เพราะมีเื่ในใจ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงไม่มีสมาธิในคาบเรียนของอาจารย์อวี้เลย ตอบคำถามหรือคัดหนังสือก็ผิดแล้วผิดอีกไม่พอ ยังมักจะเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนถูกอาจารย์อวี้จับได้ไม่สิบก็แปดครั้ง
สุดท้ายอาจารย์อวี้ก็เป็ฝ่ายยอมก่อน เขาโยนตำราเรียนในมือลงบนโต๊ะอย่างจนใจ “พอแล้ว ดูสภาพเ้าวันนี้สิ นี่ใช่สภาพของคนมาเรียนหนังสือหรือ?”
ถึงแม้จะเอ่ยถามเช่นนั้น แต่ในใจของอาจารย์อวี้ก็ยังสามารถเข้าใจและยอมรับได้ ถึงอย่างไรเมื่อวานคนที่ต้องทนหนาวมาทั้งคืน และตอนนี้ก็กำลังนอนป่วยอยู่บนเตียงผู้นั้นก็เป็ภรรยาของ ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ หากแม้แต่ภรรยาของตนเป็ไข้ไปด้วยความหนาวเหน็บแล้วยังสามารถทำเฉยไม่สนใจ ทำหน้าที่ของตนต่อไปได้อีกละก็ อาจารย์อวี้ก็คงต้องถามลูกศิษย์ของตนผู้นี้จริงๆ แล้วว่าเป็เขาเป็หัวใจศิลา [1] ของลิงหินอวตารมาหรือไม่
“ท่านอาจารย์อวี้ ข้า...”
ความสัมพันธ์ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกับอาจารย์อวี้ในตอนนี้นั้นผ่อนคลายลงไม่น้อยแล้ว แม้ว่าบางครั้งทั้งสองจะยังเกิดความตึงเครียดเื่การถกตำรา แต่ก็ไม่มีเื่ปะทะคารมอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว
ดังนั้นคำตอบของนางจึงไม่ได้มีความอึดอัดใจ หากแต่เจือความทุกข์ตรมอยู่เล็กน้อย
เมื่อเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ อาจารย์อวี้จึงไม่อยากก้าวก่ายและกีดขวางมากไปกว่านี้ จึงตัดบทสิ่งที่นางกำลังจะเอ่ยออกมา “เอาเถอะเอาเถอะ เข้ารู้ว่าในใจเ้ามีเื่ ก็คงจะอยู่ไม่สุขไปบ้าง... เอาอย่างนี้แล้วกัน เ้ากลับไปดูแลนางก่อนสักสองสามวัน รอให้นางหายดีแล้ว เ้าค่อยมาเรียนอีกครั้งเถิด”
“ท่านอาจารย์อวี้!”
ไม่คิดเลยว่าอาจารย์อวี้ผู้เคยเป็ปีศาจร้ายในสายตาของตนนั้น จะเป็คนดีที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นขนาดนี้! เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วะโขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าแทบจะเขียนคำว่า ‘สาวน้อยผู้คลั่งไคล้’ และ ‘บ้าผู้ชาย’ เอาไว้เต็มไปหมด ชั่วขณะนั้นได้กลายเป็ดอกทานตะวันที่หันหน้าเข้าหาอาจารย์อวี้ไปแล้ว นางแทบจะกระโจนเข้าไปกอดชื่นชมอาจารย์อวี้เสียตอนนี้เลย
อาจเพราะมองความคิดอันน่าสะพรึงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วออก อาจารย์อวี้จึงรีบเอ่ยขึ้น หยุดยั้งความเป็ไปได้ที่เื่ตลกนี้จะเกิดนี้ “เอาล่ะๆ ไม่ต้องขอบคุณข้าๆ สอนนักเรียนอย่างเ้า สำหรับข้าก็เป็การเคี่ยวกรำอย่างหนึ่งเช่นกัน ถือโอกาสนี้ให้เ้าก็หยุดพักสักหน่อย ข้าเองก็ได้หยุดพักเช่นกัน ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณฮูหยินเยี่ยน ที่ช่วยหาข้ออ้างดีๆ ให้”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในใจรู้ดีว่าอาจารย์อวี้นั้นเป็คนปากคมมีดหัวใจเต้าหู้ [2] แน่นอนว่ารอยยิ้มบนใบหน้านั้นไม่ลดลง ยังคงชื่นบานอยู่เช่นนั้น นางพยักหน้าให้อาจารย์อวี้อย่างเอาจริงเอาจังแล้วเอ่ย “เข้าใจแล้วขอรับ อาจารย์อวี้ ขอบคุณท่านมาก!”
พูดจบ นางก็ประสานมืออย่างนอบน้อม แล้วโค้งคำนับให้กับอาจารย์อวี้อย่างระมัดระวังยิ่ง อาจารย์อวี้โบกมือ รอยยิ้มบนใบหน้าแทบจะไม่อาจยั้งเอาไว้ได้ เพื่อเลี่ยงความพ่ายแพ้ในการกลั้นหัวเราะ แล้วทำลายความน่าประทับใจแต่เดิมของตน อาจารย์อวี้จึงนำหลักการ ‘รู้หลบเป็ปีก รู้หลีกเป็หาง’ มาใช้ เขาโบกมือเอ่ยคำพูดหนึ่งแล้วจึงจรลีหนีไป “พอแล้ว หยุดเรียนแล้ว หยุดเรียนแล้ว”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของอาจารย์อวี้ไกลออกไป เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็ไม่รั้งรอ ตะลีตะลานวิ่งออกจากห้องเรียน แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปยังเรือนของตน ทิ้งให้เหล่าคนใช้ข้างหลังพากันงงงวยมองหน้ากันไปมา บางคนถึงกับเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เหตุใดคุณชายจึงวิ่งไปวิ่งมาจนขาโก่งโย้เย้เช่นนั้นได้?
เพราะได้ยินมาว่าคนป่วยนั้นหากได้กินของที่ตนชื่นชอบแล้วอาการจะดีขึ้นเร็วขึ้น ก่อนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะกลับเรือนจึงตั้งใจวิ่งไปที่ห้องครัวเล็ก สั่งให้เหล่าเฉินในครัวทำไข่ตุ๋นให้เยวี่ยเจาหรานกินสักสองฟอง ไม่ใช่เพราะได้ยินมาว่าเยวี่ยเจาหรานชอบกินไข่ไก่หรอกนะ แต่เพราะมันเบาท้อง ย่อยง่าย แถมมีคุณค่าทางสารอาหารก็เท่านั้นเอง
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วซุกไข่ตุ๋นร้อนๆ เอาไว้ในเสื้ออย่างระมัดระวัง ในใจเต็มไปด้วยความคิดอยากจะทำให้เยวี่ยเจาหรานประหลาดใจ นางทั้งค่อยๆ เดินอย่างระวังทั้งยังลิงโลดตลอดทาง กระทั่งเดินไปจนมองเห็นประตูเรือนอยู่ไกลๆ
เอ๊ะ! นั่นใครน่ะ...?!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหยุดฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับมองเห็นเงาร่างใครบางคนที่หน้าประตูมาแต่ไกล เมื่อมองให้ชัดๆ จึงพบว่าที่แท้ก็คือสวี่ชิวเยวี่ย!
นางมาทำอะไร?! แม้จะไม่มีหลักฐานเป็รูปธรรม แต่การประพฤติตัวของเยวี่ยเจาหรานนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้ดี เขาไม่มีทางเติมนั่นเติมนี่เข้าไปในขนมเพื่อที่จะระบายความแค้นส่วนตัวและลอบกัดฮูหยินเยี่ยนอย่างแน่นอน และยิ่งไม่มีทางที่จะทำเพื่อชิงรักหักสวาทกับตนแน่ ดังนั้นในความคิดของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว สวี่ชิวเยวี่ยคือคนที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง
และผู้ต้องสงสัยรายใหญ่คนนั้นดันมาอยู่เบื้องหน้าของตนแล้ว ทั้งยังปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ อยู่ในที่ที่นางไม่สมควรโผล่มาอีก!
ความเดือดดาลในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ก็ผุดสิ่งที่เรียกว่า โมโหจนหัวลุกเป็ไฟ บังเกิดโทสะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่! เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วปราดเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะยังมีกฎที่ห้ามไม่ให้สวี่ชิวเยวี่ยเข้าใกล้เรือนและเยวี่ยเจาหรานโดยเด็ดขาด...
เหมือนจะช้าแต่กลับเร็วเหลือเชื่อ ยังไม่ทันที่มือของสวี่ชิวเยวี่ยจะจับโดนประตูไม้แกะสลัก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็มาถึงเบื้องหน้าของนางก่อนแล้วก้าวหนึ่ง “เปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ย บังเอิญเสียจริง”
“อ๊ะ!” บางทีอาจเป็เพราะสวี่ชิวเยวี่ยไม่นึกมาก่อนว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะมาปรากฏตัวในยามนี้ จึงตื่นตระหนกจนสั่นสะท้านจนสังเกตเห็นได้ ร่างของนางถอยไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว ทั้งปากยังส่งเสียงร้องแหลมสูงออกมาคำหนึ่ง
กระทั่งแววตาของสวี่ชิวเยวี่ยมั่นคงขึ้นมา มือของนางยังคงลูบที่หน้าอกไม่หยุดเพื่อคลายอารมณ์ หลังจากเห็น ‘เสื้อหน้ายิ้ม’ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างชัดเจนแล้ว สวี่ชิวเยวี่ยจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างครึ่งขมครึ่งหวาน “เป็… เป็เปี่ยวเกออวิ๋นเฟยหรอกหรือเ้าคะ... บัง บังเอิญเสียจริง”
บังเอิญ? บังเอิญกับผีน่ะสิ! นี่เป็เรือนของ ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ พบเ้าของเรือนที่หน้าประตูเรือนของเขา มันบังเอิญมากหรืออย่างไร? เห็นชัดว่าไม่มีอะไรจะพูด สวี่ชิวเยวี่ยเองก็คงใจนอึ้ง ถึงฟังไม่ออกแม้แต่ ‘คำประชด’ ง่ายๆ เช่นนี้
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแอบด่านางว่าเสแสร้งแกล้งทำอยู่ในใจ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และเตรียมดูการแสดงของสวี่ชิวเยวี่ยอย่างเงียบๆ ไม่นึกว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะสนองความ้าให้ในทันที นางเอ่ย “ได้ยินมาว่าเมื่อคืนพี่สะใภ้ทนหนาวตลอดทั้งคืน ยามนี้นอนป่วยอยู่บนเตียง ทรมานยิ่ง... ชิวเยวี่ยก็เลยอยากมาดูพี่สะใภ้สักหน่อย ถือโอกาสช่วยดูแลแทนเปี่ยวเกอ...”
ไม่ทันที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะเอ่ยอะไรต่อ สวี่ชิวเยวี่ยก็พูดขึ้น “ในเมื่อเปี่ยวเกอบังเอิญกลับมาพอดี เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปด้วยกันเถิดเ้าค่ะ!”
พูดบ้าอะไร? ย้อนนึกดูแล้วมันไม่ค่อยถูกต้องนะ? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดคิ้ว ครุ่นคิด ก็รู้สึกว่าประโยคหลังควรจะเอ่ยว่า ‘ในเมื่อเปี่ยวเกอกลับมาแล้ว ข้าก็จะไปให้พ้นเ้าค่ะ’ สิ
แต่น่าเสียดาย ในวงจรสมองของสวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป มันดันตรงข้ามกับผู้อื่นเสียได้ แต่วันนี้ประตูบานนี้ สวี่ชิวเยวี่ยจะไม่มีทางได้ผ่านเข้าไปแน่ ถึงอย่างไร ‘พี่สะใภ้’ ที่นอนอยู่ข้างในผู้นั้น ก็เป็ผู้ชายตัวเป็ๆ คนหนึ่ง! หากว่าถูกสวี่ชิวเยวี่ยเห็นจนหมดเปลือกแล้ว ก็ไม่รู้ว่าต่อไปใครกันแน่ที่จะแต่งไม่ออก?
“นี่ เปี่ยวเม่ย” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคว้าข้อมือของสวี่ชิวเยวี่ยที่กำลังจะเปิดประตูเอาไว้ แล้วออกแรงดึงเ้าตัวมาด้านหลัง “ในเมื่อเปี่ยวเกอกลับมาแล้ว เปี่ยวเม่ยก็กลับไปทำธุระของตัวเองเถิด ประเดี๋ยวจะได้ไม่ติดไข้จากพี่สะใภ้ของเ้า เ้าไม่เหมือนกับนาง ร่างกายอ่อนแอนี่”
คนหนึ่งเป็ผู้ชาย อีกคนหนึ่งเป็ผู้หญิง พวกเขาสองคน ย่อมไม่เหมือนกันแน่นอนอยู่แล้ว
แววตาของสวี่ชิวเยวี่ยฉายความตกตะลึงชั่วขณะ นางมองรอยยิ้มเสแสร้งของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าควรจะต่อบทสนทนาอย่างไร จึงได้แต่เอ่ยอย่างเก้อๆ “ในเมื่อพี่สะใภ้ไม่้าให้ชิวเยวี่ยรบกวน เช่นนั้นชิวเยวี่ย...”
“ถูกแล้ว นางไม่พอใจที่เ้าทำเสียงเอะอะ เ้ารีบไปเสียเถอะ!”
ความพูดไม่รู้จักยั้งปากคือจุดแข็งที่ใหญ่ที่สุดของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมาแต่ไหนแต่ไร! เมื่อเอ่ยไปเช่นนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เปิดประตู พาตัวเองเดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะปิดประตูเสียงดังปังอีกครั้ง ทิ้งให้สวี่ชิวเยวี่ยสับสนวุ่นวายอยู่เพียงผู้เดียว โดยที่ไม่อาจวาจาออกมาได้เป็เวลาเนิ่นนาน
เชิงอรรถ
[0] ต้าเผิง (大鹏) นกที่ตัวใหญ่ที่สุดในเทพนิยายของจีน สามารถบินได้ไกลและเร็วมาก
[1] หัวใจศิลา (铁石心肠) สำนวนจีน หมายถึงใจแข็ง หรือไม่มีหัวใจ
[2] ปากคมมีดหัวใจเต้าหู้ (刀子嘴豆腐心) สำนวนจีน หมายถึงปากร้ายแต่ใจดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้