อวิ๋นซีมองเฉิงิฮุ่ยที่กำลังตั้งใจวาดภาพป่าโบตั๋นที่มีดอกโบตั๋นหลากสีสันกำลังแย่งกันเบ่งบาน เมื่ออวิ๋นซีเห็นเช่นนี้ก็อดพูดไม่ได้ว่า สิ่งที่เฉิงิฮุ่ยวาดออกมานับว่าไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าเป็ในยุคปัจจุบัน ทักษะการวาดภาพระดับนี้ หากไม่ได้รับการฝึกซ้อมมายี่สิบกว่าปีย่อมไม่มีทางวาดออกมาได้
มิคาดว่าคนจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ด้วยเื่นี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดฮองเฮาถึงได้โปรดปรานนางเพียงนี้
เพียงไม่นาน เฉิงิฮุ่ยก็วางพู่กันลง และภาพโบตั๋นอันงดงามก็ประจักษ์ต่อสายตาผู้คน ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างกำลังจดจ้องเป็ตาเดียว ทุกสิ่งเป็จริงดังคาด ไม่นานนักก็มีผีเสื้อบินมาหยุดอยู่บนภาพวาดผืนนั้น อวิ๋นซีที่เป็คนจากยุคปัจจุบัน เมื่อได้เห็นแล้วก็อดชื่นชมเฉิงิฮุ่ยผู้นี้ไม่ได้
ทว่า น่าเสียดาย เื่เกี่ยวกับความรู้สึกนี้ไม่ใช่แค่ว่ามีความสามารถร้ายกาจแล้วผู้อื่นจะยอมยกสามีให้ ในตอนนี้เองชายารัชทายาทก็พูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าน้องสะใภ้เองก็วาดภาพได้งามนัก ถ้าอย่างไรประลองวาดภาพกับคุณหนูเฉิงสักหน่อยดีหรือไม่”
“นั่นสิ นั่นสิ พวกเราเองก็อยากชมภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระชายาเพคะ” เมื่อได้ยินชายารัชทายาทเกริ่นนำ หลายคนต่างก็แสดงเจตนารมณ์ที่เห็นพ้องต้องกันว่า ตนเองก็อยากเห็นเช่นกัน
อวิ๋นซียิ้มน้อยๆ คนพวกนี้คงคิดว่านางวาดภาพดีๆ ออกมาไม่ได้เป็แน่ อย่างไรเสีย ในสถานที่ดังเช่นดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อให้สตรีต่ำศักดิ์ผู้หนึ่งจะร้ายกาจสักเพียงไรก็คงต้องมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ดังนั้น คนเหล่านี้ที่ถูกกำราบครั้นเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองครั้งก่อนจึงคิดอยากเอาคืน
“เื่เช่นนี้ก็นับเป็การแข่งขันแล้วหรือ ทว่า หากเป็การแข่งขันจริง ก็ควรต้องมีของรางวัลเป็เดิมพันถึงจะดี” อวิ๋นซีมองไปยังลู่หลิงฉิง ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ชายารัชทายาท ท่านว่าจริงหรือไม่”
เฉิงิฮุ่ยทำเพียงนั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ คล้ายว่าตัวนางเป็คุณหนูสูงศักดิ์ผู้มีความรู้และเปี่ยมด้วยมารยาท คนไม่แม้แต่จะส่งเสียงดัง หรือถกเถียง การกระทำนี้ทำให้อวิ๋นซีนึกถึงคำกล่าวที่ว่า สุนัขที่ไม่เห่าต่างหากที่กัดคน สองครั้งก่อนไม่ว่านางจะทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าเพียงใด คนก็ไม่โกรธแม้แต่น้อย ทั้งยังทำตัวราวกับไม่เคยมีเื่ใดเกิดขึ้น มิหนำซ้ำเมื่อเห็นนางก็ยังสามารถคารวะด้วยความนอบน้อมได้
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า การจะสั่งสอนให้คนเป็สตรีที่มีเล่ห์เหลี่ยมหลักแหลมได้เพียงนี้ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
ลู่หลิงฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้น “เื่ของรางวัลนั้นง่ายมาก ก่อนหน้านี้รัชทายาทได้มอบปะการังแดงให้เปิ่นเฟยมากระถางหนึ่ง เปิ่นเฟยจะใช้ปะการังแดงนั้นเป็รางวัล พวกเ้าสองคน หากว่าใครชนะ ปะการังแดงนั้นก็จะตกเป็ของคนผู้นั้น”
สำหรับปะการังแดงนี้ หากเป็คนทั่วไปคงต้องดีใจจนเนื้อเต้นเป็แน่ อย่างไรเสีย สิ่งนี้ต่อให้จะมีเงินก็ยังซื้อไม่ได้ แต่อวิ๋นซีกลับไม่ชอบของเช่นนั้น นางส่ายศีรษะกล่าวว่า “ของรางวัลของชายารัชทายาทมิอาจดึงดูดใจข้าได้ เพราะที่จวนหนิงอ๋องเองก็มีปะการังแดงเช่นกัน ทั้งยังเป็กิ่งที่สมบูรณ์ทั้งกิ่งด้วย ถ้าอย่างไรลองเสนอของรางวัลใหม่เถิด หากว่ารางวัลที่พวกเ้าเสนอมา ทำให้ข้าใจเต้นได้ ข้าก็จะยอมแข่งกับคุณหนูเฉิงสักรอบ”
เฉิงิฮุ่ยที่เงียบมาตลอด จู่ๆ ก็พูดขึ้น “ชายาหนิงอ๋อง ของรางวัลของหม่อมฉันคือไข่มุกดำอายุพันปี หากพระองค์ชนะ ของชิ้นนี้ก็จะเป็ของพระองค์ แต่หากแพ้ พระองค์ต้องรับปากหม่อมฉันเื่หนึ่ง ข้อเสนอนี้เป็อย่างไรเพคะ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็ไม่อาจไม่พูดได้ว่า เ้าสิ่งนี้มีแรงดึงดูดจริงๆ ไข่มุกดำอายุพันปี หากนำไปปล่อยด้านนอก ต่อให้มีทองคำแสนตำลึงก็ยังซื้อไม่ได้ นางยิ้มพร้อมกล่าวต่ออย่างเห็นด้วย “ไม่เสียทีที่เป็จวนเฉิงโหวจริงๆ แม้แต่ไข่มุกดำอายุพันปีเช่นนี้ก็ยังมี”
นางยิ้มพลางเล่นกำไลหยกม่วงบนข้อมือ “นอกจากแต่งเข้าจวนอ๋อง นอกจากเื่ที่เกี่ยวข้องกับลูกของข้า เื่ที่เหลือ หากไม่ฝืนต่อคุณธรรมในใจข้า ข้าล้วนตกลง” ต่อให้จะตกลงแล้วจะอย่างไร คนเยี่ยงเฉิงิฮุ่ยก็เอาชนะนางไม่ได้อยู่ดี
เฉิงิฮุ่ยได้ฟังเงื่อนไขนั้นก็ถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ เพียงแต่ไม่นานก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม “แน่นอนว่า หม่อมฉันไม่มีทางให้พระชายากระทำเื่ที่ฝืนต่อคุณธรรมในใจเพคะ”
อวิ๋นซีพยักหน้า “ชายารัชทายาทเล่า รางวัลของท่านคือสิ่งใด”
“น้องสะใภ้อยากได้สิ่งใด”
อวิ๋นซีขบคิดอย่างละเอียด จู่ๆ ก็พูดขึ้น “ได้ยินมาว่าตอนนั้นที่ชายารัชทายาทองค์ก่อนแต่งงาน ฮูหยินเฉียวได้มอบหยกอบอุ่น [1] แดงโลหิตให้ชายารัชทายาทองค์ก่อนเป็สินเดิม ข้า ้าหยกอบอุ่นแดงโลหิตชิ้นนั้น หากว่าชายารัชทายาททรงสละได้ เปิ่นเฟยก็จะยอมแข่งกับคุณหนูเฉิง แต่ก็แน่นอนว่า เปิ่นเฟยเองย่อมไม่ให้ชายารัชทายาทต้องเสียเปรียบ หากเปิ่นเฟยแพ้ กิ่งปะการังแดงที่บ้านเปิ่นเฟยกิ่งนั้นก็จะยกให้เป็ของพระองค์”
เมื่อชายารัชทายาทได้ยินว่า สิ่งที่คน้าคือหยกอบอุ่นแดงโลหิตก็เป็ต้องชะงักไป หยกอบอุ่นแดงโลหิตของเฉียวอวิ๋นซี? แน่นอนว่านางรู้จัก เพราะในตอนนั้นนางเป็คนชิงมาจากศพของนังชั้นต่ำผู้นั้นด้วยตนเอง นั่นถือเป็สมบัติล้ำค่า หากถามไถ่ไปทั่วหล้า หยกอบอุ่นแดงโลหิตที่มีสีสันสวยสดเสมอกันเช่นนั้นมีเพียงชิ้นนี้ชิ้นเดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็สิ่งที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลเฉียว เดิมทีสิ่งนี้ต้องส่งมอบให้ลูกชายคนโต แต่ยามที่เฉียวอวิ๋นซีแต่งออกมา ฮูหยินน้อยตระกูลเฉียว หรือก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ของเฉียวอวิ๋นซีกลับเสนอว่า ให้นำสิ่งนี้ส่งไปเป็สินเดิมของเฉียวอวิ๋นซีด้วย
ด้วยเหตุนี้ หยกอบอุ่นแดงโลหิตนี้ถึงได้เข้ามาอยู่ในจวนรัชทายาท
“หากไม่ยินดีก็ช่างเถอะ สุภาพบุรุษไม่รับของที่ผู้อื่นโปรดปราน ถึงแม้อวิ๋นซีจะเป็เพียงสตรี แต่ก็ไม่อาจกระทำเื่ที่จะทำให้คนขบขันเช่นนั้นได้” เมื่อพูดจบ นางก็ยืนขึ้นเตรียมจะจากไป
ลู่หลิงฉิงคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวลาสั้นๆ พูดว่า “ได้ เปิ่นเฟยตกลง”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำรับปากนั้นก็ยิ้มออกมา นางเอ่ยเตือน “ชายารัชทายาททรงรับปากเองนะเพคะ อวิ๋นซีมิได้บีบบังคับพวกท่าน” หยกอบอุ่นแดงโลหิตเป็สมบัติล้ำค่าที่ตกทอดสืบต่อกันมาในตระกูลเฉียว ตอนนั้นเหตุที่มารดาเฉียวยอมให้ตนนำติดตัวไปตอนแต่งออกด้วย ก็เพราะญาติในตระกูลล้วนรักนาง พี่สะใภ้เองก็รักใคร่เอ็นดูนาง
ตอนนี้นางเพียงอยากได้ของของตระกูลเฉียวกลับคืนมา สิ่งนั้นถือเป็ของพี่สะใภ้รอง จึงไม่อาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของลู่หลิงฉิงผู้เป็หนึ่งในฆาตกรที่ฆ่าล้างตระกูลเฉียวได้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นบรรพบุรุษตระกูลเฉียวในปรโลกคงไม่อาจสงบได้
อวิ๋นซีมองป่าโบตั๋นของเฉิงิฮุ่ยไปทีหนึ่ง มุมปากนางโค้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะนึกถึงตอนนั้นที่ตนเคยดูภาพยนต์เื่เปาบุ้นจิ้นวัยหนุ่ม ตอนแม่นางน้อยศาลาโบตั๋น [2] เพราะเื่นี้ ทำให้นางได้มีโอกาสฝึกวาดภาพนั้นไปไม่น้อย แม้แต่ตอนที่มาเกิดใหม่เป็เฉียวอวิ๋นซี นางก็ไม่ได้ละทิ้งการวาดภาพ ดังนั้น ภาพูเา แม่น้ำ หรือดอกไม้ใบหญ้า นางสามารถวาดออกมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์
เฉิงิฮุ่ยไม่กลัวตาย ถึงกับกล้าเลือกวาดโบตั๋น
นางไม่แม้แต่จะคิดก็ก้าวไปด้านหน้า และเริ่มวาดภาพลงไปบนกระดาษที่หวนเอ๋อร์เตรียมไว้ให้ ภาพที่นางวาดในครั้งนี้ยังคงเป็ภาพของแม่นางน้อยศาลาโบตั๋น ทว่า แม่นางน้อยคนนี้ไม่ใช่เสี่ยวชิงถิง [3] ในตอนนั้น และถูกเปลี่ยนเป็ลูกสาวสุดที่รักของนางอย่างหวานหว่านแทน
ทุกคนมองภาพที่ค่อยๆ ประกอบเป็รูปร่าง อดไม่ได้ให้ตกตะลึง ทั้งที่ภาพภาพนี้ก็เป็ภาพวาดโบตั๋นเหมือนกันแท้ๆ แต่ป่าโบตั๋นของเฉิงิฮุ่ยกลับดูจืดชืดเกินไป ส่วนของอวิ๋นซีนั้นมีเพิ่มศาลาเข้ามาหลังหนึ่ง และแม่นางน้อยที่กำลังเด็ดดอกไม้อีกคนหนึ่ง เมื่อพิศดูแล้วก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างเป็อย่างมาก อีกทั้ง อวิ๋นซียังขีดเขียนตัวอักษรสองสามตัวลงไปบนภาพวาด ‘แม่นางน้อยศาลาโบตั๋น’
อวิ๋นซีมองคนตรงหน้า นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เป็อย่างไร”
“ดี ดี เป็ภาพแม่นางน้อยศาลาโบตั๋นที่ดียิ่ง ทว่า แม่นางน้อยที่ชายาหนิงอ๋องวาดขึ้นนี้มิใช่จวิ้นจู่น้อยของจวนหนิงอ๋องหรอกหรือ” คนบางคนยิ้มกล่าวอย่างหยอกล้อ ไม่อาจไม่พูดได้ว่า ภาพวาดโบตั๋นที่ชายาหนิงอ๋องวาดขึ้นนี้ดูดีกว่าของเฉิงิฮุ่ยอยู่สองสามส่วนจริงๆ
“การวาดภาพมิใช่วาดเพียงรูปร่าง แต่ต้องวาดให้ถึงแก่นแท้ของจิติญญา ภาพแม่นางน้อยศาลาโบตั๋นนี้เป็ภาพที่มีรูปร่างมีิญญา เป็ภาพมีชื่อที่หาได้ยากยิ่ง” ในตอนที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกันอยู่นั้น เสี้ยวเหวินตี้ก็เดินนำคนจำนวนหนึ่งเข้ามา และเมื่อมองเห็นจนแน่ชัดว่า แม่นางน้อยในภาพวาดก็คือหลานสาวของตน ชายสูงศักดิ์ก็หัวเราะฮ่าฮ่าแล้วพูดต่อ “อาซีเอ๋ย คิดไม่ถึงว่าเ้าจะวาดหวานหว่านลงไปด้วย”
อวิ๋นซีกะพริบตา แย้มยิ้มพูดว่า “ลูกสาวของหม่อมฉันแน่นอนว่าต้องดีที่สุด เพราะหากเป็คนอื่น หม่อมฉันย่อมไม่มีทางยอมวาดออกมาเพคะ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หยกอบอุ่น(暖玉)หรือเรียกอีกอย่างว่า หยกเนื้ออ่อน เป็หยกชั้นดีที่สมัยโบราณเชื่อว่า หากสวมใส่ไว้จะช่วยป้องกันโรคร้ายและส่งเสริมให้อยู่ดี สงบสุข เนื้อหยกละเอียดแวววาวสะท้อนแสง ผิวััละเอียด เมื่อสวมใส่จะรู้สึกเย็นก่อนแล้วค่อยอบอุ่น แต่ก็ไม่ใช่ความเย็นแบบหนาวเย็น เมื่อสวมใส่ไปนานๆ จะยิ่งเป็มันวาวราวกับว่ามีน้ำมันอยู่ในตัวก็ไม่ปาน
[2] เปาบุ้นจิ้นวัยหนุ่ม ตอนแม่นางน้อยศาลาโบตั๋น(少年包青天 牡丹亭少女)เปาบุ้นจิ้นวัยหนุ่มเป็ทีวีซีรีส์ที่มีเื่ราวเกี่ยวกับเปาบุ้นจิ้นใน่วัยหนุ่ม และในตอนที่ 25 ของเื่นั้นมีชื่อตอนว่า ปริศนาภาพแม่นางน้อยศาลาโบตั๋น ซึ่งเป็ภาพที่มีการซ่อนปริศนาไว้ภายใน โดยที่ไม่มีใครสามารถไขปริศนานี้ได้ และภาพภาพนี้ก็ได้ถูกขโมยไป
[3] เสี่ยวชิงถิง(小蜻蜓)เป็ชื่อของตัวละครในเื่เปาบุ้นจิ้นวัยหนุ่ม ตอนปริศนาภาพแม่นางน้อยศาลาโบตั๋น นางเป็คนที่บอกว่าตนสามารถไขปริศนาของภาพนี้ได้ และบอกว่าตนคือบุตรสาวแท้ๆ ของจิตกรผู้วาดภาพ เพราะในวัยเด็ก นางได้เห็นบิดาของตนวาดภาพนี้เองกับตา