ตามธรรมเนียมการรับน้องบุญธรรมต้องมีพิธีการ
แต่เซวียเสี่ยวหรั่นไม่มีญาติที่นี่ เซวียเสี่ยวเหล่ยก็ไม่มีเช่นกัน พิธีการอันใด ทุกคนต่างเลือกที่จะลืมมันไปเสีย
"ซื้อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีเขียวหนึ่งผืน สีน้ำเงินหนึ่งผืน แล้วก็สีขาวอีกหนึ่งผืน รองเท้าสองคู่ หวีหนึ่งอัน ไม้สีฟันกับผงขัดฟันหนึ่งชุด เซียงอี๋หนึ่งก้อนแต่ไม่เอากลิ่นดอกกุ้ยแล้วนะ หมูสามชั้นสองชั่ง ซี่โครงหมูสี่ชิ้น เมื่อวานยังมีผักชิงไช่เหลืออยู่ ยังไม่ต้องซื้อมา"
เซวียเสี่ยวหรั่นมอบหมายให้อูหลันฮวาไปซื้อของ "สำคัญที่สุดคืออย่าลืมซื้อยา"
"ต้าเหนียงจื่อ ข้าซ่อมรองเท้าเองได้ ส่วนรองเท้าของคุณชายน้อย ข้าก็ช่วยทำได้"
เมื่อเซวียเสี่ยวเหล่ยกลายมาเป็น้องชายของเซวียเสี่ยวหรั่น อูหลันฮวาก็ต้องเปลี่ยนคำเรียก
"รองเท้าไม่ได้ทำเสร็จในเวลาเพียงชั่วครู่เสียหน่อย ซื้อใหม่มาสวมก่อนดีกว่า" ่นี้เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มศึกษาวิธีการเย็บรองเท้า รู้สึกว่าเสียเวลามาก
"เช่นนั้นซื้อเพียงคู่เดียวก็พอ ่บ่ายข้าจะเย็บรองเท้าให้คุณชายน้อยเองเ้าค่ะ" สองสามวันมานี้เงินไหลออกราวกับสายน้ำ อูหลันฮวานึกเสียดายยิ่งนัก
"พี่สาว ไม่ต้องซื้อรองเท้าให้ข้าหรอก ข้ามี" เซวียเสี่ยวเหล่ยบิดนิ้วมืออย่างว้าวุ่น
"เ้ามีรองเท้า? เหตุใดไม่เคยเห็นเ้าสวมเลยล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่เคยเห็นเขาสวมรองเท้ามาก่อน
"รองเท้าข้าเก็บไว้ใส่ตอนเข้าฤดูหนาว" เซวียเสี่ยวเหล่ยอธิบายเสียงเบาหวิว
เซวียเสี่ยวหรั่นเข้าใจความหมายในชั่วพริบตา รองเท้าขาดได้ง่าย เขาจึงสวมเฉพาะยามเข้าสู่ฤดูหนาว
สาเหตุชวนให้คนรู้สึกแสบจมูก เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจ "เสี่ยวเหล่ยเอ๋ย มีพี่สาวทั้งคน ต่อไปเ้าไม่ต้องกลัวว่ารองเท้าจะขาด ต้องเดินเท้าเปล่าอีกแล้ว เข้าใจหรือไม่"
เซวียเสี่ยวเหล่ยเม้มริมฝีปาก ขอบตาแดงเรื่อหลุบลง
"หลันฮวา ซื้อมาสองคู่เอาไว้เปลี่ยนสลับกันได้ ชุดของเ้าเองเพิ่งจะเย็บได้ชุดเดียว ยังมีงานอีกมากมายก่ายกองที่ต้องจัดการ รีบไปเถอะ"
อูหลันฮวาหัวเราะอย่างเก้อเขิน ฝีมือการเย็บปักของนางไม่ค่อยดี ทำได้ช้า
"ต้าเหนียงจื่อ คุณชายน้อย งั้นข้าไปล่ะ" นางเก็บเงินปลีกไว้อย่างดี ก่อนสะพายกระบุงขึ้นหลังออกไปนอกเรือน
ยามอูหลันฮวาเรียกเซวียเสี่ยวเหล่ยว่าคุณชายน้อย สีหน้าของเขาก็ฉายแววอึดอัดใจมาก
เขาลอบบอกให้อูหลันฮวาเรียกชื่อเล่นของเขา สือโถว แต่นางกลับหัวเราะ "ตอนนี้ข้าขายตัวเป็ข้ารับใช้ต้าเหนียงจื่อ เ้าเป็น้องชายของต้าเหนียงจื่อ จะเรียกเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้"
เซวียเสี่ยวเหล่ยเงียบไป
เขาเองก็รู้เื่อูหลันฮวาถูกลุงของนางขายออกไปกลายเป็บ่าว
บางครั้งคนเราก็ต้องพบเจอกับสถานการณ์ผันแปรอันยากจะคาดเดา
เวลาเพียงสองวัน ต้าเหนียงจื่อก็กลายเป็เ้านายของอูหลันฮวา ส่วนเขาก็กลายเป็น้องชายของต้าเหนียงจื่อ
"เสี่ยวเหล่ย ไป เ้ากับข้าไปขนของ" เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบกระบุงเปล่าอีกใบขึ้นสะพายหลัง
"ขนของ?" เซวียเสี่ยวเหล่ยตะลึงงัน
"จริงสิ เหลียนเซวียนบอกว่าถ้ำที่เ้าอยู่ชื้นเกินไป หากเ้าอยู่ที่นั่นร่างกายก็จะทรุดโทรม ดังนั้นควรรีบย้ายออกมาโดยเร็ว ข้าจะปูเสื่อให้นอนในห้องโถงไปก่อนสักสองสามวัน"
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่อยากให้เขานอนในถ้ำเปียกชื้นแห่งนั้นต่อ
"ต้าเหนียงจื่อ ข้าจะไปพร้อมกับพวกท่าน" ซีมู่เซียงวางเสื้อไหมพรมในมือลงชั่วคราว
"ได้สิ พวกเราไปด้วยกัน เ้านั่งถักเสื้อไหมพรมนานๆ คงปวดคอแย่แล้ว ลุกขึ้นเดินไปเดินมาบ้างก็ดี" เซวียเสี่ยวหรั่นคล้องแขนของนาง
ซีมู่เซียงหัวเราะอย่างเหนียมอาย
เซวียเสี่ยวเหล่ยถูกลากไปหลังเขากับพวกนาง
อาเหลยร่าเริงสดใส มันกับเซวียเสี่ยวเหล่ยมักวิ่งขึ้นเขา หาผลไม้ ขุดผักป่า เก็บไข่นก เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
แต่สองวันมานี้ เซวียเสี่ยวเหล่ยไม่มีเวลาขึ้นเขาไปเล่นกับมัน อาเหลยจึงค่อนข้างอัดอั้นตันใจ
ครานี้พอได้ออกจากบ้านก็ะโโลดเต้นปีนขึ้นต้นไม้ไปทั่ว มีความสุขมาก
"นี่ อาเหลย เ้าชอบป่าเขาเช่นนี้ รอไปถึงเมืองหลวงก็ไม่มีต้นไม้ให้เ้าปีนแล้ว จะทำอย่างไรดีนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นมันแล้วก็เริ่มหวั่นวิตก
"ต้าเหนียงจื่อจะพาอาเหลยไปด้วยหรือ" ซีมู่เซียงถามอย่างประหลาดใจ
"ต้องพาไปสิ ฝูงลิงไม่ยอมรับมัน ไม่พาไปก็คงไม่ได้แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจ
ถ้าเป็ไปได้ นางก็ปรารถนาให้อาเหลยมีชีวิตอย่างมีความสุขที่บ้านเกิดของมัน
"พี่สาว แค่มีของกิน อาเหลยก็มีความสุขมากแล้ว" เซวียเสี่ยวเหล่ยกระซิบบอก
"ฮ่าๆ เ้าเพิ่งรู้จักมันไม่กี่วัน ไม่นึกว่าจะมองแก่นแท้ของมันออก" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
เซวียเสี่ยวเหล่ยกระตุกมุมปาก เขาไม่คุ้นชินกับการยิ้ม และสนทนา
คำพูดของเขาสองวันมานี้ รวมกันแล้วยังมากกว่าถ้อยคำที่เขาพูดมาตลอดครึ่งปี
ถ้ำูเาไม่นับว่าไกล เดินเลี้ยวไปไม่กี่โค้งก็มาถึงทางแคบที่ใช้ขึ้นเขา
ปีนขึ้นไปอีกสิบกว่าหมี่ [1] ปากถ้ำก็ปรากฏเบื้องหน้า
บริเวณปากถ้ำมีรั้วล้อมรอบ ด้านในรั้วมีแปลงผักหลายแถว ปลูกผักสะเปะสะปะ ผักใบเขียวขจีเป็มันวาวชวนให้คนชมชอบ
"ต้นกล้าของถั่วฝักยาวงอกแล้วนะ สือโถว"
เซวียเสี่ยวเหล่ยผลักประตูเรือนหลังน้อย คนสามสี่คนเดินเข้าไป ซีมู่เซียงมองต้นกล้าถั่วฝักยาวสีเขียวอ่อน นี่คือต้นกล้าจากเมล็ดพันธุ์ที่นางมอบให้เขา
อาเหลยวิ่งเข้าไปในถ้ำอย่างคุ้นที่คุ้นทางเป็อย่างดี คิดว่าปรกติคงมาที่นี่บ่อยครั้ง
"อื้อ" เซวียเสี่ยวเหล่ยมองทั้งในและนอกถ้ำ จิตใจเหมือนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่คาดคิดว่าตนเองจะต้องจากถิ่นพำนักที่เคยอยู่มาหลายปีแห่งนี้ไป
ในใจรู้สึกทั้งเศร้าและหดหู่ ทั้งสุขและทุกข์ตรม ร้อยความรู้สึกผสมปนเปในหัวใจ บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจ
เซวียเสี่ยวหรั่นตามอาเหลยเข้าไปในถ้ำ วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันมืดลง ต้องปรับสายตาอยู่พักใหญ่
ถ้ำไม่กว้างมาก ประมาณร้อยกว่าตารางเมตร ยืนอยู่ข้างใน มีสายลมเยือกเย็นพัดเข้ามาทั้งสี่ด้าน
ถ้ำแห่งนี้หาใช่ถ้ำที่ลมพัดไม่เข้า ส่วนลึกของถ้ำมีรอยแยกขนาดใหญ่สองช่อง แม้จะมีต้นไม้ใบหญ้าบดบังอยู่ แต่ก็ยังคงมีไอเย็นวาบผ่านเข้ามา
รอบๆ รอยแยกมีตะไคร่น้ำเขียวขจีปกคลุมอยู่ไม่น้อย ผนังหินเต็มไปด้วยความชื้น
มิน่าเหลียนเซวียนถึงบอกว่าเด็กคนนี้ถูกไอเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย รับแสงแดดไม่เพียงพอ
ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมทั้งเย็นและชื้นแบบนี้ ไม่เจ็บป่วยสิถึงจะแปลก
ย้อนกลับมามองที่ที่เสี่ยวเหล่ยอยู่ เป็ส่วนที่อยู่ใกล้ปากถ้ำ ใช้แผ่นไม้มาทำเตียงอย่างเรียบง่าย ้าปูด้วยผ้าห่มสกปรกและแข็งกระด้าง ส่วนผ้าห่มก็ดำไม่แพ้กันม้วนกองอยู่ด้านข้าง
ด้านข้างมีเตาหินตั้งหม้อบิ่นๆ อยู่ใบหนึ่ง ใช้ก้อนหินทำเป็โต๊ะสามขา มีของวางระเกะระกะอยู่้า
เด็กคนนี้ใช้ชีวิตตัวคนเดียวในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาตลอดห้าหกปี เซวียเสี่ยวหรั่นทำได้แค่ถอนหายใจ
"เสี่ยวเหล่ย เ้าดูว่ามีสิ่งใดที่อยากเอาไปด้วยหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นดูไม่ออกว่าที่นี่จะมีสิ่งใดน่าเอาไปด้วย
แต่เซวียเสี่ยวเหล่ยกลับไม่เหมือนกัน เขามองของในถ้ำ ไม่มีสิ่งไหนที่เขาจะตัดใจได้ลง
แต่คิดแล้วก็เดินไปม้วนผ้าห่ม
"เสี่ยวเหล่ย อย่าเอาผ้าห่มไปเลย เปียกชื้นแบบนี้เอามาห่มจะล้มป่วยได้"
เขาคิดจะไปหยิบหม้อ
"เสี่ยวเหล่ย ในบ้านไม่ขาดทั้งหม้อและชามตะเกียบ นอกจากนี้อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะไปแล้ว"
เขารื้อรองเท้าผ้าที่ซุกซ่อนไว้ออกมา
"เสี่ยวเหล่ย รองเท้าคู่นี้ทั้งใหญ่และขาดเป็รู เดิมที่เ้าก็สวมไม่พอดีอยู่แล้ว"
ท้ายที่สุดเขาถึงพบว่าในถ้ำที่คุ้นเคยแห่งนี้ กลับไม่มีสิ่งใดที่จะนำออกไปได้เลย
...
[1] หมี่ มาตรวัดความยาว แปลว่า เมตร
