บทที่ 2 ความลับในอกเสื้อ...เงาอดีตที่คุกคาม
แสงแรกของอรุณรุ่งยังคงสลัวเลือน แต่ในเรือนหลังคามุงจากแสนทรุดโทรมของตระกูลหลี่ เฉินอิงกลับตื่นขึ้นก่อนใคร นางขยับตัวลุกขึ้นจากแคร่ไม้ไผ่เก่าๆ อย่างเงียบเชียบ สายตาเหลือบมองไปยังร่างของบุรุษแปลกหน้า 'หลงอี้' ที่นอนนิ่งอยู่บนฟางหญ้าที่ปูไว้กลางห้องเมื่อคืนนี้
ความกังวลกัดกินในใจเฉินอิง เมื่อคืนนางได้แต่ทำแผลอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางความมืดและอุปกรณ์ที่จำกัด ยามนี้เมื่อแสงสลัวรอดผ่านช่องโหว่บนผนัง เฉินอิงเพิ่งได้สำรวจสภาพของบุรุษผู้นี้อย่างละเอียด ร่างกายกำยำ แขนขาแข็งแรง แม้จะซูบผอมไปบ้างจากการาเ็และอดอาหาร ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย หากแต่ซีดเซียวไร้สีเื ริมฝีปากแห้งผาก
เฉินอิงก้าวเข้าไปใกล้ ก้มลงตรวจดูาแที่ต้นแขนของเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง ผ้าที่พันไว้เมื่อคืนมีรอยเืซึมออกมาไม่มากนัก าแยังคงดูน่ากลัว แต่ก็ไม่มีอาการบวมแดงหรือหนองไหลเยิ้มเหมือนที่คาดไว้ อาจเป็เพราะสมุนไพรที่นางใช้เมื่อคืนมีสรรพคุณที่ดีเกินคาด หรืออาจเป็เพราะร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าคนทั่วไป
'อย่างน้อยก็พ้นขีดอันตรายแล้ว' เฉินอิงถอนหายใจโล่งอกเบาๆ
ในขณะที่เฉินอิงกำลังตรวจแผลอยู่นั้น เธอก็สังเกตเห็นบางสิ่งผิดปกติที่คอเสื้อของเขา มีร่องรอยการเย็บซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ด้านใน เธอใช้มือคลำเบาๆ ก็ััได้ถึงวัตถุแข็งบางอย่างซ่อนอยู่ เฉินอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจปลดกระดุมเสื้อของเขาออกอย่างระมัดระวัง
เบื้องล่างเนื้อผ้าหยาบๆ ที่ปกคลุมอยู่ ปรากฏถุงผ้าเล็กๆ ที่เย็บติดกับเสื้อด้านในอย่างประณีต เฉินอิงค่อยๆ แกะตะเข็บออกอย่างเบามือ ภายในถุงนั้นบรรจุด้วยป้ายหยกสีเขียวมรกตเจียระไนเป็รูปัคู่กำลังแหงนหน้าคำรามอย่างองอาจงดงาม และอีกสิ่งหนึ่งคือซองหนังเก่าคร่ำคร่า ด้านในมีตราประทับรูปหงส์คู่กำลังร่ายรำอย่างสง่างาม
ป้ายหยกและตราประทับนี้ดูไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ลวดลายบนป้ายหยกบ่งบอกถึงความเก่าแก่และมีคุณค่ามหาศาล ขณะที่ตราประทับรูปหงส์คู่นั้น ดูราวกับเป็สัญลักษณ์ของชนชั้นสูงหรือตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจมาก เฉินอิงเคยได้ยินเื่ราวของป้ายหยกศักดิ์สิทธิ์และตราประทับประจำตระกูลจากตำนานจีนโบราณในโลกเดิมของเธอ แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นของจริงเช่นนี้
"นี่มันอะไรกัน..." เฉินอิงพึมพำกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย บุรุษผู้นี้ไม่ใช่แค่คนธรรมดาที่าเ็ในป่า แต่ดูเหมือนจะเป็คนสำคัญ หรืออาจจะกำลังหนีอะไรบางอย่างมา
ขณะที่เฉินอิงกำลังจ้องมองป้ายหยกและตราประทับอย่างพิจารณา พลันหลงอี้ก็ขยับตัวเล็กน้อย เปลือกตาของเขากระพริบช้าๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่เคยเหม่อลอยยามสลบ ยามนี้กลับฉายแววคมกริบและระแวดระวังถึงขีดสุด
เขาจ้องมองเฉินอิงที่นั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างไม่วางตา แล้วสายตาของเขาก็เลื่อนลงมาหยุดที่ป้ายหยกในมือของนาง แววตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีความตื่นตระหนกแวบขึ้นมา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็ความเ็าและเกรี้ยวกราด
"เ้า... ทำอะไรกับของของข้า!" หลงอี้เอ่ยเสียงแหบพร่า แรงโทสะทำให้เขาพยายามยันกายลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรง ร่างกายเซถลาล้มลงไปบนฟางอีกครั้ง
เฉินอิงเห็นท่าทางของเขา ก็รีบวางป้ายหยกและตราประทับลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว "ท่านฟื้นแล้ว! ข้าไม่ได้ทำอะไร แค่ตรวจดูาแให้ท่านเท่านั้น ของของท่านหลุดออกมา ข้าเห็นว่ามันดูสำคัญจึงเก็บไว้ให้" นางอธิบายเสียงนุ่มนวล พยายามปลอบโยน
หลงอี้ยังคงจ้องมองเฉินอิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ แววตาของเขามองั้แ่ศีรษะจรดเท้าของนาง สภาพชุดที่ปะชุน ข้าวของเครื่องใช้ที่ทรุดโทรมในบ้าน และสีหน้าของนางที่แม้จะเหนื่อยล้าแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว
"เ้า... เปิดดูมันแล้วใช่หรือไม่" เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม ดวงตายังคงจับจ้องที่ป้ายหยก
เฉินอิงรู้สึกถึงแรงกดดันจากสายตาของเขา ราวกับว่าหากนางตอบผิดแม้เพียงเล็กน้อย ชีวิตของนางอาจตกอยู่ในอันตรายได้ 'เขาเป็ใครกันแน่ ทำไมถึงได้มีท่าทีระแวงถึงขนาดนี้' เฉินอิงคิดในใจ แต่ด้วยจิติญญาของแพทย์ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ นางก็เลือกที่จะตอบความจริง
"ข้าเห็นแล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร" เฉินอิงตอบอย่างตรงไปตรงมา "แต่ดูจากลักษณะแล้ว... มันไม่น่าจะเป็ของคนธรรมดา"
หลงอี้พยายามขยับตัวอีกครั้ง แต่ความเ็ปจากาแทำให้เขาต้องนิ่วหน้า เฉินอิงสังเกตเห็นถึงความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความแข็งกร้าวของเขา แม้จะเต็มไปด้วยความระแวง แต่เฉินอิงก็ััได้ถึงความสิ้นหวังบางอย่างในดวงตาคู่นั้น
"เ้า... เ้าเป็ใครกันแน่" หลงอี้เปลี่ยนคำถาม
"ข้าชื่อเหยาเหนียงเป็แม่เลี้ยงของเด็กสองคนในบ้านนี้" เฉินอิงตอบ "ส่วนท่าน... ควรจะพักผ่อนให้มาก ยามนี้าแของท่านยังไม่หายดี"
หลงอี้เงียบไปชั่วขณะ ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบๆ ห้อง และหยุดที่เด็กน้อยหลี่เฟิงหลงและหลี่อิงฮวาที่เพิ่งตื่นนอน และกำลังมองมาที่เขาด้วยความสงสัยระคนหวาดกลัว เขาเห็นถึงความผอมโซของเด็กๆ และสภาพบ้านที่ยากจนข้นแค้น
"ทำไม... เ้าถึงช่วยข้า" หลงอี้ถามเสียงเบาลง แต่แววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
เฉินอิงถอนหายใจเบาๆ "ในฐานะมนุษย์... เมื่อเห็นผู้คนาเ็ จะให้ข้ายืนดูดายได้อย่างไรเล่า อีกอย่าง... ท่านก็าเ็สาหัส หากปล่อยทิ้งไว้ก็คงไม่รอด"
หลงอี้ฟังคำตอบของเฉินอิง แววตาที่เคยแข็งกระด้างค่อยๆ อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก็ยอมให้เฉินอิงช่วยจัดท่าทางให้เขาได้นอนสบายขึ้น
เฉินอิงหันไปจัดการข้าวเช้าที่เรียบง่าย น้ำแกงเผือกกับผักป่าที่เหลือจากเมื่อวาน และต้มน้ำร้อนมาให้หลงอี้ดื่มเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
ขณะที่เฉินอิงกำลังปรนนิบัติหลงอี้อยู่นั้น ท่านย่าหลี่ผู้สูงวัย มารดาของหลี่ิ ก็เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ากังวล เมื่อเห็นบุรุษแปลกหน้าในบ้าน ก็อดไม่ได้ที่จะใ
"เหนียงเอ๋อร์! นี่มันเื่อะไรกัน! ชายผู้นี้เป็ใคร! เหตุใดจึงมาอยู่ในบ้านของเราได้เล่า!" ท่านย่าหลี่เอ่ยถามเสียงดัง แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะบ้านสกุลหลี่ไม่เคยมีแขกแปลกหน้ามาก่อน ยิ่งเป็บุรุษที่มีรอยเืเช่นนี้ ยิ่งน่าสงสัย
"ท่านย่าโปรดอย่าใไปเ้าค่ะ ชายผู้นี้าเ็หนัก ข้าไปเจอเขาที่ป่าก็เลยพาเขากลับมารักษา" เฉินอิงรีบอธิบาย "เขาชื่อหลงอี้เ้าค่ะ"
ท่านย่าหลี่จ้องมองหลงอี้ด้วยความหวาดระแวง ก่อนจะหันมามองเฉินอิง "เหนียงเอ๋อร์... เ้าบ้าไปแล้วหรือ! พาคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านเช่นนี้ หากเกิดอันตรายกับเด็กๆ หรือเราเล่า!"
เฉินอิงเข้าใจความรู้สึกของท่านย่าดี แต่ด้วยจรรยาบรรณของแพทย์ เธอไม่อาจทอดทิ้งผู้ป่วยที่าเ็ได้
"ท่านย่าโปรดวางใจ เขาาเ็หนักและไม่สามารถทำอะไรเราได้หรอกเ้าค่ะ อีกอย่าง... ข้าเป็หมอ" เฉินอิงเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น "ข้าสามารถรักษาเขาได้ และจะระวังตัวไม่ให้เื่ยุ่งยากมาถึงบ้านเราแน่นอน"
ท่านย่าหลี่อึ้งไปเล็กน้อยกับคำพูดของเฉินอิง "หมอ? เ้าเป็หมออย่างนั้นหรือ ข้าไม่เห็นรู้เื่เลย"
เฉินอิงพยักหน้า "ถึงแม้จะไม่มีตำราหรือยาดีๆ เหมือนหมอหลวง แต่ข้าก็ได้เรียนรู้เื่การรักษาโรคและการใช้สมุนไพรจากหมอสมุนไพรในหมู่บ้านเดิมที่ข้ามาเ้าค่ะ"
ท่านย่าหลี่มองเฉินอิงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ความหวาดระแวงเริ่มลดน้อยลง แววตาของนางฉายแววความหวังเล็กน้อย ลูกสะใภ้คนใหม่ผู้นี้ ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าที่นางคิดไว้
ในขณะที่เฉินอิงพยายามอธิบายให้ท่านย่าหลี่เข้าใจ หลงอี้ที่นอนอยู่บนฟางก็เงยหน้าขึ้นมองพวกนาง การที่เฉินอิงยอมเปิดเผยว่าตนเองเป็หมอ ทำให้แววตาของเขาดูซับซ้อนยิ่งขึ้น เขามองเฉินอิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เฉินอิงจัดการอาหารเช้าให้หลงอี้ และเตรียมน้ำอุ่นมาให้เขาเช็ดตัวอย่างระมัดระวัง แม้จะไม่มีผ้าผืนใหญ่ แต่เธอก็ใช้ผ้าขนหนูเก่าๆ ที่มีอยู่เช็ดตามร่างกายของเขาอย่างเบามือ
ขณะที่กำลังเช็ดตัวให้หลงอี้ เฉินอิงพลันสังเกตเห็นรอยสักแปลกๆ ที่ต้นแขนอีกข้างของเขา เป็รอยสักรูปัที่พันเลื้อยรอบแขนคล้ายกับป้ายหยกที่พบในอกเสื้อของเขา แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างออกไป ราวกับเป็สัญลักษณ์ประจำตัวของใครบางคน หรือกลุ่มคนบางกลุ่ม
'รอยสักนี้... ไม่ธรรมดา' เฉินอิงคิดในใจ ความสงสัยในตัวหลงอี้ยิ่งทวีคูณมากขึ้น บุรุษผู้นี้ดูเหมือนจะมีความลับมากมายซ่อนอยู่ และการปรากฏตัวของเขาในชีวิตของเฉินอิง ก็ดูเหมือนจะเป็จุดเริ่มต้นของเื่ราวที่ซับซ้อนเกินกว่าที่เธอจะคาดเดาได้
ในอีกด้านหนึ่ง ณ ตรอกซอกซอยอันเปลี่ยวร้างในเมืองหลวงลั่วหยาง บุรุษในชุดคลุมสีดำสนิทผู้หนึ่งกำลังคุยกับชายฉกรรจ์อีกสองคนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
"หาตัวให้เจอ! ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!" เสียงเข้มเฉียบขาดของบุรุษชุดดำบ่งบอกถึงอำนาจและอิทธิพล "องค์ชายรองต้องไม่รอดไปได้ หากแผนการของเราสำเร็จ แผ่นดินนี้จะต้องเปลี่ยนไป!"
"ขอรับคุณชายเยวี่ย พวกเราจะรีบตามหาให้เจอ ไม่ว่าเขาจะหนีไปซ่อนที่ไหน!" ชายฉกรรจ์ทั้งสองรับคำสั่งอย่างแข็งขัน ก่อนจะแยกย้ายกันไป
ความมืดมิดและอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้หมู่บ้านสกุลหลี่ที่แสนสงบ โดยที่เฉินอิงยังคงไม่รู้เลยว่า การช่วยเหลือบุรุษแปลกหน้าในครั้งนี้ กำลังจะนำพานางเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจ การต่อสู้ และโชคชะตาที่พลิกผันอย่างคาดไม่ถึง
****///****