มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปในวังหลวง ถึงได้รู้ว่างานเลี้ยงเฉลิมฉลองในวันนี้จัดขึ้นในที่กว้างใหญ่ในวัง
ปกติแล้วการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองมักจัดขึ้นที่พระที่นั่งฉิงฮวน แต่ครั้งนี้สถานที่ใหญ่กว่าหลายเท่าตัว แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อตระกูลฉินจากองค์ไทเฮา
ในเวลานี้ท้องนภาเริ่มมืดครึ้มแล้ว โคมไฟถูกจุดทั้งแขวนไว้ตลอดเส้นทางเดิน
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นมาถึงที่นั่งเป็ที่เรียบร้อยแล้ว นางเหลือบมองด้านข้างเห็นขุนนางน้อยใหญ่นั่งกันเต็มหมดแล้ว
ที่นั่งของท่านมหาอัครเสนาบดีถูกจัดไว้ข้างมู่อวิ๋นจิ่น มิเช่นนั้นที่นั่งของเหล่าองค์หญิงองค์ชายจะมีนางนั่งเพียงผู้เดียว ซึ่งอาจทำให้นางโดดเดี่ยวได้
ผู้คนภายในงานเริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆ จนพื้นที่โล่งดูเต็มหมดแล้ว
บรรดาพระสนมต่างทยอยเดินทางมาถึงแล้วเข้าที่นั่ง ลดหลั่นตามขั้นแบ่งเป็แถวหน้าหลัง
มู่อวิ๋นจิ่นยกถ้วยสุราขึ้นบังแสงจากโคมไฟ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหน้าของทุกๆ คนรอบตัว
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเห็นมีคนเดินตรงทางนาง นางก็จับแก้วขึ้นมาแกว่งให้สุราวนอยู่ในเเก้ว
“โอ้ ไม่เจอกันเสียนาน น้องสะใภ้หกยังคงไม่ไว้หน้าเปิ่นหวงจื่อเหมือนเดิมเลย” องค์ชายสามฉู่ชิงเอ่ย
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังเอาแต่ยิ้มมุมปาก “คนอื่นไว้หน้าองค์ชายสามก็พอแล้ว ส่วนข้าไว้ไม่ไว้หน้าคงไม่เป็ไรกระมัง”
ประจวบเหมาะกับที่องค์หญิงห้าฉู่ชิงเฉียงและองค์ชายสี่ฉู่เย่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน จึงอดไม่ได้ที่จะเหล่มองมู่อวิ๋นจิ่นปราดหนึ่ง แต่ฉู่ชิงเฉียงในตอนนี้ไม่กล้าทำอะไร ด้วยมู่อวิ๋นจิ่นกุมความลับที่นางคบค้าสมาคมกับหอนางโลม จึงมิปริปากเสียดสีแม้แต่คำเดียว ก้มหน้าก้มตาเดินไปนั่งประจำที่
องค์ชายสามฉู่ชิงยังคงยืนอยู่ด้านหน้ามู่อวิ๋นจิ่น เห็นที่นั่งด้านข้างนางยังคงว่างเปล่า จึงสัพยอกขึ้นว่า “น้องหกไปไหนละ?”
“มิทราบเพคะ” มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหัว
องค์ชายสามฉู่ชิงจึงพึมพำให้ได้ยินเพียงสองคน “่หลายวันมานี้ เขาคงไม่ได้อยู่ข้างกายเ้าสิท่า?”
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเงยหน้ามององค์ชายสามฉู่ชิงด้วยสีหน้ารำคาญใจเป็ที่สุด และกำลังจะเอ่ยปากให้ฉู่ชิงออกไปไกลๆ แต่กลับได้ยินเสียงขุนนางน้อยใหญ่ส่งเสียงดังขึ้นมา
มู่อวิ๋นจิ่นหันมองไปตามเสียง เห็นคนสองคนเดินเข้ามา จากนั้นนางก็หันกลับมาดังเดิม
องค์ชายหกฉู่ลี่สวมอาภรณ์สีม่วง เกล้าผมรัดมงกุฎ ใบหน้าหล่อเหลา ย่างก้าวเข้ามาด้วยพลังที่แผ่ซ่าน
อีกทั้งข้างกายของฉู่ลี่มีสตรีเดินมาด้วยอยู่ด้านข้าง
สตรีคนนั้นสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ใบหน้าขาวผุดผ่อง ดวงตาแวววับ เดินยืดอกย้วยยาดอย่างสง่างามข้างกายฉู่ลี่
ทั้งสองคนเดินเคียงข้าง พร้อมกับเสียงของทุกคนที่พูดเป็เสียงเดียวกัน “ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน!”
มู่อวิ๋นจิ่นหรี่ตาลงมองด้วยสายตาเรียบเฉย เห็นทีสตรีผู้นี้คงเป็ฉินมู่เยว่กระมัง
ดูท่าแล้ว ระหว่างฉินมู่เยว่กับฉู่ลี่ต้องมีลับลมคมนัย มิฉะนั้นเขาจะมาปรากฏกายข้างนาง ทั้งยังใส่อาภรณ์ในสีเดียวกันอีก
กระทั่งสองคนนี้เดินเข้ามาใกล้ มู่อวิ๋นจิ่นยังคงนั่งดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตารอบข้างต่างจับจ้องมาที่มู่อวิ๋นจิ่น
องค์ชายสามฉู่ชิงแสดงความสาแก่ใจผ่านแววตา ก่อนรีบเดินไปนั่งประจำตำแหน่งเพื่อรอดูเื่สนุกทีใกล้จะเกิดขึ้น
“พระชายาหกมู่อวิ๋นจิ่นใช่ไหม?” ฉินมู่เยว่ยืนนิ่งกวาดสายตามาที่ร่างมู่อวิ๋นจิ่น
พอได้ยินเสียงเอ่ยถามของฉินมู่เยว่ หัวของมู่อวิ๋นจิ่นกลับปวดขึ้น ด้วยเสียงนั้นช่างฟังแล้วคุ้นเคย ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“ทำไมไม่ตอบด้วยเล่า?” ฉินมู่เยว่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นไม่ตอบจึงถามขึ้นอีกครั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้ามองฉู่ลี่แทนที่จะมองฉินมู่เยว่ “องค์ชายจะนั่งตรงนี้ หรือว่าให้คุณหนูฉินนั่งตรงนี้เอ่ย?”
ฉินมู่เยว่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นไม่สนใจในสิ่งที่นางเอ่ยถาม พลันโกรธเคืองแล้วหันไปถามฉู่ลี่เช่นกัน “พี่ลี่ หากไม่รังเกียจ ค่ำคืนนี้น้องขอนั่งกับพี่ลี่ได้ไหม?”
พี่ลี่……
คำเรียกที่ดูสนิทสนมกันเป็พิเศษทำให้มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับแสยะยิ้มออกมา
ด้านฉู่ลี่พยักหน้าตอบแทนการเอ่ยขึ้นมา
ไม่นานนัก ฉู่ลี่เดินมานั่งข้างมู่อวิ๋นจิ่น โดยมีฉินมู่เยว่นั่งด้านข้างฉู่ลี่อีกที
ทุกผู้คนที่มาร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในวันนี้ ต่างคิดในใจกันพร้อมเพรียง ค่ำคืนนี้ต้องมีเื่สนุกเกิดขึ้นเป็แน่แท้
ไม่มีใครในที่นี่ไม่รู้ว่าคุณหนูฉินกับฉู่ลี่ช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ทว่าพระชายาหกในตอนนี้ เป็เพียงการจับคู่ของฉินไท่เฟยเพื่อทำตามสัญญาที่เคยมีไว้ องค์ชายหกจึงจำใจต้องแต่ง
เมื่อคุณหนูฉินที่กำชัยจากการทำศึกเดินทางกลับมาแล้ว เกรงว่าตำแหน่งพระชายาหกของมู่อวิ๋นจิ่นต้องสั่นะเืเลือนลั่นเป็แน่
หลังจากฉู่ลี่เข้ามานั่งประจำที่ เขาเหล่ตามองเห็นมู่อวิ๋นจิ่นสีหน้าแข็งกร้าว ไม่พอใจอยู่มิน้อย
จากนั้นมีเสียงดังขึ้นจากทางเข้างานเลี้ยงเแลิมฉลอง
“ฝ่าาเสด็จแล้ว!”
“ฮองเฮาเสด็จแล้ว!”
เมื่อรับเสด็จฝ่าา ฮองเฮารวมทั้งไทเฮาเจิ้งและฉินไท่เฟยเดินสู่ที่ประทับแล้ว งานเลี้ยงเฉลิมฉลองจึงได้เริ่มต้นขึ้น
หลังจากฮ่องเต้ซีิประทับและทอดพระเนตรไปรอบงาน ได้หันมองไปทางที่นั่งของแม่ทัพ ต่อด้วยที่นั่งของฉู่ลี่ ก่อนสรวลขึ้นมา “เยว่เอ๋อร์ ทำไมไปนั่งตรงนั้นละ?”
เสียงนั้นเปี่ยมด้วยความเอ็นดูของฮ่องเต้ซีิที่มีต่อฉินมู่เยว่
ฉินมู่เยว่รีบหันไปตอบด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ก่อนเหล่ตามองฉู่ลี่ด้วยความเก้อเขิน “เยว่เอ่อร์อยากนั่งตรงนี้กับพี่ลี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฉินไท่เฟยมองอย่างหงุดหงิดใจไปที่ฉินมู่เยว่ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงขัดขึ้น ทำเสมือนไม่เคยได้ยินได้ฟัง”
ไทเฮาเจิ้งเห็นฉินไท่เฟยสีหน้าไม่สู้ดีพลันทราบได้ทันทีว่านางอารมณ์ไม่ดี ด้วยเหตุนี้จึงหันไปพูดยิ้มๆ “มู่เยว่ เ้าไปทำศึกที่แดนไกลมาเนิ่นนาน อายเจียคิดถึงเ้าจับใจ ในเมื่อกลับมาแล้วต้องมาอยู่เป็เพื่อนอายเจียบ่อยๆ หน่อยแล้ว”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา” ฉินมู่เยว่ก้มหน้ายิ้มมุมปาก
“เอ๊ะ? เยว่เอ๋อร์แล้วมู่หนานทำไมไม่อยู่ที่นี่?” ฮ่องเต้ซีหยวนมองปราดเดียวไม่พบฉินมู่หนานมาด้วย จึงเกิดความแปลกพระทัยขึ้น
ฉินมู่เยว่รีบลงไปคุกเข่าที่พื้นแสดงความรู้สึกผิด “ฝ่าาโปรดให้อภัยด้วย พี่ชายของหม่อมฉันถูกท่านอาจารย์ชิวเย่เรียกไปูเาชิวเย่ เกรงว่าคงมิอาจมาร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในค่ำคืนนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็ไร อาจารย์ชิวเย่พร่ำสอนมู่หนานกับเ้าจนมีความสามารถมาก ทั้งยังออกศึกไปทั่วสารทิศเพื่ออาณาจักรซีหยวน เจิ้น[1]ต้องขอบใจถึงจะถูก”
ฉินมู่เยว่ยิ้มรับพร้อมพยักหน้า
หลังตอบคำถามจากฮ่องเต้ซีิเป็ที่เรียบร้อย ฮองเฮาให้นางกำนัลเริ่มการแสดงได้
……
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งผิงเก้าอี้ชมบรรดานางกำนัลและคุณหนูทำการแสดง ทั้งยังได้ยินเสียงซุบซิบพูดคุยของฉู่ลี่กับฉินมู่เยว่มาเป็พักๆ
ส่วนมากจะได้ยินเสียงฉินมู่เยว่พูดเสียมากกว่า ฉู่ลี่ได้แต่พยักหน้าตอบเพียงคำสองคำเท่านั้น ทว่าฉินมู่เยว่ไม่ลดละความพยายาม กลับยิ่งเพิ่มแรงในการหาเื่ถามนู้นถามนี่ขึ้นไปอีก
มู่อวิ๋นจิ่นพยายามเบนความสนใจไปกับการแสดงที่เบื้องหน้า แต่มักถูกเสียงของฉินมู่เยว่ขัดขึ้นมาในโสตประสาท
การแสดงชุดแรกจบไปเป็ที่เรียบร้อย ฉินมู่เยว่เปล่งเสียงถามดังขึ้น “หม่อมฉันอยากเห็นพระชายาหกทำการแสดงลำดับต่อไป จะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นหันขวับไปที่ฉินมู่เยว่รวดเร็ว อีกฝ่ายกลับยิ้มน้อยๆ แสดงมิตรภาพจอมปลอมออกมา
“ในค่ำคืนนี้อวิ๋นจิ่นมิได้ทำการแสดงหรอก” ฉู่ลี่ตอบกลับแทนมู่อวิ๋นจิ่น
ฉินมู่เยว่เบิกตาโตราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ฉู่ลี่พูด จากนั้นสอดสายตาไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
“น้องเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน ได้ยินเื่ราวมามากมายว่าพี่ลี่กับพระชายารักใคร่กันยิ่ง วันนี้ได้เห็นกับตาก็เชื่อแล้ว” ฉินมู่เยว่พูดยิ้มๆ
“เช่นนั้นน่าเสียดายจริงๆ มู่เยว่นึกว่าจะมีโชคได้ชมเสียหน่อย” ฉินมู่เยว่ยู่ปากแสดงท่าทางเสียดาย
ทุกคนในงานต่างตกตะลึงในคำพูดของฉินมู่เยว่ ไม่นึกเลยว่าคุณหนูฉินจะแสดงความเป็มิตรให้กับมู่อวิ๋นจิ่น
ตามหลักแล้วคุณหนูฉินน่าจะขึ้นตำแหน่งพระชายาหก ทว่าในไม่กี่เดือนกลับเป็คนอื่นมาแทนที่ ด้วยเหตุนี้ควรโกรธเกลียดมู่อวิ๋นจิ่นถึงจะถูกมิใช่หรือ?
ทำไมฉินมู่เยว่กลับพูดดีกับมู่อวิ๋นจิ่นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากคิดให้ดี คุณหนูฉินออกรบทำศึกมากมาย นิสัยย่อมต่างจากสตรีโดยทั่วไป ย่อมไม่เข้าใจวิธีการแย่งชิงบุรุษ
ในระหว่างนั้น ผู้คนที่คอยดูเื่สนุกเกิดขึ้น ระหว่างฉู่ลี่ มู่อวิ๋นจิ่นและฉินมู่เยว่กลับหมดสนุกไป
ต่อจากนั้นเสียงดนตรีได้ดังขึ้น เรียกความสนใจของทุกคนให้จับจ้องไปที่การร่ายรำ
“พี่ลี่ น้องขอแลกที่นั่งกับพี่ได้ไหม? นี่เป็ครั้งแรกที่น้องพบหน้าพระชายาเป็ครั้งแรก อยากจะทำความรู้จักเสียหน่อย” ฉินมู่เยว่ฉีกยิ้มยื่นมือไปจับแขนของฉู่ลี่
ฉู่ลี่เลิกคิ้วเพียงเล็กน้อย ปรายตามองมู่อวิ๋นจิ่นเหมือนว่านางไม่ได้ยิน ภายในใจใคร่รู้เช่นกันว่าหากจิ้งจอกอย่างมู่อวิ๋นจิ่นต้องเจอกับฉินมู่เยว่ จะใช้วิธีใดในการรับมือ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนที่นั่งกับฉินมู่เยว่
ฉินมู่เยว่เปลี่ยนมานั่งตรงกลางแล้ว หันหน้ามาพูดกับมู่อวิ๋นจิ่น “พระชายาหกสมแล้วที่เป็หญิงงามอันดับหนึ่งในอาณาจักรซีหยวน วันนี้แต่งตัวเรียบง่าย เบียดจนสตรีที่อยู่ในงานเลี้ยงสู้ไม่ได้สักคนเดียว พี่ลี่ช่างโชคดีเหลือเกิน!”
มู่อวิ๋นจิ่นหันไปยิ้มเจื่อนๆ ตามมารยาท “คุณหนูฉินพูดเกินไปแล้ว คุณหนูฉินหน้าตาสะสวย ทั้งยังออกรบจับศึกอีก งานในค่ำคืนนี้จัดเพื่อสตรีที่เก่งกาจอย่างคุณหนูนี่แหละ”
มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยปากชมให้ไหลไปตามน้ำ ใบหน้าแสดงเผยยิ้มที่ยากคาดเดาความหมาย ส่งกลับให้ฉินมู่เยว่
“ข้ากับพี่ลี่รู้จักกันั้แ่ยังเยาว์วัย ข้าไม่ชอบเรียกว่าองค์ชายหก จึงขอเรียกว่าพี่ลี่ซึ่งเขาก็ไม่ติดขัดห้ามปราม”
ฉินมู่เยว่เม้มปากเล็กน้อย ก่อนพูดต่อไปอีกว่า “ดูเหมือนเ้าอายุน้อยกว่าข้า เช่นนั้นข้าขอเรียกเ้าว่าน้องอวิ๋นจิ่นแล้วกัน ฟังแล้วจะได้ดูไม่เหินห่าง ส่วนเ้าเรียกข้าว่าพี่มู่เยว่ก็ได้”
มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับงงงวยจนขมวดคิ้วด้วยความฉงน เวลาอยู่กับฉู่ลี่ ฉินมู่เยว่เรียกแทนตนเองว่าน้อง แต่อยู่กับมู่อวิ๋นจิ่น ฉินมู่เยว่ให้มู่อวิ๋นจิ่นเรียกนางว่าพี่สาว นี่มันตรรกะประหลาดอะไรกัน?
“ทำไมกัน เ้าไม่เต็มใจเรียกอย่างนั้นหรือ?” ฉินมู่เยว่ใช้สายตามองด้วยความฉงน
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปากให้กับฉินมู่เยว่ “เรียกข้าว่าพี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นก็แล้วกัน”
[1] เจิ้น สรรพนามที่ฮ่องเต้หรือฝ่าาใช้เรียกแทนตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้