บทที่ 22 แลกเปลี่ยนยาวิเศษ
สองคนตรงหน้านี้เป็ลูกศิษย์ของตระกูลอวิ๋นที่ออกไปหาประสบการณ์ภายนอก ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่งรู้ข่าวเกี่ยวกับลู่อวี่ และแม้ว่าเื่ราวจะน่าเหลือเชื่อไม่น้อย แต่เื่เช่นนี้ควรเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำให้ดี อย่ากลัวแม้ว่ามันจะยังไม่ใช่ความจริงก็ตามเมื่อเห็นสายตาของลู่อวี่ในเวลานี้ อวิ๋นอันเหรินก็พลันพึมพำเบาๆ ในใจขึ้นมาว่าเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? แล้วนับว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่ตระกูลอวิ๋นจะไปคบค้าสมาคมด้วย? แล้วหากทำเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับคนตระกูลลู่ แต่กลับทำให้คนจากเขาหนิงชุยเฟิงขุ่นเคืองใจ เช่นนั้นแล้วจะยังคุ้มค่าหรือไม่เล่า!
ภายในใจคิดเช่นนั้นแต่ปากกลับส่งยิ้มและพูดกับจางอวี้หลางว่า “ศิษย์พี่จาง ปีนี้ยาอายุวัฒนะั้แ่ขั้นหกขึ้นไปของเขาหนิงชุยเฟิงปรุงออกมาเป็อย่างไรบ้าง?ตอนนี้ถึงเวลาจัดสรรจำนวนยาอายุวัฒนะแล้ว ตระกูลอวิ๋นของข้าตั้งตารอคอยไม่น้อย เช่นนั้นยามอยู่ต่อหน้าท่านลุงหลิง ศิษย์พี่จางช่วยบอกเขาจัดสรรยามาให้กับตระกูลอวิ๋นมากหน่อยเล่า แล้วตระกูลอวิ๋นจะตอบแทนให้อย่างงาม!”
ลูกศิษย์ของตระกูลอวิ๋นอีกคนหนึ่งก็รีบก้าวไปคว้าตัวเกาจวิ้นเจี๋ยไว้แล้วพูดว่า “เช่นนั้นไปกันเถอะ ท่านทั้งสอง วันนี้ข้าขอเป็ฝ่ายเลี้ยงเอง ไปดื่มสุราหยกน้ำแข็งดวงใจแห่งจิติญญาเซียนที่หออวิ๋นเซียนกันสักแก้ว ั้แ่ครั้งก่อนจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านมาห้าถึงหกปีแล้วที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำสุราร่วมกัน วันนี้หากไม่เมาไม่กลับ”
แม้ว่าจางอวี้หลางและเกาจวิ้นเจี๋ยจะหยิ่งผยองเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรลู่อวี่ต่อหน้า เพียงแต่รู้สึกอิจฉาในชาติกำเนิดของเขา ดังนั้นจึงพูดจาประชดประชันและแดกดันกันเพียงเท่านั้นเวลานี้มีคนจากตระกูลอวิ๋นมาพูดตะล่อม จึงจำต้องคล้อยตามสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยไปเสียก่อน
“เช่นนั้นย่อมดีไม่น้อย พวกเราพี่น้องเคยได้ยินชื่อเสียงของสุราหยกน้ำแข็งดวงใจแห่งจิติญญาเซียนของศาลาเซียนเจินมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ลิ้มลอง วันนี้โอกาสดียิ่งนัก ข้าขอเชิญพวกท่านทั้งหลายมาร่ำสุราด้วยกันให้เมากันไปข้าง” จางอวี้หลางแสร้งทำเป็ใจกว้างจับมือลูกศิษย์ของตระกูลอวิ๋นผู้นั้นไว้
ทว่าในขณะที่กำลังจะเดินออกไปจากหอการค้าเป่ยเสวีย จู่ๆ ก็มีเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกประตู ก็พลันฉุกคิดขึ้นมาได้และหันไปพูดกับลูกศิษย์ทั้งสองคนของตระกูลอวิ๋นว่า “จะร่ำสุราเมื่อไรก็ย่อมได้ พวกเราดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที เขาหนิงชุยเฟิงของเราให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนยาอายุวัฒนะในครั้งนี้ยิ่งนัก จะให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นไม่ได้ มิเช่นนั้นต่อให้ท่านลุงจะรักและปกป้องข้าเพียงใด ย่อมต้องถูกลงโทษ!”
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาจากนอกประตู มีประมาณสิบคนได้ ห้าในสิบส่วนล้วนแต่งตัวเช่นเดียวกับองครักษ์ ดูแล้วคนผู้นั้นคงมีสถานะไม่ธรรมดา
“อ่า พี่เจียง พี่เมิ่ง พี่เ้า ไม่ได้เจอกันนานเกือบครึ่งปี สบายดีกันหรือไม่เล่า? พี่เจียงคิดไม่ถึงว่าท่านจะเชี่ยวชาญพลังยุทธ์ถึงขั้นฟันฝ่าแล้วจริงๆ?ช่างเป็เื่ที่น่ายินดีอย่างยิ่ง!”
“พี่จางล้อกันเล่นแล้ว เื่นี้ต้องขอบคุณยาอายุวัฒนะไท่หยวนจากเขาหนิงชุยเฟิงของพวกท่าน มิเช่นนั้นหากข้าคิดที่จะบรรลุขั้นพลังขึ้นไปสู่่ปลายของขั้นพลังจิต คิดว่าภายในสามถึงห้าปีนี้เห็นทีคงเป็ไปไม่ได้” ท่ามกลางกลุ่มคนตรงหน้า บุรุษในอาภรณ์สีม่วง่วัยยี่สิบปีผู้หนึ่ง ท่ามกลางผู้นำทั้งสามกลับกล่าวชมเชยคนจากเขาหนิงชุยเฟิงอย่างประจบประแจงแม้ยังสงวนท่าที
“คุณสมบัติและพร์อย่างพี่เจียง ย่อมพบกับเส้นทางฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างราบรื่น แม้ว่ายาอายุวัฒนะไท่หยวนจะปรุงขึ้นมาจากเขาหนิงชุยเฟิงของเรา แต่การที่พี่เจียงได้มานั้น นับเป็โอกาสและจังหวะที่ประจวบเหมาะของท่านไม่น้อย เห็นทีว่าคงไม่เกี่ยวกับเขาหนิงชุยเฟิงของเรา ยิ่งไปกว่านั้น พี่เจียงยังเป็คนถ่อมตนและถือมารยาทเป็สำคัญ ไม่เหมือนใครบางคนที่อาศัยอำนาจของตระกูลทำเป็หยิ่งผยองและวางอำนาจบาตรใหญ่ อันที่จริงแล้วก็เป็เพียงจอมเสเพลเ้าสำราญที่ไม่มีความรู้ผู้หนึ่งก็เท่านั้น จะกล้าหาญและสง่างาม มีหนทางก้าวไกลเทียบเท่าศิษย์พี่ศิษย์น้องได้อย่างไร!”
เดิมทีผู้มาใหม่ทั้งสามไม่ทันได้สังเกตเห็นอะไรในตอนแรก แต่หลังจากได้รับคำชมแสนประจบสอพลอของจางอวี้หลางแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดนั้น พวกเขาในฐานะทายาทสายตรงของแต่ละตระกูล ย่อมคุ้นเคยกับคำพูดปากหวานก้นเปรี้ยวเช่นนี้ดี แต่เมื่อเห็นลู่อวี่ที่เดินเข้าไปด้านในหอการค้าเป่ยเสวียกับอวิ๋นอันเหริน ก็เข้าใจในทันทีว่าเกิดเื่อะไรขึ้น
หนึ่งในนั้นมีลูกศิษย์ของตระกูลเมิ่งนามว่าเมิ่งเทียนเจวี๋ย เป็หนึ่งในสี่อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลเมิ่ง แม้ว่าจะไม่ได้เป็ที่รู้จักในโลกบำเพ็ญเพียร แต่ตอนนี้นับว่าเป็ผู้ที่มีพลังยุทธ์อยู่ใน่กลางของขั้นพลังจิตแล้ว ถือเป็อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในแวดวงตระกูลชั้นสูงเช่นกัน
เมิ่งเทียนเจวี๋ยผู้นี้มีนิสัยเย่อหยิ่งและใจร้อนขี้หงุดหงิดไม่น้อย ทันทีที่เขาสังเกตเห็นลู่อวี่ที่อยู่ห่างออกไป ก็พลันชักสีหน้าดุร้ายคล้ายกับกำลังจ้องจะกินเืกินเนื้อเขาขึ้นมาทันที แม้ตัวจะอยู่ห่างออกไปแต่ยังะโไล่หลังมาแต่ไกลว่า “เ้าสัตว์ร้ายตัวน้อยแห่งตระกูลลู่ เ้ากล้าพอจะประลองกับข้าสักครั้งหรือไม่เล่า? ไม่ว่าจะสิ้นชีพหรือมีชีวิตรอด หากตัวเ้ายอมรับว่าตนเองเป็เพียงเศษสวะผู้หนึ่ง ก็ให้มาคุกเข่าร้องขอชีวิตกับข้า เช่นนั้นแล้วข้าจะได้พิจารณาไว้ชีวิตเ้า!”
แม้ลู่อวี่คิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ แต่คำพูดท้าทายเช่นนั้นกลับทำให้เขาไม่อาจอดทนต่อไปได้ ลู่อวี่หยุดเดินแล้วหันหน้ากลับไปมองเพียงเล็กน้อย พลางพูดตอบโต้กลับไปว่า “เ้านักเลงหัวไม้น้อยจากตระกูลเมิ่งกล้ามาท้าทายข้าหรือ?เมิ่งเทียนอวิ๋นไม่ได้บอกเ้าหรืออย่างไร พลังยุทธ์เพียงขั้นพลังจิตของเ้า ในสายตาของข้าไม่ต่างจากมองมดตัวน้อยเท่านั้น คิดจะมาท้าทายข้า?แต่กลับยังไม่มีคุณสมบัติมากพอ! กลับไปฝึกฝนอีกสักแปดหรือสิบปีก่อนแล้วค่อยกลับมา งี่เง่า!”
พูดจบก็ไม่รอให้เมิ่งเทียนเจวี๋ยโต้ตอบกลับแต่เดินตามอวิ๋นอันเหรินเข้าไปยังห้องลับของหอการค้าเป่ยเสวียทันที จากนั้นก็มีเสียงปิดประตูดัง “ปัง” ตามหลังมา
“อา——” เมิ่งเทียนเจวี๋ยโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที ไม่สนใจต่อคำเตือนจากตระกูลและคำห้ามปรามจากสหายอีกต่อไป เขาประสานนิ้วเข้าหาตัวแล้วคิดจะพุ่งตัวเข้าไปในนั้น
การต่อสู้ระหว่างเมิ่งเทียนอวิ๋นอัจฉริยะของตระกูลเมิ่งกับลู่อวี่ มีเพียงผู้ร่วมเหตุการณ์ไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ไม่มีใครได้เห็นภาพนั้นกับตาตนเอง แต่แม้ไม่ได้เห็นกับตาก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ยินที่เขาเล่ามา ภาพลักษณ์ในอดีตของลู่อวี่ไม่ดีอยู่แล้ว ตอนนั้นเองที่คนเ่าั้นึกขึ้นมาได้ ลู่อวี่ผู้นี้ไม่ใช่คนเก่าดังแต่ก่อนแล้ว ทั้งยังไม่ใช่จอมเสเพลเ้าสำราญที่ไม่มีความรู้อีกต่อไป
ลูกศิษย์ทั้งสองคนของตระกูลอวิ๋นเพิ่งรู้สึกตัวในเวลานี้เช่นกัน พวกเขาพอจะเข้าใจความคิดบางอย่างของอวิ๋นอันเหรินแล้ว แม้ว่าลู่อวี่จะไม่ใช่คนปรุงโอสถขั้นหก แต่จากผลการประลองของตระกูลลู่กับตระกูลเมิ่งแล้วตระกูลอวิ๋นย่อมต้องให้ความเคารพเขาในระดับหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเห็นเมิ่งเทียนเจวี๋ยควบคุมสติไม่อยู่ ถึงขั้นกล้ามาหาเื่ในถิ่นตระกูลอวิ๋นเช่นนี้ มีหรือคนตระกูลอวิ๋นจะทำเป็ทองไม่รู้ร้อน ดังนั้นจึงพวกเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปขวางเมิ่งเทียนเจวี๋ยไว้ทันที
ลูกศิษย์ทั้งสองของตระกูลอวิ๋นไม่ใช่ทายาทสายตรงของตระกูล ดังนั้นจึงมีสถานะที่ไม่อาจทัดเทียมกับเมิ่งเทียนเจวี๋ยได้ แต่ถึงจะเป็เช่นนั้นพวกเขากลับไม่ลังเลใจ ตระกูลอวิ๋นตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือและมีชื่อเสียงในลำดับที่สาม จากบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ด และต่อให้เป็ลูกหลานของสายเืรองก็ย่อมมีความเย่อหยิ่งในตัวเอง
“ศิษย์พี่เมิ่ง ที่นี่ถือเป็ถิ่นของตระกูลอวิ๋นของข้า อย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าตระกูลอวิ๋นของข้าบ้าง มิเช่นนั้นแล้วพวกเราสองพี่น้องคงต้องฝืนใจลงมือ!”
“เหอะ อวิ๋นไห่เทา อวิ๋นไห่ผิง คิดว่าพลังยุทธ์ของพวกเ้าทั้งสองจะขวางข้าไว้ได้หรือ?” เมิ่งเทียนเจวี๋ยถูกสองพี่น้องตระกูลอวิ๋นขวางไว้ ไม่เพียงแต่จะสงบสติอารมณ์ลง แต่เขากลับยิ่งทวีความโกรธ ไฟชั่วร้ายในใจค่อยๆ ลุกโชน ลู่อวี่เป็เพียงคนไร้ค่าของตระกูลลู่ แต่พวกเ้าทั้งสองในนามของตระกูลอวิ๋นกลับคิดจะปกป้องมัน ไม่ใช่ว่าตระกูลเมิ่งของข้ากำลังถูกเหยียดหยามถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ลูกหลานของตระกูลเจียงและตระกูลเ้าต่างพากันเงียบกริบ แม้ว่าเมื่อครู่นี้จะพยายามห้ามปราม แต่นั่นเป็เพียงการแสดงงิ้วเท่านั้น ความจริงพวกเขาก็อยากเห็นตระกูลเมิ่งและตระกูลลู่ประลองฝีมือกันจริงๆ เพราะหากเป็เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองตระกูลจะถือว่าได้เปรียบ นับว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับมิตรภาพแต่เป็อุปนิสัยที่ไม่รู้ตัว
แต่ในเวลานี้กลับมีคนในตระกูลอวิ๋นออกมาห้ามไว้ หากพวกเขายังคงยืนเฉยและเฝ้าดูต่อไป คงจะดูเกินไป ดังนั้นจึงรีบเข้าไปล้อมสหายไว้ทันทีและตักเตือนเขา ไม่ให้มาก่อเื่ที่ตระกูลอวิ๋น
ทางด้านจางอวี้หลางและศิษย์ร่วมสำนักทั้งสองคนเวลานี้รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น หากเมิ่งเทียนเจวี๋ยเกิดประลองฝีมือกับลู่อวี่ขึ้นมาจริงๆ ทันทีที่มีคนาเ็ พวกเขาสองคนคงต้องเสียผลประโยชน์โดยแท้ แต่เมื่อเห็นว่ามีคนเข้าไปขวางไว้ จึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่ครึ่งคำ แต่ดวงตากลับฉายแววความสะใจ ต่อให้ตอนนี้ลู่อวี่รอดพ้นจากการแก้แค้นของตระกูลเมิ่ง แต่หลังจากเื่นี้ต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อจุดประสงค์อื่นแน่ และหากเป็เช่นนั้นจริงก็ไม่นับว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว
แม้ว่าเมิ่งเทียนเจวี๋ยจะหุนหันพลันแล่นและขี้หงุดหงิดไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เมื่อมองดูสองคนนั้นจากตระกูลอวิ๋น แม้ว่าพลังยุทธ์จะสู้ตนเองไม่ได้ แต่อย่างไรนี่ก็เป็ถิ่นของตระกูลอวิ๋น ต้องมียอดฝีมือประจำการอยู่ที่นี่แน่ หากตัวเขาเผลอลงมือที่นี่จริงๆ ต่อให้ไม่มีอันตรายถึงชีวิตแต่คงได้รับาเ็อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งจะทำให้สัตว์ร้ายตัวน้อยของตระกูลลู่หัวเราะเยาะใส่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ฝืนใจระงับความโกรธและจ้องมองไปทางพี่น้องตระกูลอวิ๋นทั้งสองอย่างแข็งกร้าว จากนั้นก็ถอยหลังออกไป
แต่เื่นี้มันยังไม่จบ ในเมื่อสัตว์ร้ายตัวน้อยของตระกูลลู่ ออกจากูเาเทียนฉยงมาแล้ว หากเกิดเื่อะไรขึ้นโดยไม่คาดคิดก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ อืม ใช่แล้ว พี่ชายคนที่สองอย่างเมิ่งเทียนอิงก็อยู่ในเมืองเทียนตูเซียนเช่นกัน หากปรึกษาเื่นี้กับเขาสักหน่อย บางทีอาจคิดหาวิธีสอนบทเรียนให้กับเ้าสัตว์ร้ายตัวน้อยของตระกูลลู่ได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เมิ่งเทียนเจวี๋ยก็แอบหัวเราะเยาะเงียบๆ แต่ด้วยความที่เขามีนิสัยใจร้อนขี้หงุดหงิด จึงแทบจะทนรอกล่าวลาสองสหายจากตระกูลเจียงและตระกูลเ้าไม่ไหว หลังคิดแผนการออกแล้ว
สองลูกหลานของตระกูลเจียงและตระกูลเ้าต่างก็เป็คนฉลาด เมื่อเห็นสหายอย่างเมิ่งเทียนเจวี๋ยเดินจากไป ต่างก็หันมามองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไร ภายในใจคิดอะไรอยู่นั้นนอกจากพวกเขาแล้วก็ยากจะหยั่งรู้
หลังจากลู่อวี่เดินเข้ามาในห้องลับของหอการค้าเป่ยเสวียและนั่งลง อวิ๋นอันเหรินก็หยิบรายชื่อวัตถุดิบออกมายื่นให้เขาแผ่นหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็พูดว่า “คุณชายลู่้าสิ่งใดขอเพียงบอกมา ข้าจะใช้คนไปนำมาให้ทันที”
“อืม ข้านำเซียนหยกติดตัวมาด้วยไม่มากเท่าไร ไม่ทราบว่าที่นี่ใช้ยาแลกเปลี่ยนได้หรือไม่ คิดคำนวณราคากันอย่างไรเล่า?” ลู่อวี่เหลือเซียนหยกในตัวไม่มากแล้วจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้เขากว้านซื้อวัตถุดิบของยาวิเศษไปหลายรายการแล้ว แม้ว่าจะเป็วัตถุดิบขั้นต่ำไปสักหน่อย แต่กลับมีปริมาณมากเกินความ้า โชคดี หากตู้เสวียนเฉิงไม่ได้ให้แหวนลับสุดยอดวงหนึ่งแก่เขา ข้าวของที่ซื้อมาเ่าั้คงจะเก็บไม่หมด
อวิ๋นอันเหรินได้ยินเช่นนั้นก็ใจเต้นรัว แต่กลับพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า “ย่อมได้ขอรับ ทั้งยังเป็การแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมไม่น้อย คุณชายลู่เองคงรู้เช่นเดียวกันว่า ราคาของยาวิเศษจะกำหนดตามระดับขั้นไม่ได้ทั้งหมด มีบางอย่างถึงแม้จะเป็ยาขั้นต่ำแต่กลับให้ราคาสูง ดังนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณชายลู่จะแลกเปลี่ยนยาประเภทใด”
ลู่อวี่พยักหน้ารับ ร้านค้าตระกูลอวิ๋นแห่งนี้ถือว่าซื่อสัตย์ ไม่ได้มองว่าเขาเป็คนโง่เขลาจากชื่อเสียงในอดีต ดังนั้นจึงพูดตอบไปว่า “ยาอายุวัฒนะไท่หยวนขั้นหกสองเม็ด ยายืดอายุไป่เฉ่าขั้นหกสามเม็ด! เพียงเท่านี้ เ้าลองดูว่าควรให้ราคาเท่าไร!”
อวิ๋นอันเหรินตาลุกวาวขึ้นมาทันที ยาอายุวัฒนะไท่หยวน นับว่าเป็สมบัติล้ำค่าของเขาหนิงชุยเฟิงไม่น้อย ทั้งยังเป็ของที่มีราคาสูง แต่ไม่มีขายอยู่จริงในตลาด คิดไม่ถึงว่านายน้อยตระกูลลู่จะกล้าขายยาล้ำค่านี้ หรือว่าข่าวลือที่ได้ฟังจะเป็ความจริง?
เขาคิดพร้อมกับพยายามระงับความตื่นตระหนกใ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากได้ยาอายุวัฒนะไท่หยวนทั้งสองเม็ดนี้มา เช่นนั้นแล้วย่อมทำให้ตระกูลอวิ๋นตื่นเต้นดีใจไม่น้อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ายาล้ำค่าเ่าั้เป็ของลู่อวี่เองหรือของตระกูลลู่ก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อตกมาอยู่ในมือของคนตระกูลอวิ๋นแล้ว ย่อมกลายเป็ของตระกูลอวิ๋น อีกทั้งในเื่ราคาเขายังได้เปรียบไปด้วย
หากมันเป็เื่จริงอย่างที่ข่าวลือว่าไว้ เช่นนั้นต่อให้เสียเปรียบก็จำต้องรักษาลูกค้ารายใหญ่นี้ไว้!
อวิ๋นอันเหรินเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น น้ำเสียงในการพูดยิ่งเป็มิตรมากขึ้นเรื่อยๆ
“ยาอายุวัฒนะไท่หยวนตีราคาเป็เซียนหยกขั้นสูงสามสิบเม็ดต่อยาหนึ่งเม็ด และยายืดอายุไป่เฉ่าขั้นหกสามเม็ด ฮ่าๆ ยาเหล่านี้ได้ยินว่ามีร่องรอยปรากฏอยู่ในสมัยโบราณ ทั้งยังมีมูลค่าเทียบเท่ากับเซียนหยกขั้นสูงยี่สิบเม็ด ทั้งหมดคิดเป็เซียนหยกขั้นสูงหนึ่งร้อยยี่สิบเม็ด แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งยาอายุวัฒนะไท่หยวนและยายืดอายุไป่เฉ่าขั้นหกก็ถือเป็ยาที่ล้ำค่ายิ่งนัก หอการค้าเป่ยเสวียสามารถให้ราคาได้มากถึงสองเท่าตัว ทั้งหมดคิดเป็เซียนหยกขั้นสูงสองร้อยสี่สิบเม็ด คุณชายลู่คิดเห็นว่าอย่างไร”
ลู่อวี่พยักหน้ายิ้ม เซียนหยกขั้นสูงสองร้อยสี่สิบเม็ดเทียบเท่ากับเซียนหยกขั้นต่ำสองล้านสี่แสนเม็ด ราคานี้ถือว่ายุติธรรมแล้ว ดังนั้นจึงหยิบขวดหยกสองขวดออกมาจากในอกแล้วยื่นให้อวิ๋นอันเหรินทันที