“ข้าสามารถโน้มน้าวให้ท่านพ่อรับท่านเป็ศิษย์ เช่นนี้ ท่านก็มิได้มีฐานะเป็ชาวนาแล้ว ท่านพ่อรักข้ามากขนาดนี้ จะต้องรับคำขอร้องของข้าแน่ หลิงจือเซวียน ท่านใคร่ครวญอย่างจริงจังอีกทีดีหรือไม่” ในยามร้อนใจ ต่อให้เป็เด็กสาวที่เอาแต่ใจอย่างไร ก็มีด้านที่ออดอ้อนเช่นกัน
เจาหยางกลัวแล้ว วันนี้ที่ร้านหนังสือกลางเมือง เดิมมีงานประชุมบทกวีงานหนึ่ง นางได้ข่าวว่าหลิงจือเซวียนจะไป ก็แอบหนีออกมาจากจวน ใครจะรู้ว่าเ้าพวกไม่กลัวตายพวกนั้น ถึงกลับนำเื่ที่นางไล่ตามหลิงจือเซวียนมาล้อเล่น ถึงกับมีคนดูถูกเขาว่าไม่คู่ควรกับตำแหน่งบุตรเขยของท่านอ๋อง ยิ่งิ่แคลนเขาว่าเป็เพียงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง เป็คางคกที่คิดกินเนื้อห่านฟ้าต่างๆ นานา
ทั้งที่ในใจของเขามีตนแล้ว ่ที่ผ่านมานี้ ในยามที่อยู่กับนางก็อ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่เขาไม่ยอมรับเท่านั้น แต่หลังจากที่สีหน้าและคำเยาะหยันของคนพวกนั้นปรากฏออกมา เขาก็เริ่มหวาดกลัว เริ่มมีโทสะแล้ว กระทั่งนิ้วของนางที่แอบไปเกี่ยวนิ้วของเขาไว้เงียบๆ ก็สะบัดออกด้วยความโกรธ
เดิมนางคิดว่าจะค่อยๆ คุยกันดีๆ กับหลิงจือเซวียนหลังการสอบเคอจวี่ในฤดู แต่ว่านางรอไม่ไหวแล้ว นางกังวลว่าหลิงจือเซวียนจะไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคในใจได้ เขาให้ความสำคัญกับความแตกต่างของครอบครัวมากเกินไป นางกลัวว่า หากนางยังไม่ใช้การข่มขู่หลอกใช้ ภายใต้ความโมโห เขาจะหาหญิงสาวจากที่ใดไม่รู้มาแต่งงานด้วย
นี่เป็แสงจันทราสีขาว[1]ของนาง เป็ผู้ชายที่ทำให้นางอยากแก้ไขความเอาแต่ใจเป็ครั้งแรก ต่อให้นางมิอาจได้มา ผู้อื่นก็อย่าคิดจะได้ไป
“เจาหยาง เ้าก็รู้ ข้า้าอาศัยความสามารถของตนเอง เช่นนั้นจึงจะสามารถปกป้องคนที่ข้า้าจะปกป้องได้ เ้าอย่าได้บีบบังคับข้า”
หลิงจือเซวียนน้ำเสียงเ็า สายตาที่อ่อนโยนในยามปกติก็เปลี่ยนเป็เยียบเย็นขึ้นมา
เขาถูกทำลายความภาคภูมิใจแล้วจริงๆ
วันนี้ เหล่าบัณฑิตพวกนั้นหัวเราะเยาะเขาว่า ถูกจวิ้นจู่ที่เอาแต่ใจที่สุดในเมืองหลวงตามเกี้ยวพา เดิมเขามิได้คิดสิ่งใด แต่ที่คนพวกนั้นทำเกินไปยิ่งกว่าก็คือ ดูิ่ว่าเขาจงใจยั่วยวนจวิ้นจู่น้อย กล่าวว่าเขาอาจเอื้อมจวิ้นจู่
เขาไม่ได้ทำ!
เขาอยากเรียนหนังสือ อยากเป็อย่างน้องสาว ทำในสิ่งที่ตน้า อยากไปปกป้องคนในครอบครัว ปกป้องน้องสาว เขาจะสอบเคอจวี่ อยากได้ตำแหน่งจ้วงหยวน เยี่ยงนั้น คนในครอบครัวก็จะไม่ถูกบรรดาผู้สูงศักดิ์มีอำนาจทำร้าย
เมื่อวาน ในยามที่อาจารย์เดินหมากกับเขานั้น ตั้งใจเผยเื่ที่ซูเช่อปฏิเสธการแต่งงานออกมาโดยไม่ต้องสงสัย เกรงว่าจะเดือดร้อนมาถึงมู่เอ๋อร์ แต่หากเขาสอบติดตำแหน่งสูง หรือกระทั่งถูกฝ่าาใช้ในงานสำคัญ คนพวกนั้นยังจะกล้าเล็งเป้าหมายมาที่มู่เอ๋อร์ได้อย่างไร
มู่เอ๋อร์เปลี่ยนเป็แข็งแกร่งอย่างกะทันหัน นำคนในครอบครัวมาปักหลักในเมืองหลวง กลายเป็คนที่พวกเขาแม้ในยามหลับฝันก็ไม่กล้าคาดคิด ส่วนที่เหลือก็ควรมอบให้พี่ชายเช่นเขาแล้ว
“แต่ว่า หากเ้าแต่งกับข้า ก็สามารถให้เ้าลดความพยายามไปได้เป็สิบปี เ้าไม่จำเป็ต้องไปแย่งชิงตำแหน่งบนประกาศกับคนพวกนั้น แบบนี้ไม่ดีหรือ?”
หลิงจือเซวียนหัวเราะเสียงเย็น รอยยิ้มเช่นนี้ไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของเขามาก่อน เขามองเจาหยาง ราวกับมองคนแปลกหน้า “เหอะ หากเ้าใช้ความคิดเช่นนี้มองข้า ข้ายินดีที่จะไม่เคยรู้จักกับเ้ามาก่อน”
ความภาคภูมิใจของบุรุษก็เหมือนกับเข่าของพวกเขา จะไม่คุกเข่าโดยง่าย ยิ่งไม่มีทางยอมแพ้โดยง่าย
เจาหยางนะเจาหยาง ที่เ้าต้องตาก็มิใช่ความยึดมั่นไม่ยอมแพ้นี้บนตัวเขาหรือ
เห็นเขาจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่หันกลับมา เจาหยางรีบวิ่งซอยเท้าเข้าไปกอดเขาไว้จากด้านหลัง “ได้ๆๆ เป็ข้าที่ผิดไปแล้ว ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่กลับมาได้หรือไม่? จือเซวียน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ การสอบเคอจวี่ครั้งนี้ท่านจะต้องได้ตำแหน่งจ้วงหยวนแน่ ถึงเวลานั้น ท่านก็มิใช่ชาวนาอีกต่อไป ท่านก็ลองยอมรับข้าดู”
น้ำเสียงที่อ่อนแอนุ่มนวล ทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากจะปกป้องอันแรงกล้าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หลิงจือเซวียนยกมือขึ้นมา คิดอยากจับนางจากด้านหลังมากอดไว้ด้านหน้า แต่การกระทำเมื่อมาถึงครึ่งทางก็ล้มเลิกลง
“หกเดือน”
คำพูดที่บางเบาสามคำ เขาปลดมือของเจาหยางออกเบาๆ จากไปอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่หันกลับมามองอีก
เจาหยางอยากเอ่ยปากะโเรียกชื่อของเขา แต่เมื่อคิดอีกครั้งนางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
อีกหกเดือน เป็วันสอบเคอจวี่ มิใช่หมายความว่าให้นางรอหรือ?
“หลิงจือเซวียน เ้าต้องพูดได้ทำได้ ไม่เช่นนั้น ข้า เจาหยางจวิ้นจู่น้อย แม้จะต้องสละทุกสิ่งก็จะไม่ให้เ้าได้เป็สุข”
ยังคงเป็น้ำเสียงเอาแต่ใจที่คุ้นเคย ร่างของหลิงจือเซวียนชะงักครู่หนึ่ง อย่างรวดเร็ว ก่อนเขาจะโค้งริมฝีปากแล้วสาวเท้ายาวออกไป
เขา้าเผยความสามารถออกมาในการสอบเคอจวี่ นำพาเกียรติยศมาสู่สกุลหลิง อยากแสดงหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เป็พี่ชายให้สำเร็จ ปกป้องท่านพ่อท่านแม่ ปกป้องน้องสาว! อื้ม คราวนี้ก็มีความปรารถนาเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง จะต้องสอบติดตำแหน่งจ้วงหยวนให้ได้
จากที่ไกล จูฉีมองคนทั้งสองด้วยความเป็ห่วงอย่างมาก กลัวว่าหากไม่ระมัดระวัง จะะโลงทะเลสาบตามกันไป จนกระทั่งหลิงจือเซวียนจากไปอย่างอิสระ เขาจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วหันสายตามามองหลิงมู่เอ๋อร์ นางก็ทำราวกับไม่มีเื่ใดเกิดขึ้น เสมือนเมฆบางลมสงบ “แม่นางมู่เอ๋อร์ไม่กังวลแม้แต่น้อยเลยหรือ ความสงบมั่นคงนี้ ทำให้ผู้แซ่จูสำนึกว่าไม่อาจเทียบได้จริงๆ”
ในรอยยิ้มของหลิงมู่เอ๋อร์แสดงออกถึงความจนใจขึ้นมาหลายส่วน “ใครบอกว่าข้าไม่กังวลกัน หากจวิ้นจู่น้อยผู้เอาแต่ใจโมโหะโลงไปจริงๆ ไม่ว่าจะเป็อย่างไร พวกเราสกุลหลิงแต่ละคนล้วนต้องศีรษะร่วงสู่พื้น ทว่ายังดี พวกเขามิได้คลุ้มคลั่งเท่าที่คิด”
“ดูแล้ว ในชีวิตของพี่หลิงคงมีเคราะห์ด่านหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีต่อของเขากันแน่” จูฉีถอนหายใจครั้งหนึ่ง
แม้เขากับพี่หลิงจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เมื่อพบหน้าก็ราวกับคุ้นเคยมานาน เรียกขานเป็พี่น้องครั้งหนึ่งดั่งเป็พี่น้องชั่วชีวิต ความดีงามและความผิดพลาดของเขา ล้วนทำให้เขากังวล
“พี่จูไม่กลัวพ่ายแพ้ให้พี่ใหญ่หรือ เพราะตอนนี้ พี่ชายเป็ผู้ที่มีความมุ่งมาดปรารถนาที่มั่นคงแล้ว ส่วนพวกท่านก็จะเข้าร่วมการสอบในเวลาเดียวกัน” เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ใสกังวาน ไพเราะอย่างมาก
สายลมบางเบาลูบไล้ผ่านใบหน้า พัดผ่านเส้นผมที่อยู่ข้างหู ในเวลาเดียวกันนำพากลิ่นหอมจางของสมุนไพรโชยมา ทำให้จูฉีรู้สึกว่า การอยู่ร่วมกับนาง ช่างรู้สึกสบายเหลือเกิน
“แต่ละคนล้วนมีชะตาของตน สิ่งที่เป็ของข้าผู้ใดก็มิอาจชิงไปได้ ส่วนสิ่งที่มิได้เป็ของข้า ก็ไม่อาจบังคับเอาไปได้” กระแสคลื่นในรูม่านตาสีดำประดุจหมึกของจูฉีหมุนวน มุมปากและหางคิ้วแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับกำเนิดมาก็ไร้ซึ่งการแก่งแย่งชิงดีเช่นนี้
นั่นสิ ใน่ชีวิตยี่สิบปีที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ต่อให้เขามีความปรารถนาแล้วจะอย่างไร? หากมิใช่เพราะได้พบหญิงสาวเบื้องหน้าผู้นี้ เขาก็มิอาจทำได้แม้แต่มายืนอยู่ตรงนี้ แล้วจะไปคุยเื่ความคาดหวังใด?
“มู่เอ๋อร์กลัวความหนาว ริมทะเลสาบนี้มีลมโชยมาเป็ระยะ อย่าให้ร่างกายต้องความเย็น ข้าจะส่งเ้ากลับไป” จูฉีทำสัญลักษณ์ผายมือเชื้อเชิญ เขาชอบให้หลิงมู่เอ๋อร์เดินอยู่เบื้องหน้าของเขา มองดูด้านหลังของนาง ก็ราวกับได้ปกป้องสาวน้อยคนนี้อยู่ตลอด
หากเขารู้ว่า หลิงจือเซวียนและจวิ้นจู่น้อยเพียงแค่เป็ความตื่นตระหนกที่ไร้ความจำเป็เท่านั้น เขาย่อมไม่มีทางให้หลิงมู่เอ๋อร์มาตากลมหนาวที่นี่ สมควรตายจริงๆ
หลังจากวุ่นวายถึงเพียงนี้ เชื่อว่างานเลี้ยงขององค์ชายเจ็ดก็คงเลิกราไปแล้ว อย่างที่คิด ในยามที่นางกลับไปถึงร้านอาหารนั้น ได้ยินว่าคนทั้งหมดได้จากไปแล้ว และองค์ชายเจ็ดยังได้ทิ้งค่าอาหารในจำนวนที่สูงมากไว้ด้วย
“มู่เอ๋อร์ องค์ชายเจ็ดผู้นี้ จะอย่างไรก็เป็องค์ชาย ให้เงินมาจำนวนมากเช่นนี้ พวกเราควรคืนกลับไปหรือไม่?” หลิงต้าจื้อแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็คนซื่อสัตย์ สิ่งที่ไม่ได้เป็ของตน เกินมาอีแปะหนึ่งก็ไม่้า อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็โอรสของฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์มั่งคั่ง เชิญคนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายก็ยังเป็เื่สมควร เก็บเกินไปตั้งมาก หากถูกคนจับข้อผิดพลาดไว้ ที่เดือดร้อนจะเป็ตระกูลหลิงทั้งตระกูล
“ในเมื่อเป็องค์ชายเจ็ดให้รางวัล พวกเรารับไว้ก็พอ ท่านพ่อ ท่านมิต้องกังวล คนผู้นั้นมิใช่คนเช่นนั้น”
แม้ว่านางจะไม่คุ้นเคยกับองค์ชายเจ็ด แต่คนผู้นั้นเหมือนจะไม่ชอบติดหนี้น้ำใจของผู้อื่น มาจัดงานเลี้ยงที่ร้านอาหาร และยังมอบเงินรางวัลให้จำนวนมาก ก็คงเป็เพียงการขอบคุณที่นางไปตรวจอาการให้ถึงที่ด้วยตนเองเท่านั้น เงินที่เข้ามาถึงมือแล้วจะมีเหตุผลให้ส่งออกไปได้อย่างไร?
“แต่ก่อนพวกเขาจากไป เหมือนจะเกิดเื่ใหญ่ใดขึ้นก็ไม่ปาน แต่ละคนจากไปอย่างรีบเร่ง สีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก หรือว่าเกิดเื่ใหญ่ขึ้น?”
อยู่ในเมืองหลวง แล้วยังเปิดร้านอาหาร เื่บางอย่าง ยังต้องเงี่ยหูฟังไว้อีกหู นี่เป็เื่พื้นฐานที่สุดในการมีชีวิตรอด
บัดนี้ เมื่อเห็นหลิงต้าจื้อคุ้นเคยกับกฎการอยู่รอดในสถานที่อันรุ่งเรืองและมั่งคั่งแห่งนี้แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยินดีเป็อย่างมาก “ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ก็ยังมีพวกเขา เหล่าตระกูลผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจแบกไว้ พวกเราเปิดร้านอาหารอย่างมีคุณธรรม ท่านพ่อ พวกเราไม่ต้องกลัวเ้าค่ะ”
“อ่า ถูกแล้ว พวกเราทำด้วยจิตใจที่ซื่อตรง ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว” หลิงต้าจื้อเมื่อถูกบุตรสาวปลอบใจเช่นนี้ก็พยักหน้าไม่หยุด
ในร้านอาหารไม่มีเื่ใดแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ตัดสินใจกลับไปหมักเหล้าองุ่นจำนวนหนึ่ง จึงกลับบ้านสกุลหลิงไป
หินเจ็ดดาวที่จัดเรียงหน้าเรือนน้อยได้เปลี่ยนรูปร่าง กระดิ่งที่อยู่หน้าประตูอยู่ผิดที่ ด้านในเหมือนจะมีเสียงลมหายใจอีกสายหนึ่ง สัญลักษณ์ลับในเรือนน้อยของนางมีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ บัดนี้ สิ่งเหล่านี้ถูกทำลาย ก็หมายความว่าในห้องมีผู้บุกรุกเข้ามา
ข้อมูลเป็ชุดถูกส่งเข้ามาที่สมองของนาง มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของหลิงมู่เอ๋อร์กำเป็หมัด ทั้งร่างเกร็งแน่นไปหมด
เปิดประตูห้องออกเบาๆ กลิ่นคาวเือันเข้มข้นพุ่งเข้าสู่จมูกทันที นางขมวดคิ้วอย่างควบคุมไม่ได้ หรือว่าซูเช่อบุกรุกห้องส่วนตัวของนางโดยพลการอีกแล้ว
“เป็ผู้ใดกัน ออกมา!”
นางปิดประตู ส่งเสียงดังอย่างโมโห ได้เตรียมการต่อสู้ระยะประชิดไว้แล้ว
“มู่เอ๋อร์ ข้า…” หลังฉากบังลม เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมา ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เงาร่างนั้นก็ล้มลงบนพื้นพร้อมเสียงดัง โลหิตไหลออกมาจากใต้ร่างของเขา
“โจวฉี่เยี่ยน?” ดวงตาทั้งคู่ของหลิงมู่เอ๋อร์เบิกกว้าง หลังจากยืนยันฐานะแล้วรีบพุ่งเข้าไป ก็เห็นโจวฉี่เยี่ยนที่อยู่ในชุดปฏิบัติการในยามราตรีทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยเื ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท แม้แต่ลมหายใจก็เบาบางเป็อย่างมาก
ไม่แปลกที่ยามพวกองค์ชายเจ็ดออกจากร้านอาหารมีสีหน้าร้อนรน คงเป็เพราะได้ข่าวว่ามีคนลอบสังหารไท่จื่อ
มิน่า วันนี้องค์ชายเจ็ดจัดงานเลี้ยงเชื้อเชิญคนทั้งหลาย โจวฉี่เยี่ยนจึงมิได้อยู่ข้างกาย ที่แท้ส่งเสียงบูรพาจู่โจมประจิม กระทำภารกิจลอบสังหาร
แต่เหตุใดเขาจึงได้รับาเ็ร้ายแรงถึงเพียงนี้? หรือว่า ไท่จื่อรู้แต่แรกแล้วว่าองค์ชายเจ็ดจะแก้แค้นเขา?
“เหตุใดจึงาเ็ถึงเพียงนี้? โจวฉี่เยี่ยน เ้าตื่นเร็ว” ด้านหนึ่งะโเรียกชื่อเขาเสียงดัง ไม่อยากให้เขาหมดสติไปจนหมดสิ้น อีกด้านตรวจสอบอาการาเ็ให้เขา
บริเวณอกถูกแทงกระบี่หนึ่ง ไม่โดนอวัยวะภายใน แต่โลหิตที่ไหลออกมาเป็สีราวกับหมึกดำ เห็นได้ชัดว่าถูกพิษ
ขาขวาก็ได้รับอีกกระบี่หนึ่ง เป็การโจมตีถึงชีวิตที่ทำให้เขาไม่อาจถอยหนีอย่างปลอดภัยได้ บนร่างยังมีแผลโดนบาดอีกหลายแห่ง สรุปแล้ว โจวฉี่เยี่ยนในยามนี้ มีที่ใดเหมือนคุณชายผู้สง่างามเช่นในยามปกติบ้าง ทั่วทั้งร่างมีแต่าแอเนจอนาถเต็มไปหมด
หลิงมู่เอ๋อร์ให้เขากินลูกกลอนแก้พิษก่อน จากนั้นก็นำกล่องยามาอย่างรีบเร่ง ไม่รอช้าก็รีบทำการดึงกระบี่ที่หน้าอกของเขาออก ในยามที่โลหิตพุ่งออกมานั้น ตามความเ็ปที่รุนแรง โจวฉี่เยี่ยนก็ฟื้นขึ้นมา “ส่ง ส่งข้าจากไป มีคนเห็นข้าเข้ามาที่นี่ ข้า… ไม่ อาจ ทำ ให้ เ้า เดือดร้อน ”
แต่ละคำพูด โจวฉี่เยี่ยนกล่าวอย่างยากลำบาก เขาเจ็บจนคิ้วขมวด หยาดเหงื่อเม็ดโตไหลลงมาจากหน้าผาก อ่อนแอจนราวกับจะสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ
เขารับคำสั่งไปลอบสังหารไท่จื่อ มิได้้าเอาชีวิตของเขา เพียงแต่้ามอบการสั่งสอนเล็กน้อยให้เขาเท่านั้น ผลคือ ไท่จื่อกลับมีการป้องกันไว้ก่อนแล้ว ในตำหนักของไท่จื่อมียอดฝีมือมากมาย การอำพรางอย่างดีของเขากลายเป็การส่งตนเองเข้าสู่ร่างแห สามารถรอดชีวิตหนีออกมาได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดไม่ถึง
เดิมไม่คิดจะมารบกวนหลิงมู่เอ๋อร์ แต่เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ จึงได้แต่มาลองเสี่ยงดวง หวังว่าจะไม่นำเภทภัยมาสู่มู่เอ๋อร์
“ต่อให้เ้าไม่ใช่เพื่อนของข้า ข้าก็ไม่อาจมองเ้าจากไปเช่นนี้ได้ ตอนนี้เ้าาเ็หนัก หากเคลื่อนไหวมาก จะทำให้เืออกมาก จนมีผลถึงชีวิต” หลิงมู่เอ๋อร์มองาแที่หน้าอกของเขาอย่างกังวล แม้จะให้เขากินลูกกลอนแก้พิษแล้ว แต่ก็ราวกับไม่ได้ผล แต่เืกลับไหลเร็วขึ้น
ไท่จื่อผู้นี้ ฝีมือร้ายกาจจริงๆ
“เ้าวางใจ ในเมื่อเ้าเข้ามาในเรือนของข้าแล้ว ข้าก็จะรักษาเ้าให้หาย” พึ่งพูดจบ ก็มีเสียงซางจือเคาะประตูอย่างเร่งร้อนดังมา “ไม่ดีแล้วเ้าค่ะคุณหนู อยู่ดีๆก็มีเหล่าทหารหลวงบุกเข้ามาบอกว่าจะหาคนเ้าค่ะ”
[1] แสงจันทร์สีขาว หมายถึงบุคคลหรือสิ่งของที่ไม่อาจบรรลุได้ ซึ่งอยู่ภายในใจเสมอ