู่มือเวินโหวอีกครั้ง...
“นี่...” ขณะที่คัมภีร์ลอยกลับลงสู่มือ เวินโหวก็รู้สึกราวกับฝันไป ตนเองสู้แทบตาย แม้แต่สัตว์อสูรคู่กายก็เกือบจะเอาตัวไม่รอด ทว่ากลับเทียบคัมภีร์ของศิษย์พี่หลินไม่ได้เลย?
‘หากศิษย์พี่หลินลงมือเอง...’
‘จะร้ายกาจเพียงใดกันนะ?’
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------