“โคมิญญา...ดับหรือ” ลู่เต้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองทะเลปราณ โคมิญญาที่ควรลุกโชน บัดนี้กลับสงบนิ่งเช่นเดียวกับอีกหกดวง
ไป๋เสียขมวดคิ้ว “นี่เ้าเป็ลมเป็ครั้งที่สองแล้วนะ หรือว่าร่างกายเ้ากับคุณสมบัติของผลไม้มันขัดกัน”
ลู่เต้าสงสัย “ครั้งที่สอง?”
ในมุมมองของไป๋เสีย เขาเห็นลู่เต้าเป็ลมหลังจากกินผลไม้สีทอง จากนั้นก็เป็ลมอีกครั้งก่อนจะแสดงวิชา
“อา ใช่แล้ว” ไป๋เสียมองลู่เต้าั้แ่หัวจรดเท้า ส่ายหน้าถอนหายใจ “ช่างเถอะ ดูท่าทางเ้าคงไม่รู้เื่ คำตอบนี้ให้ข้าหาเองก็แล้วกัน”
ไป๋เสีย้ากลับเข้าไปในร่างของลู่เต้าเพื่อค้นหาความจริง ขณะที่เขากำลังจะลงมือ ทันใดนั้นลู่เต้าก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะร้องเสียงดังด้วยความเ็ป
ภาพมากมายผุดขึ้นมาในหัวของลู่เต้า เขากุมศีรษะกลิ้งไปมาบนพื้น หอบหายใจแรง กัดฟันแน่น ฝืนความเ็ปแสนสาหัสที่แล่นมาจากส่วนลึกในสมอง
“ค่อยๆ ทาน ไม่ต้องรีบ ไม่มีใครแย่งเ้าหรอก” ภาพหญิงสาวยื่นน้ำให้พร้อมลูบหลังเขาเบาๆ
หญิงสาวประคองแก้มยิ้มมองเขาที่กินอย่างเอร็ดอร่อยราวกับผีหิวโหย
หญิงสาววางแตงโมลง ยื่นมือทั้งสองข้างโอบกอดเขาเอ่ยถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ “แบบนี้ใช่มั้ย”
หญิงสาวมองอักขระเวทแปลกประหลาดที่พื้นอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นะโเรียกเขาด้วยความสิ้นหวัง “ลู่เต้า...”
แสงสีแดงดำแปลกประหลาดสว่างวาบขึ้น เพียงพริบตา ภาพที่เหลืออยู่ในอักขระเวทก็เหลือเพียงกองเืและเสื้อผ้าที่ลอยอยู่บนนั้น
เมื่อภาพมาถึงตอนสุดท้าย โลกทั้งใบราวกับถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดง ลู่เต้าอยู่ภายในอักขระเวท ส่วนผู้ควบคุมิญญาที่อยู่ด้านนอก จู้หลงจ้องมองลู่เต้าด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
ทันใดนั้นลู่เต้าก็ลืมตาขึ้น หอบหายใจกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว...ไป๋เสีย!”
ไป๋เสียเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ “โอ้?”
“ข้า...” ลู่เต้ามีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเน้นทีละคำ “เหมือนเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง”
ไป๋เสียเบิกตากว้างตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะลั่นราวกับเพิ่งได้ยินเื่ตลกจากปากลู่เต้า
“ข้ารู้ว่าเื่นี้น่าเหลือเชื่อ แต่ข้าสาบานได้ว่าทุกอย่างที่พูดเป็ความจริง” ลู่เต้าเล่าเื่ราวั้แ่ต้นจนจบให้ไป๋เสียฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
ตอนแรกไป๋เสียยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่เมื่อลู่เต้าเล่าอย่างละเอียด สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น
“...สุดท้ายข้าก็ตาย จากนั้นก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง” หลังจากลู่เต้าเล่าจบก็เงียบไป
‘หรือว่าเ้าหนูคนนี้จะปลุกพลังวิชาโป้ปดได้’ ไป๋เสียยืนกอดอกครุ่นคิด
เขาไม่ได้สนใจเื่ราวของลู่เต้ากับกู่เสี่ยวอวี่เลยสักนิด แต่ลู่เต้าเล่าเื่ราวเหล่านี้อย่างกับเห็นภาพ ไม่น่าจะเป็เื่ที่กุขึ้นมาได้ อีกทั้งท่าทีเขินอายเมื่อพูดถึงตอนถูกกู่เสี่ยวอวี่กอดก็ไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ
ไป๋เสียเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เช่นนั้น...เ้าพิสูจน์ได้หรือไม่”
“พิสูจน์” ใจลู่เต้าสั่นสะท้าน
“ถูกต้อง พิสูจน์” ไป๋เสียกล่าวด้วยสีหน้าสุขุม “มิเช่นนั้นข้าจะเชื่อเ้าได้อย่างไร ขอเพียงอย่างเดียว ขอเพียงอย่างเดียวที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เ้าพูดเป็ความจริงก็พอ”
หลังจากไป๋เสียพูดจบก็สังเกตพฤติกรรมของลู่เต้าอย่างละเอียด ทั้งหางตา ตำแหน่งมือ การยืน ท่าทาง และน้ำเสียง
ลู่เต้าเกาหัวอย่างจนใจ “เื่แบบนี้พิสูจน์ได้ด้วยหรือ”
เขาเดินตรึกตรองไปมาอย่างหนัก ใคร่ครวญอยู่นานก็คิดวิธีพิสูจน์ไม่ออก ไป๋เสียเห็นลู่เต้าเดินไปมาอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเอ่ยถาม “เป็อย่างไรบ้าง ทำได้หรือไม่”
“น่าโมโห...” ลู่เต้าร้อนใจเช่นกัน ความรู้สึกอธิบายไม่ถูกเช่นนี้ทำให้เขาร้อนรนเป็อย่างยิ่ง
สายตาพลันเหลือบไปเห็นชั้นวางโอสถ บนนั้นมีกล่องวางเรียงรายอยู่ ภายในกล่องบรรจุลูกกวาดที่เขาทานตอนต่อสู้ครั้งที่แล้ว
“ลูกกวาด! ถูกต้อง! ลูกกวาด!” ลู่เต้านึกขึ้นได้ รีบเดินไปที่ชั้นวางยา เปิดกล่องทีละกล่อง
ถึงแม้ไป๋เสียจะไม่รู้ว่าลู่เต้ากำลังทำอะไร แต่ก็ถูกดึงดูดความสนใจไปด้วย ในที่สุดลู่เต้าก็ยื่นกำปั้นมาตรงหน้าไป๋เสีย ค่อยๆ กางนิ้วออกช้าๆ
แม้ลู่เต้าจะมองไม่ออกว่าลู่เต้ากำลังทำอะไร แต่ก็ถูกท่าทางของอีกฝ่ายดึงดูด จนกระทั่งลู่เต้ายื่นกำปั้นมาตรงหน้า ค่อยๆ แบมือออกช้าๆ
ลูกกวาดสามเม็ดสามสีวางนิ่งอยู่ในมือของลู่เต้า เขากล่าวด้วยท่าทีมั่นใจ “นี่คือคำตอบ!”
ไป๋เสียมองลูกกวาดแวบหนึ่ง ก่อนจะมองลู่เต้า แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “หมายความว่าอย่างไร”
ลู่เต้ายิ้มอย่างภาคภูมิใจ ชี้นิ้วไปที่ลูกกวาดทั้งสามเม็ดไล่จากซ้ายไปขวา “เม็ดสีขาวกินแล้วตาบอด! เม็ดสีฟ้ากินแล้วเสริมพลังหยาง! เม็ดสีแดงมีผลเพิ่มพลังิญญาชั่วคราว!”
ไป๋เสียได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจหาย “ข้ายังไม่ได้บอกเ้าด้วยซ้ำ เ้าหนูรู้สรรพคุณของลูกกวาดเหล่านี้ได้เยี่ยงไร”
แต่บนใบหน้าเขากลับแสร้งทำเป็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เื่พวกนี้ หากอยากรู้ก็ย่อมมีหนทาง นี่ใช้เป็หลักฐานได้ด้วยหรือ”
ลู่เต้าไม่หลงกล และหยิบลูกกวาดสีแดงขึ้นมาอย่างใจเย็น “แต่ข้าไม่มีทางรู้หรอกว่าลูกกวาดนี้มันเผ็ด ก็เพราะท่านปรุงยาพลาด”
คราวนี้ไป๋เสียถึงกับตะลึง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “นี่...เ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้บอกหรือ” ลู่เต้ายิ้มอย่างขมขื่น “ข้าก็เหมือนท่าน ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง”
สีหน้าของไป๋เสียเต็มไปด้วยความลังเล เขาอยากจะเชื่อ แต่นี่ก็เป็หลักฐานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ครุ่นคิดอยู่นานจึงยอมเอ่ยปาก “มีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่”
ลู่เต้าพึมพำด้วยเสียงไม่สบอารมณ์ “ตอนแรกท่านไม่ได้บอกว่าขอแค่เหมือนกันก็พอแล้วหรือ”
ขณะที่เขากำลังคำนึงเื่ ‘จะพิสูจน์อย่างไรดี’ เสียงน้ำที่ดังกระหึ่มอยู่ข้างหูก็ย้ำเตือนเขา อีกอย่างคือตอนนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เขาทำไม่ได้
ลู่เต้าใช้สายตาส่งสัญญาณให้ไป๋เสียตามออกมาจากห้องลับ ก่อนจะหยุดลงที่ริมฝั่ง ไป๋เสียที่ไม่เข้าใจกำลังจะเอ่ยถาม ลู่เต้าก็ะโลงไปในน้ำโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เสียง “ตู้ม!” ดังขึ้นจนเกิดเป็ละอองน้ำกระเซ็น
ไป๋เสียไม่อาจเข้าใจว่าลู่เต้า้าสิ่งใด จึงได้แต่รออยู่ริมฝั่ง ไม่นานนัก ร่างของลู่เต้าที่ถูกปกคลุมด้วยพลังลมปราณก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากน้ำ ทั้งที่ทั้งตัวะโลงไปในแม่น้ำ แต่ร่างกายกลับไม่เปียกน้ำแม้แต่น้อย
“ฮู่...” ลู่เต้าปีนกลับขึ้นมาบนฝั่ง ปรับลมหายใจ ดูดซับพลังลมปราณกลับเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายกลับแห้งสะอาดดังเดิม
สีหน้าของไป๋เสียพลันแข็งค้าง หากก่อนหน้านี้ยังพอจะใช้คำว่าบังเอิญมาอธิบายได้
แม้ว่าพลังลมปราณของลู่เต้าจะยังไม่ถึงขั้นควบคุมได้อย่างอิสระ แต่สำหรับผู้ฝึกตนที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาถึงระดับหนึ่งดาว ถือว่าเขามีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว
“นี่...เป็ไปไม่ได้!” ไป๋เสียเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่มันบทเรียนของผู้ฝึกตนระดับสองดารา เ้าทำได้อย่างไรกัน!”
“ท่านสอนข้านี่” ลู่เต้าเอ่ยอย่างจนใจ “อีกอย่างข้าถูกสังหารก่อนจะฝืนใช้ได้ครู่เดียว...”
“พอแล้ว” ไป๋เสียยื่นมือออกมาขัดจังหวะคำพูดของลู่เต้า “ข้าเชื่อเ้าแล้ว”
