ภายหลังเร่งรีบออกเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองถู่หลาน ในคืนแรกของการเดินทางไห่หยุนคิดว่า การจะเค้นเอาเื่ผู้ที่ยุยงตระกูลหลิว จากเชลยที่จับตัวเอาไว้ควรถามความเห็นของซูอันเสียก่อน เขาไม่อยากทำโดยพละการทั้งที่ไม่มีคำสั่งให้ทำอย่างที่สหายคิด
ไห่หยุนเดินเข้าไปหาซูอันที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ เพื่อพูดในสิ่งที่เขาคิดก่อนจะลงมือ “คุณหนูรองขอรับ บ่าวมีเื่อยากถามความเห็นจากท่าน เกี่ยวกับคนจากตระกูลหลิวที่อยู่บนรถม้าขอรับ"
ซูอันมองไห่หยุนที่ดูจะเกร็ง ๆ ยามเข้ามาพูดคุยกับนาง “หืม เ้า้าความเห็นเื่อันใดจากข้างั้นหรือ แล้วมันเกี่ยวกับคนพวกนั้นอย่างไร”
“คือข้ากับอู๋ซูได้ยินที่คุณหนูรองพูดว่า สองพี่น้องนั่นย่อมมีคนนำเื่ร้านผ้าของท่านไปพูด จนพวกเขาเกิดความโลภบังตาน่ะขอรับ”
“อ้อ เอาเป็ว่าข้าเห็นด้วยกับความคิดของพวกเ้า เช่นนั้นไปลากตัวท่านลุงคนดีลงจากรถม้า ข้าจะรอฟังคำสารภาพถึงมือที่สาม ว่ามันคือผู้ใดมาจากตระกูลไหนของเมืองถู่หลาน” ซูอันเห็นดีเห็นงามกับวิธีนี้ ในเมืองกลับไปเยือนตระกูลเดิมทั้งที นางควรกำจัดตระกูลที่ทำตัวยุแยงผู้อื่น และนางเชื่อว่าคนผู้นั้นคงเกิดความโลภเช่นเดียวกัน
“คุณหนูรองรออยู่ตรงนี้ประเดี๋ยวนะขอรับ บ่าวไปไม่นาน”
ตามคำพูดของไห่หยุนที่บอกว่าไปไม่นาน ร่างของหลิวฉางฮุ่ยกับหลิวชางหรงก็มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าซูอัน สายตาของทั้งสองบ่งบอกได้ว่า ยามนี้พวกเขารู้สึกโกรธแค้นจนอยากฆ่าซูอันให้ตาย
แต่มีหรือคนอย่างซูอันจะกลัวกับสายตาเช่นนั้น “ทำไม? หากพวกท่านไม่ถูกมัดไว้คงพุ่งเข้ามาสังหารข้าแล้วกระมัง ต้องขออภัยข้าคงให้พวกท่านสมหวังไม่ได้ เอาผ้าอุดปากออกไปเถิด”
“อึก เพ้ย! นางสารเลวนี่รีบปล่อยพวกข้าเสีย เ้าไม่กลัวจะถูก์ลงโทษหรือไง ที่ทำร้ายข้าสองคนที่เป็ลุงของเ้าน่ะ” พอปากเป็อิสระหลิวฉางฮุ่ยก็ด่าทอซูอันทันที
หลิวชางหรงที่ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ก็ไม่ต่างกับผู้เป็พี่ชาย เขามองซูอันจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้า “พี่ใหญ่ท่านจะพูดดีกับนางไปทำไม ครอบครัวของนางทำกับเราถึงเพียงนี้ ในภายหน้าย่อมถูก์ลงโทษอยู่แล้ว”
“อู๋ซู..”
น้ำเสียงที่ใช้เรียกอู๋ซูของซูอันนั้นเ็า และแฝงไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวของผู้ฟัง ทำให้เ้าของชื่อรู้ว่าควรทำสิ่งใด “รับทราบขอรับคุณหนูรอง”
ฉาด! ฉาด! โอ้ย ฉาด! ฉาด! อ๊ะ อูย
“เ้าสุนัขรับใช้มือหนักเป็บ้าฟันข้าเกือบหลุดแล้วเชียว โอยยย”
“หากไม่อยากเจ็บตัวเพิ่มข้าถามสิ่งใดก็ตอบสิ่งนั้น อย่าได้นอกเื่เป็อันขาดไม่เช่นนั้น หนึ่งในพวกท่านจะหายไปทันที พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าร้านหงส์ทอเมฆา เป็ร้านของครอบครัวข้า? คิดให้ดี ๆ ก่อนจะตอบออกมาด้วยล่ะ” ซูอันยังคงนั่งไขว่ห้างสบาย ๆ แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
หลิวฉางฮุ่ยยังเงียบไม่ยอมเปิดปาก แต่กับคนขี้ขลาดตาขาวอย่างหลิวชางหรง ย่อมนิ่งเงียบไม่เป็ด้วยไม่อยากเจ็บตัว และคำขู่เอาชีวิตจากซูอัน
“ขะ ขะ ข้าบอก ๆ เพราะนายฮ่วนเดินทางไปเมืองผู่เถียน และบังเอิญตรงกับวันที่เ้าเปิดประมูลผ้าไหมทองคำ หลังจากกลับมาถึงเมืองถู่หลานก็นำเื่นี้มาบอกท่านปู่ของเ้า”
ปึก! “หลิวชางหรงเ้าโง่! มันก็แค่ข่มขู่ให้กลัวเท่านั้น เ้าก็ยอมเปิดปากบอกเื่นายท่านฮ่วนเสียแล้ว เ้ากลัวนางแต่ไม่กลัวนายท่านฮ่วนรึ โธ่เว้ย! ข้ามีพี่น้องโง่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
หลิวชางหรงถูกด่าว่าโง่ก็ไม่ยอมอยู่เฉย “หลิวฉางฮุ่ย! มันจะมากไปแล้วนะเ้ากล้าดียังไงมาด่าว่าข้าโง่ คนอยู่ไกลยังพอหาวิธีเอาตัวรอดได้ เ้าไม่คิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางจะพูดจริงทำจริงบ้างหรือ ฮึ่ย”
ซูอันเห็นสองพี่น้องทะเลาะกันเองก็หัวเราะร่า “ฮ่า ๆ ๆ น่าขำชะมัดเลยพวกเ้าว่าไหม คนโง่แต่อวดฉลาดยังไม่รู้ว่าถูกหลอกใช้อยู่”
“หึ นี่เ้ากำลังคิดหาทางโยนความผิดให้ผู้อื่น เพื่อที่ตัวเ้าจะได้กลายเป็ผู้บริสุทธิ์สินะ อยากพูดสิ่งใดก็พูดไปเถิดแต่ข้าไม่เชื่อ” หลิวฉางฮุ่ยคิดเอาเองว่าซูอันใส่ร้ายนายท่านฮ่วน
“ก็ดีพวกเ้าสองคนเอาตัวไปขังในรถม้าเช่นเดิม อ้อ อย่าลืมอุดปากเน่า ๆ นั่นไว้ด้วยอย่าให้ส่งเสียงรบกวนข้าพักผ่อน” เมื่อได้ชื่อคนที่ยุยงตระกูลหลิวมาแล้ว ซูอันก็ไม่สนใจใยดีกับลุงทั้งสองอีก
“ขอรับ/ขอรับ”
หลังจากการคืนแรกของการเดินทาง พี่น้องตระกูลหลิวก็ไม่ได้ออกจากรถม้าอีก นอกเสียจากจะได้รับอนุญาตให้ลงมาทำธุระส่วนตัวเท่านั้น
สิบสี่วันต่อมา ในที่สุดรถม้าสองคันก็หยุดลงตรงหน้าจวน ที่ป้าย้าเขียนเอาไว้ว่าคือตระกูลหลิว ซึ่งขณะนี้เป็เวลาพลบค่ำพอดิบพอดี แต่ยังไม่มีคนจากด้านในลงจากรถม้า เนื่องจากซูอันสั่งให้อู๋ซูเคาะประตูตามมารยาท เพื่อรอพบพ่อบ้านเสียก่อนเพราะนางมีเื่บางอย่าง ้าให้พ่อบ้านไปทำให้นาง
พ่อบ้านหลิวถูกบ่าวที่เฝ้าประตูบอกว่า ด้านหน้าจวนมีคน้าพบแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็ใคร เนื่องจากไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำให้พ่อบ้านหลิวต้องออกมาถามด้วยความสงสัย “ไม่ทราบว่านายท่านของเ้า มีธุระอันใดกับข้าที่เป็แค่บ่าวรับใช้หรือน้องชาย”
“หากเ้ากับบ่าวไพร่ในเรือนที่เหลืออยู่ยังไม่อยากตาย จงรับเงินนี่ไปแจกจ่ายให้ครบทุกคน แล้วออกไปจากตระกูลหลิวให้เร็วที่สุด”
อู๋ซูยื่นถุงใส่เงินใบหนึ่งไปตรงหน้าพ่อบ้านหลิว ที่คาดว่าด้านในมีตำลึงเงินจำนวนหนึ่ง พร้อมคำเตือนที่ชวนขนหัวลุกอย่างช่วยไม่ได้
“ทะ ทะ ท่าน หมะ หมะ หมายความว่าอย่างไร”
อู๋ซูยังคงใช้น้ำเสียงข่มขู่เช่นเดิม “อย่าอยากรู้ให้มากนัก ตอนนี้เ้ามีทางเลือกแค่สองทาง จะออกไปจากที่นี่หรือตาย”
พ่อบ้านหลิวย่อมเลือกทางแรก เพราะตนเองยังมีคนในครอบครัวอีกหลายคน หมับ! “ได้ ๆ ๆ ข้าจะนำไปแจกจ่ายให้พวกบ่าวไพร่เอง และจะสั่งให้ทุกคนรีบเก็บสัมภาระไปจากจวนนี้โดยเร็วขอรับ”
“ข้าให้เวลาสองเค่อเมื่อบ่าวไพร่ออกไปหมดแล้ว เ้าจงมารายงานข้าทันทีหลังจากข้าเข้าไปด้านในจวน จงปิดล็อคประตูจากด้านนอกให้แ่า เข้าใจหรือไม่” เนื่องจากซูอัน้าให้ผู้คนเข้าใจ ว่านี่คือการสังหารจากฝีมือของโจร
“ขอรับ ๆ ๆ”
พ่อบ้านหลิวหายกลับเข้าไปไม่นาน ก็เริ่มมีบ่าวไพร่ทยอยเดินออกมาอย่างต่อเนื่อง จนคนสุดท้ายก็คืออดีตพ่อบ้านหลิว ที่ยืนรอให้กลุ่มของซูอันพาบุตรชายของอดีตเ้านานเข้าจวนไป จึงทำตามคำสั่งคือปิดประตูใส่กุญแจจากด้านนอกทันที
ทางด้านคนสนิทของหลิวฉางฮุ่ยและหลิวชางหรง พอประตูจวนปิดสนิทไห่หยุนได้ดึงดาบของตน ตวัดไปที่ลำคอของชุนเตี๋ยกับซานเหมี่ยว จนร่างของทั้งสองล้มลงสิ้นใจในที่สุด
เ้านายของร่างไร้ิญญาทั้งสอง ยืนนิ่งอยู่กับที่ความหวาดกลัวที่มีต่อซูอันเริ่มมากขึ้น มากถึงขึ้นปล่อยของเสียราดกางเกง อยากจะพูดขอร้องอ้อนวอนก็ไม่สามารถทำได้ เพราะซูอันเพียงแค่เหลือบตามองอย่างเฉยชา กับการกระทำของไห่หยุนที่ลงมือห่างจากนางแค่ไม่กี่ก้าว
‘นางไม่ใช่คนแล้ว นางคือปีศาจแน่ ๆ’
‘นางหลานคนนี้มันเปลี่ยนเป็คนจิตใจโเี้ั้แ่เมื่อใดกัน’
แต่ขณะที่กลุ่มของซูอันยังไม่ทันไปถึงโถงรับรอง ความวุ่นวายของคนในตระกูลหลินก็ปรากฏให้เห็นทันที เนื่องจากบ่าวไพร่และสาวใช้เลิกสนใจเ้านาย ทุกคนวิ่งไปเก็บสัมภาระก่อนจะรับเงินจากพ่อบ้านหลิว แล้วออกจากจวนหลังนี้โดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับจวนของข้ากันแน่ เหตุใดบ่าวไพร่ต่างวิ่งหนีประหนึ่งมีโจรบุกเข้ามาปล้นเสียอย่างนั้น” หลิวเฟยกึ่งวิ่งกึ่งเดินบ่นกับหลิวเหมยเซียงที่เดินอยู่ข้าง ๆ
“อร้ายยย!! พวกบ่าวชั้นต่ำหายหัวไปที่ใดกันหมด ข้ายังอยากได้น้ำร้อนมาเพิ่มอีกนะ กลับมารับใช้ข้าเดี๋ยวนี้” หลิวเซี่ยหลินที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย ร้องเรียกหาสาวใช้ให้มาช่วยดูแลตนเอง
หลิวเฟิงเย่กับหลิวชางเหว่ยก็ไม่ต่างกันนัก ทั้งสองยังไม่สร่างเมาอยากนอนก็นอนไม่ได้ เพราะเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนในครอบครัว “โธ่เว้ยย!! จะเสียงดังอันใดนักหนาข้าหนวกหู คนจะหลับจะนอนส่งเสียงร้องหาแต่บ่าวไพร่กันอยู่ได้”
