หลินกู๋หยู่เกือบจะเซไปทั้งตัวเนื่องจากแรงดึงของฟางซื่อ ถ้าไม่มีสายตาและมือที่ว่องไวของฉือหางคอยพยุงไว้ นางอาจล้มลงไปแล้ว
“เ้าะโเรียกหาอะไรของเ้า?” บุรุษร่างกำยำที่อยู่ข้างๆ จ้องมองฟางซื่อด้วยความไม่พอใจ เขาพูดด้วยความโกรธ “เ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเรากำลังรอกันเยอะถึงเพียงนี้?”
เดิมทีฟางซื่อก็เป็คนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว ถ้าไม่ใช่เพราะนางเพิ่งจะโกงเงินของหลี่ซื่อไปหยกๆ เมื่อคิดถึงสองชีวิตนางก็รู้สึกตระหนก นางจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร "ข้าไม่สนหรอกว่าพวกเ้าจะรอหรือไม่ ตอนนี้เ้าสี่ที่บ้านของข้าอาการแย่แล้ว!"
“ไม่เพียงแต่สมาชิกในครอบครัวของเ้าเท่านั้นที่อาการแย่แล้ว สมาชิกในครอบครัวของพวกเราก็ป่วยมาหลายวันแล้วเช่นกัน อาการแย่ถึงขั้นนอนอยู่บนเตียง ขาครึ่งหนึ่งเกือบเหยียดเข้าไปในโลงศพแล้ว ทำไมหรือ สมาชิกในครอบครัวของเ้าเท่านั้นหรือที่เป็มนุษย์ สมาชิกในครอบครัวของพวกเราไม่ใช่มนุษย์งั้นหรือ?” หญิงชราในชุดสีน้ำเงินข้างๆ พูดอย่างเกรี้ยวโกรธ ขณะชี้นิ้วมือไปที่ดั้งจมูกของฟางซื่อ
ฉือเย่อาการแย่แล้วหรือ?
หลินกู๋หยู่จำได้ว่า เมื่อวานเขายังดีๆ อยู่เลย แต่ทำไมวันนี้ถึงอาการแย่แล้วล่ะ?
"เ้าดุอะไรของเ้า?" ฟางซื่อปัดฝ่ามือของสตรีที่ชี้นิ้วไปที่จมูกของนางออกไป ชี้นิ้วมือไปที่ใบหน้าของสตรีนางนั้น นางพูดอย่างใจจืดใจดำว่า "ทำไมหรือ น้องสะใภ้สามเป็คนในครอบครัวของพวกเรา หรือจะให้ช่วยชีวิตพวกเ้าที่เป็คนนอกก่อนงั้นหรือ?”
เสียงอื้ออึงโดยรอบเงียบลงภายในชั่วพริบตาเดียว
มันเงียบเชียบเสียจนน่าขนลุก
ฟางซื่อมองอย่างมีชัย และพูดอย่างประชดประชันว่า "หรือที่ข้าพูดนั้นผิดไป?"
ไม่มีผู้ใดเอ่ยความ
ฟางซื่อคว้ามือของหลินกู๋หยู่ไว้ขณะหายใจหอบ "เ้ารีบกลับบ้านกับข้า!"
หลินกู๋หยู่ยื่นมือออกไปเพื่อผลักมือของฟางซื่อ มองไปที่ฟางซื่อโดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
“ทำไมหรือ?” ฟางซื่อยืนอย่างกระอักกระอ่วน ณ จุดนั้น นางถูกผู้คนจ้องมองด้วยสายตาเฉยเมยและเ็า นางรู้สึกไม่ดี “เ้าจะทำอะไรหรือ?”
"พวกเราตกลงกันแล้ว จะเดินตรวจรักษาตามระยะทางความใกล้ไกลของบ้าน เมื่อถึงบ้านสกุลฉือ ข้าจะไปที่นั่น" หลินกู๋หยู่มองไปที่ฟางซื่อโดยปราศจากอารมณ์ หันหลังกลับและเดินไปข้างหน้า
"นี่ นี่เ้าหมายความว่าอย่างไร?" ฟางซื่อเดินไปหาหลินกู๋หยู่อย่างรวดเร็ว นางจับแขนของหลินกู๋หยู่ดึงนางไปข้างหลังอย่างสุดแรง "เ้าเห็นคนอื่นดีกว่าญาติพี่น้องใช่หรือไม่?"
หลินกู๋หยู่ยังคงชัดเจนเกี่ยวกับสภาพร่างกายของฉือเย่
แม้ว่าตอนนี้สภาพร่างกายของเขาจะดูแย่มาก แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่อีกสักระยะ เขาจะไม่จากไป
เมื่อวานนี้นางให้ฉือเย่ดื่มชาหญ้าเกิดใหม่ สุขภาพของเขาน่าจะดีขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เขาจะมีปัญหาได้อย่างไร?
แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของฟางซื่อ ซึ่งดูเหมือนว่านางไม่ได้พูดโกหก ยังมีอีกสองสามครอบครัวอยู่ข้างหน้าทั้งทางซ้ายและขวา เพียงเวลาหนึ่งเค่อ[1]ก็จะถึงบ้านสกุลฉือแล้ว
"พี่สะใภ้รอง" หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ว้าวุ่นใจของฟางซื่อ ถอนหายใจออกและพูดอย่างเนิบช้า "ข้าแค่พูดความจริง หลังจากตรวจและรักษาคนป่วยในบ้านสองสามหลังนี้ก็จะถึงบ้านสกุลฉือแล้ว ทำไมพี่ถึงได้รีบร้อนถึงเพียงนี้?”
เมื่อฟางซื่อ้าจะพูดอะไรบางอย่าง หลินกู๋หยู่ก็พูดอย่างไม่พอใจว่า "พี่มาพูดกับข้าเวลานี้ยิ่งทำให้เสียเวลา เวลานี้ข้าก็จะได้ตรวจรักษาคนในครอบครัวบ้านนี้เสร็จแล้ว"
สตรีสองคนในฝูงชนก้าวไปข้างหน้า แต่ละคนจับแขนของฟางซื่อ จากนั้นลากนางไปข้างหลัง
หลังจากตรวจรักษาอาการป่วยของทั้งสามครอบครัว หนึ่งในนั้นเป็เพียงไข้หวัดธรรมดาและไม่มีอาการอื่นใด หลินกู๋หยู่แค่บอกให้ไปที่บ้านของนางเพื่อรับยาในภายหลัง
เมื่อนางไปถึงประตูบ้านสกุลฉือ ฟางซื่อก็สลัดผู้หญิงสองคนที่จับแขนของนางออก
ผู้หญิงสองคนนี้ทำงานในไร่นาตลอดทั้งปี พวกนางแข็งแรงมาก เป็เพราะมาถึงบ้านสกุลฉือ พวกนางจึงปล่อยมือของฟางซื่อ
ทันทีที่หลินกู๋หยู่เดินเข้าประตูบ้านของฉือเย่ นางเฝ้ามองจากระยะไกล เห็นโจวซื่อนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างใจจดใจจ่อ ช่วยฉือเย่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า จู่ๆ โจวซื่อก็หันศีรษะไป เห็นหลินกู๋หยู่เดินเข้ามาจากด้านนอก
“เ้าอ้ำอึ้งอะไรหรือ ยังไม่รีบมาดูอีกว่าเ้าสี่เป็อะไร?” แม้ว่าโจวซื่อจะไม่้าพูดคุยกับหลินกู๋หยู่ แต่อย่างไรก็ตามนางก็จำเป็ที่จะต้องพูด
หลินกู๋หยู่เดินไปที่เตียงและเห็นใบหน้าของฉือเย่ซีดเผือด นางขมวดคิ้วแน่น ราวกับว่าเขากำลังทนกับความเ็ปอย่างมาก
เป็เช่นนี้ไปได้อย่างไรหรือ?
ฉือหางยืนอยู่ข้างๆ หลินกู๋หยู่และเอ่ยถามอย่างกังวลว่า "กู๋หยู่ น้องชายสี่เป็อย่างไรบ้าง?"
ดูเหมือนร่างกายของเขาจะร้อนมาก
หลินกู๋หยู่หยิบเข็มเงินชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของนาง และพูดกับฉือหางที่อยู่ข้างๆ ว่า "ไปจุดเทียน!"
"เ้าจุดเทียนอะไรหรือ คนในครอบครัวเ้าสอง เ้ายังไม่รีบไปเอาตะเกียงน้ำมันมาอีก!" โจวซื่อพูดกับฟางซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ นางด้วยใบหน้าบูดบึ้ง นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
คนในครอบครัวเ้าสองนี่ก็จริงเลย บอกให้นางไปตามคนมาดูอาการของฉือเย่ ออกไปตั้งนานสองนานกว่าจะพาลูกสะใภ้สามกลับมาบ้านได้ บางทีนางอาจจะไปเล่นเตร็ดเตร่ที่อื่นระหว่างทางก็ได้
ชอบทำให้คนไม่สบายใจเป็ประจำจริงๆ
แต่คราวนี้โจวซื่อไม่ได้กล่าวหาฟางซื่อผิดไปจริงๆ
ในตอนแรก ฟางซื่อไปหาหลินกู๋หยู่แล้วจริงๆ แต่เมื่อนางเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ นางก็คิดได้ว่า ในวันปกติหลินกู๋หยู่มักจะกล้าเผชิญหน้ากับแม่สามีของนาง นาง้าดูละครปาหี่ดีๆ สักฉาก ดังนั้น นางจึงไปช้ากว่าเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม หลังจากพบหลินกู๋หยู่ นางไม่คาดคิดว่าหลินกู๋หยู่จะไม่กลับมาในทันที แต่กลับไปรักษาคนอื่นก่อน ในตอนแรกฟางซื่อกังวลเพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ว่าต่อมานางก็กังวลมากจริงๆ
ถ้าเ้าสี่เสียชีวิตจริงๆ ชีวิตดีๆ ในอนาคตของพวกนางก็จะมลายหายสิ้น
ฟางซื่อรีบจุดตะเกียงลานและนำมันเข้ามา
เดิมทีในห้องก็ไม่ได้มืด แต่ทำไมถึง้าจุดตะเกียงด้วย ฟางซื่อยื่นตะเกียงน้ำมันให้หลินกู๋หยู่ หลุบสายตาลง "ตอนกลางวันแสกๆ จะจุดตะเกียงทำอะไรกัน!"
หลินกู๋หยู่รีบหยิบเข็มเงินออกมาอย่างว่องไว เริ่มฝังเข็มบนร่างของเ้าสี่อย่างชำนาญ
หยิบเข็ม ฆ่าเชื้อ ฝังเข็ม ทุกการเคลื่อนไหว นิ่มนวล ไม่ลนลานแม้แต่น้อย
สายตาของโจวซื่อจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของหลินกู๋หยู่ นางยิ่งประหม่ามากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นไม่นาน หลินกู๋หยู่ก็หยุดสิ่งที่นางกำลังทำอยู่
"วันนี้ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่" หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดอย่างเฉยเมย "ตอนนี้เขาอยู่ในขีดอันตรายมาก จะต้องทำให้อุณหภูมิในร่างกายของเขาลดลง อย่าเช็ดตัวเขาด้วยน้ำ ให้ใช้สุราเช็ด"
ทันทีที่หลินกู๋หยู่ลุกขึ้นยืน นางรู้สึกหน้ามืดและวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย นางจึงยกมือขึ้นแตะที่ขมับของตนเองสักครู่หนึ่ง
"เป็อะไรหรือ?" ฉือหางขมวดคิ้วเล็กน้อย และรีบพยุงหลินกู๋หยู่
“อาจเป็เพราะข้าลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป” หลินกู๋หยู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดว่า “ข้าไม่เป็ไร ข้าจะกลับมาที่นี่ในตอนค่ำ”
ตอนนี้นางจะต้องไปตรวจรักษาคนป่วยในหมู่บ้าน นางไม่รู้ว่าคนเ่าั้เป็อย่างไรกันบ้างแล้ว
เมื่อตรวจรักษาคนป่วยในหมู่บ้านเสร็จแล้วก็เป็เวลาเย็นแล้ว เด็กสาวเหนื่อยมากจนไม่อยากเดินแม้แต่ก้าวเดียว
เดิมทีร่างกายของนางรู้สึกไม่ค่อยสบายนักอยู่แล้ว ั้แ่เช้าจวบจนถึงเวลานี้ นางยุ่งมากกระทั่งยังไม่ได้จิบน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว ทั้งยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วยซ้ำ
ทันทีที่หลินกู๋หยู่และฉือหางกลับถึงบ้าน พวกเขาก็ล้างมือและเตรียมทำอาหาร
“เ้าพักผ่อนเถอะ ข้าทำเอง” ฉือหางเห็นว่าบนใบหน้าของหลินกู๋หยู่ไม่มีร่องรอยของสีเื เขาก็เป็กังวลมาก
หลินกู๋หยู่มองฉือหางใส่ข้าวลงในหม้ออย่างไม่วางใจ นางกังวลอยู่เสมอว่าฉือหางจะลืมต้มน้ำข้าวให้สุกก่อนที่จะยกลงมา เขาเป็เช่นนี้ จะดูแลโต้ซาได้อย่างไร?
หลินกู๋หยู่รู้สึกอายเกินกว่าจะบอกฉือหางโดยตรง
ทันทีที่หม้อถูกเปิด ฉือหางก็หยิบชามและกำลังจะตักน้ำข้าวต้มใส่ลงในชาม
หากไม่ใช่เพราะหลินกู๋หยู่เฝ้ามองอยู่ด้านข้าง วันนี้พวกเขาทั้งสองคนย่อมต้องทานน้ำข้าวต้มไม่สุกอีกหน
ฉือหางหยิบจานถั่วแขกที่หั่นเตรียมไว้ในตอนแรกวางไว้ข้างๆ
ฉือหางถือมีดทำครัวในมือข้างหนึ่งและกดผักด้วยอีกมืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นเริ่มหั่น
“ให้ข้าจัดการส่วนที่เหลือเถอะ” หลินกู๋หยู่กังวลมากว่าฉือหางจะผัดผักไม่สุก
“ข้าไม่เหนื่อย” ฉือหางพูดอย่างใส่ใจ เมื่อเห็นหลินกู๋หยู่อยู่ข้างๆ เขาก็รีบพูดว่า “เ้าไปรอก่อนเถอะ ข้าเกรงว่าจะทำให้ตัวเ้าเปื้อน!”
หลินกู๋หยู่ยิ้มอย่างจนปัญญา นางเอื้อมมือไปคว้าตะหลิวผัดจากมือของฉือหาง "ข้าทำอาหาร เ้าล้างจาน!"
การผัดไม่ใช่เื่ยาก สิ่งที่ยุ่งยากคือการเตรียมส่วนผสมสำหรับทำอาหาร ในระหว่างที่หลินกู๋หยู่กำลังผัดผัก ฉือหางส่งมอบส่วนผสมของอาหารทั้งหมดที่จะต้องใช้อย่างกระตือรือร้น
ในขณะที่ทำอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสองคนนำชามออกมาวางบนโต๊ะ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วดังจากด้านนอก
หลินกู๋หยู่เดาว่าเป็คนจากสกุลฉือที่มาที่นี่ ถ้าเป็ผู้มาเยือนคนอื่น พวกเขาจะต้องะโเรียกก่อนอย่างแน่นอน
หลินกู๋หยู่ตักน้ำข้าวต้มขึ้นมาและได้กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ทันใดนั้น นางก็รู้สึกอยากอาหาร
หลังจากเป่าลมเบาๆ ลมร้อนก็พุ่งเข้าหาใบหน้าของนาง หลินกู๋หยู่จิบหนึ่งคำ รู้สึกว่าร่างกายของนางสบายขึ้นมาก
ความรู้สึกอุ่นท้องเช่นนี้สบายสุดๆ!
เมื่อโจวซื่อเดินเข้ามา นางเห็นฉือหางกำลังเดินมาเพื่อต้อนรับนาง ในขณะที่หลินกู๋หยู่นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ
โจวซื่อไม่แม้แต่จะมองฉือหาง นางเดินเข้าไปฟาดชามในมือของหลินกู๋หยู่
น้ำข้าวต้มอุ่นๆ ก็ถูกสาดลงบนโต๊ะเข้าอย่างจัง
"เ้ายังมีหน้ากินข้าว!" ทันทีที่โจวซื่อนึกขึ้นได้ว่าในขณะที่ฉือเย่กำลังจะตาย หลินกู๋หยู่ยังช่วยคนอื่นตรวจรักษาก่อน ในสายตาของเด็กสาวคนนี้ยังมีสกุลฉืออยู่หรือไม่?
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด หรี่ตาทั้งสองเล็กน้อย สีหน้าของนางน่าเกลียดมาก
วันนี้นางยุ่งอยู่กับการตรวจรักษาผู้ป่วยทั้งวัน ไม่แม้แต่จะได้กินหรือดื่มเลย ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่เวลานี้นางจะมีเวลากินข้าว แต่กลับถูกโจวซื่อขัดจังหวะเสียอย่างนั้น
ฉือหางรีบเดินไปหาโจวซื่อ "ท่านแม่ จะทานอาหารด้วยกันหรือไม่?"
ใบหน้าของโจวซื่อมืดมน และนางพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า "วันนี้พี่สะใภ้รองของเ้าไปหาเ้า ทำไมเ้าไม่รีบกลับบ้านมาดูอาการก่อน"
"ท่านแม่..."
ฉือหางพูดได้เพียงคำเดียวก็ถูกโจวซื่อผลักออกไปด้านข้าง
โจวซื่อชี้นิ้วมือไปที่ใบหน้าของหลินกู๋หยู่ และดูถูกหลินกู๋หยู่ด้วยใบหน้าที่โหดร้าย "เ้าไม่้าให้สกุลฉือของเราพบเจอสิ่งดีๆ ใช่หรือไม่!"
น่ารำคาญจริงๆ
หลินกู๋หยู่สงสัยจริงๆ ว่าฉือหางทนกับโจวซื่อที่ทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไร
“ท่านแม่สามี” หลินกู๋หยู่พูด ั์ตาปรากฏความรำคาญวับหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างสงบ “ในเวลานั้น ยังมีอีกสามบ้านก็จะถึงบ้านของเราแล้ว”
การแสดงออกทางสีหน้าของโจวซื่อชะงักงันชั่วคราว นางเห็นหลินกู๋หยู่ตรวจรักษาอาการป่วยมาก่อน นางตรวจแค่พริบตาเดียวก็เสร็จแล้ว
"ถ้าข้ากลับมาที่บ้านสกุลฉือก่อน แล้วอนาคตน้องชายสี่ได้เป็ข้าราชการ หากเื่นี้เกิดถูกเล่าลือออกไป ผู้คนก็จะลือกันว่าน้องชายสี่เห็นแก่ตัวและไม่คำนึงถึงชีวิตของคนอื่น" หลินกู๋หยู่หยุดจังหวะการพูดชั่วคราว ก่อนที่จะพูดต่อว่า "ถ้าเป็เช่นนั้น กลัวว่าน้องชายสี่จะเป็ข้าราชการไม่ได้"
"การที่ข้าทำเช่นนั้น แม้ว่าข้าจะตรวจอาการน้องสี่ช้าไปสักเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ช่วยรักษาชื่อเสียงที่ดีของเขาไว้ได้"
ฉือหางยืนอยู่ข้างๆ สายตาอ่อนโยนของเขาค่อยๆ ตกลงไปที่ใบหน้าของหลินกู๋หยู่
แสงเทียนริบหรี่ส่องสะท้อนใบหน้าของหลินกู๋หยู่ ทำให้ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น เปล่งประกายแสงที่อ่อนโยนไปทั่วร่าง ซึ่งทำให้เขาอยากจะเข้าใกล้มากขึ้น
“พูดพล่ามอะไรกัน!” โจวซื่อหน้าแดงก่ำจนถึงลำคอหนาด้วยความโกรธ ชื่อเสียงอะไรกัน ถ้าคนจากไปแล้ว ยัง้าชื่อเสียงอะไรอีก!
……………………………………………….
[1] เวลาหนึ่งเค่อจะเทียบเท่ากับเวลาประมาณสิบห้านาทีของเวลาปัจจุบัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้