เ้าเด็กอ้วนต้าเป่าชอบกินอาหารเป็ที่สุด เมื่อได้กลิ่นหอมจากห้องครัว ขาสั้นๆ ของเขาก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาเห็นท่านอากำลังจะยกของอร่อยออกไปก็เลยโวยวายและขอไปกับติงเหว่ยด้วย
ติงเหว่ยกลัวว่าเสี่ยวชิงจะดูแลเขาไม่ดี จนทำให้ต้าเป่าถูกน้ำร้อนลวกอีก ดังนั้นจึงกำชับเขาอย่างละเอียดแล้วมือหนึ่งถือกล่องอาหาร อีกมือหนึ่งก็จูงหลานชายออกไปยังเรือนเล็กๆ ที่เงียบสงบและสวยงามที่สุดเรือนนั้น
ไม่รู้ว่าท่านลุงอวิ๋นและคนอื่นๆ กำลังไปยุ่งอยู่ที่ไหนกัน ครั้งนี้ในเรือนจึงเงียบสงบกว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด มีบรรยากาศที่น่าอึดอัดเล็กน้อย ปกติแล้วเด็กๆ จะค่อนข้างไวต่อความรู้สึก เมื่อครู่ต้าเป่ายังยิ้มหัวเราะเสียงดัง แต่พอเข้ามาในเรือนแล้วเขากลับมีท่าทีเรียบร้อยขึ้นมาก
ติงเหว่ยรู้สึกขบขัน นางจูงเขาเบาๆ ไปที่หน้าประตู แล้วพูดเสียงแ่เบาว่า “เ้ารออาอยู่ที่นี่ อาออกมาก็จะพาเ้าไปกินข้าวทันที ดีหรือไม่?”
“ตกลง” ต้าเป่าเชื่อฟังนั่งรอที่ธรณีประตู ติงเหว่ยลูบศีรษะเขาด้วยความรักทะนุถนอม หลังจากนั้นเดินไปยังประตูห้องด้านในและรายงาน “คุณชาย อาหารเที่ยงของท่านเรียบร้อยแล้ว”
กงจื้อิที่กำลังเอนตัวพิงอยู่กับกรอบไม้ใต้หน้าต่าง สีหน้าของเขาอึมครึมยิ่งกว่าท้องฟ้าภายนอก ั้แ่เล็กจนโตเขาอาศัยอยู่ทางเหนือ แม้จะอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้วแต่เขาก็ยังไม่คุ้นเคยกับอากาศชื้นของทางใต้ ยามที่ตื่นมาในตอนเช้าเขาจะดื่มชาร้อนหนึ่งกา และให้คนไปหาหนังสือทางการทหารมาให้อ่าน แต่ก็ยังไม่สามารถระงับความหงุดหงิดในใจได้
ขณะที่กำลังโมโหและคิดจะปาแก้วน้ำชาทิ้ง ก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวพูดอยู่นอกประตู เขานึกถึงครั้งก่อนที่เกือบจะทำร้ายเด็กที่อยู่ในท้องของนาง จึงวางแขนลงอย่างช้าๆ แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เข้ามาได้”
ติงเหว่ยค่อยๆ เปิดประตูอย่างแ่เบา วางกล่องอาหารแล้วไปหาโต๊ะไม้เล็กๆ ที่มุมห้องมาวางไว้บนเตียง กล่าวได้ว่าท่านลุงอวิ๋นทั้งใส่ใจนางและรอบคอบเสียจริง โต๊ะไม้จันทน์แกะสลักสีแดงที่คุณชายอวิ๋นใช้เมื่อก่อนมีน้ำหนักมากเกินไปจริงๆ ติงเหว่ยยกไปยกมาแต่ละทีต้องใช้แรงไม่น้อยเลย เมื่อท่านลุงอวิ๋นเห็นเข้าวันต่อมาก็เปลี่ยนเป็โต๊ะไม้น้ำหนักเบาตัวนี้แทนเสียแล้ว
ดังนั้นแม้ว่านางจะรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องเข้าไปในห้อง แต่นางก็ยังคงพยายามคัดสรรอาหารที่จะทำให้คุณชายอวิ๋นผู้แสนเ็าท่านนี้กินได้อย่างรอบคอบ นี่อาจเป็การใช้ใจแลกใจหรือนับเป็การเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่ก็เป็ได้
นางพูดซุบซิบในใจคนเดียว แต่มือก็ยังยุ่งไม่หยุด
……
ข้าวเม็ดขาวใสเป็เงาดูนุ่มละมุนหนึ่งถ้วย เซียงชุนจีตั้นสะท้อนสีเหลืองทองแซมเขียวมรกต กันจ๋าอิ๋นยวี่ที่ทอดอย่างหอมฉุยหนึ่งจาน แล้วยังมีน้ำแกงเคี่ยวจนได้ที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อดินเผาที่เพิ่งเปิดฝาออกมา
ต่อให้กงจื้อิจะไม่อยากอาหารสักเท่าไร เมื่อมองอาหารเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
ติงเหว่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขยับมาพยุงเขาลุกขึ้นนั่งและยัดเบาะนิ่มหนาๆ สองใบที่ด้านหลังเพื่อช่วยเขาอีกแรง จากนั้นนางก็หยิบตะเกียบส่งให้ และพูดด้วยเสียงอันอบอุ่นว่า “คุณชาย วันนี้อากาศค่อนข้างชื้นและเย็น ข้าเลยทำน้ำแกงเนื้อแพะใส่เต้าหู้ซึ่งมีฤทธิ์ให้ความอบอุ่นและบำรุงร่างกาย ยังมีปลาอิ๋นยวี่ที่สดใหม่ แล้วก็เซียงชุนซึ่งเป็อาหารที่ดีที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ เชิญท่านค่อยๆ กิน ข้าจะออกไปคอยด้านนอก”
พูดจบนางก็จะถอยออกไปรอข้างนอก คาดไม่ถึงว่ากงจื้อิจะพูดออกมาว่า “เ้ารออยู่ที่นี่เถอะ”
ติงเหว่ยถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายที่อารมณ์แปลกประหลาดผู้นี้ถึงให้นางอยู่ต่อ แต่เมื่อเ้าบ้านเอ่ยปากเช่นนั้น ในฐานะที่นางเป็แม่ครัวที่ได้รับค่าจ้างก็ยากจะปฏิเสธ จึงถอยไปนั่งบนเตียงอีกด้าน และคอยเตรียมอาหารและน้ำแกงให้
นางเสียเวลาอยู่พักใหญ่และยุ่งจนลืมไปว่าต้าเป่ายังรออยู่ด้านนอก เด็กน้อยไม่ค่อยมีความอดทน ผ่านไปสักพักก็เดินเข้ามาและกอดขาติงเหว่ยพร้อมบ่นอย่างน้อยใจว่า “ท่านอา ต้าเป่าหิวแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
ติงเหว่ยเหลือบมองกงจื้อิ และอธิบายอย่างเก้อเขินว่า “คุณชายท่านอย่าได้แปลกใจไปเลย นี่คือหลานชายของข้า พอดีตอนนี้ที่บ้านไม่มีคนดูแลข้าถึงได้พามาที่นี่ ข้าจะรีบพาเขาออกไปทันที!”
ต้าเป่าตื่นั้แ่เช้าและยังนอนไม่เต็มอิ่ม คนในครอบครัวก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการส่งครอบครัวของพี่รองทั้งสามคนเข้าเมืองจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะดูแลเขาไม่ดีเท่าที่ควร ตอนนี้เขาได้กลิ่นหอมโชยเข้ามาในจมูก ท้องน้อยๆ ของเขาจึงส่งเสียงร้องโครกครากออกมาทันที
กงจื้อิได้ยินเสียงจึงหันมามองและสบตาเข้ากับเด็กน้อยดวงตาใสซื่อที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้ใจอ่อนและเอ่ยปากว่า “ถ้าหิวแล้วก็มากินด้วยกันสิ”
ติงเหว่ยรู้ตัวทันทีว่าต้องปฏิเสธ แต่นางคิดไม่ถึงว่าต้าเป่ากลับมีความสุขมากจนรีบปีนขึ้นไปบนเตียง และนั่งลงขัดสมาธิตรงข้ามกับกงจื้อิ จากนั้นก็คำนับพร้อมพูดขอบคุณอย่างสุภาพเรียบร้อยว่า “ขอบคุณท่านลุง”
กงจื้อิอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “ไม่ต้องขอบคุณ”
ติงเหว่ยแทบจะอยากหิ้วหลานจะกละโยนออกไป ช่างน่าอับอายขายหน้าไปจนถึงบ้านท่านย่าแล้ว แต่พอเห็นแบบนี้นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงคิดในใจว่าอยากจะเคาะกะโหลกหลานตัวน้อยสักทีสองที
ยังดีที่เวลานางทำอาหารมักจะทำเผื่อไว้เยอะๆ จนเคยชิน สาเหตุหนึ่งคือเตรียมเผื่อท่านลุงอวิ๋นให้ได้ลองอาหารรสชาติใหม่ๆ และสาเหตุที่สองคือตัวนางเองและเสี่ยวชิงจะได้เพลิดเพลินกับอาหารเป็ครั้งคราว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นพอดี
ต้าเป่าได้รับข้าวสวยหนึ่งถ้วย เขาไม่ได้มองใบหน้าที่กลัดกลุ้มของท่านอา แล้วกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เด็กคนนี้เป็ประเภทชอบกินเนื้อ ตะเกียบของเขาจึงเรียกหาแค่ปลาทอดและเนื้อแพะ ปากน้อยๆ ก็เคี้ยวตุ้ยๆ พร้อมทั้งโยกศีรษะจนผมเปียส่ายไปมาอย่างมีความสุข
ติงเหว่ยมองแล้วรู้สึกดีและตลกไปด้วย ด้วยความเคยชินจึงคีบเซียงชุนใส่ในถ้วยของเขา แล้วพูดอย่างตำหนิว่า “เ้าอย่ากินแต่เนื้อสิ กินเซียงชุนให้เยอะสักหน่อย”
ต้าเป่าเพิกเฉย เม้มริมฝีปากเล็กๆ แล้วคัดค้านไปว่า “ไม่เอา ผักอันนี้มีกลิ่นเหม็น”
ติงเหว่ยอดไม่ได้ที่จะเคาะหัวหลานของนาง และพูดว่า “การเลือกกินไม่ใช่นิสัยของเด็กดี อีกอย่างใบเซียงชุนนี้เหม็นตรงไหน มีกลิ่นหอมชัดๆ ใบเซียงชุนชอบแสงแดด ขอแค่มีแสงแดดก็เติบโตได้เร็วมาก ได้กินเซียงชุนก็เหมือนกับได้กินพลังชีวิตเข้าไป เ้ากินให้เยอะสักหน่อย เมื่อโตขึ้นจะได้ทั้งสูงทั้งแข็งแรง ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวพวกโก่วตั้นมารังแกเ้าแล้ว ใช่หรือไม่?”
ต้าเป่ามองเซียงชุนในถ้วยอย่างลำบากใจ ท้ายที่สุดก็ยังตั้งใจจะต่อยตีพวกโก่วตั้นด้วยความได้เปรียบ เขาจึงหยิบเซียงชุนยัดใส่ในปากเคี้ยวอย่างลวกๆ และกลืนลงไปด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน
ติงเหว่ยรีบชม “ต้าเป่าของอาเป็เด็กดีที่สุด มา ดื่มน้ำแกงให้รสชาติดีขึ้นสักหน่อย”
การกระทำของพวกนางอาหลานทั้งมีความสุขและครื้นเครง พวกเขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าฝั่งตรงข้ามยังมีกงจื้อินั่งอยู่อีกทั้งคน ทว่ากงจื้อิกลับไม่ได้ถือสา ในหูได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจของนางกับเด็กน้อย คาดไม่ถึงว่าอารมณ์กลับดีขึ้นอย่างมาก และตะเกียบของเขาก็ขยับไปทางเซียงชุนจานนั้นอีกหลายครั้ง…
ข้าวสวยครึ่งกะละมัง แกงเนื้อแพะหนึ่งหม้อ ยังมีกับข้าวอีกสองอย่าง นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกชายสองคนผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนึ่งกินจนหมดเกลี้ยงในมื้อเดียว
ต้าเป่ากุมพุงกลมๆ ของเขาไว้แล้วกลิ้งไปกลิ้งมาไม่ยอมลุกจากเตียง ไม่นานเปลือกตาของเขาก็เริ่มสู้กันเอง “ท่านอา ต้าเป่าอยากนอนแล้ว”
ติงเหว่ยที่กำลังเก็บกวาดถ้วยจานได้ยินก็รีบพูดเบาๆ ว่า “เ้ารอสักครู่หนึ่ง เดี๋ยวอาจะรีบพาเ้ากลับไปนอน”
“อื้อ ตกลง” ต้าเป่ารับปากอย่างเชื่อฟัง แต่น่าเสียดายผ่านไปแค่พริบตาเดียวก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ เสียแล้ว
ติงเหว่ยวางโต๊ะเตี้ยในมือลงแล้วหันกลับมาเจอหลานชายที่นอนกางแข้งกางขาเหมือนหมูตัวน้อยไม่มีผิด แค่แรงจะกลอกตานางยังไม่มีเลย
“คุณชายโปรดอย่าเพิ่งตำหนิไป ปกติเด็กคนนี้ถูกที่บ้านให้ท้ายมากเกินไป ข้าจะพาเขาออกไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบนางก็ก้มตัวลงไปอุ้มต้าเป่า แต่ปกติก็แทบจะยกเ้าเด็กอ้วนคนนี้ไม่ไหว ยิ่งตอนนี้เขากินจนอิ่มแน่น ไหนเลยติงเหว่ยที่กำลังท้องอยู่จะสามารถรับมือได้ไหว นางพยายามอุ้ม ทว่าศีรษะล้วนเกือบมุดไปบนเตียงทั้งสองครั้ง พอยืดตัวขึ้นอีกครั้งเอวด้านหลังก็รู้สึกปวดเมื่อยไปหมด นางใจึงรีบวางมือลง
กงจื้อิมองออกว่าสีหน้านางไม่ค่อยดี แววตาของเขาฉายแววแปลกๆ ขึ้นมาครู่หนึ่ง เขาคิดไปคิดมาแล้วจึงพูดว่า “เ้าเด็กคนนี้นอนอย่างน่าเอ็นดู ปล่อยให้เขานอนที่เตียงข้าก่อนเถอะ ส่วนเ้าก็ไปหาอะไรกินแล้วพักสักหน่อย หลังจากนั้นค่อยมารับเขากลับไป”
ติงเหว่ยตั้งใจจะปฏิเสธแต่นางรู้ดีว่าร่างกายนางเองก็ไม่ไหว และไม่ควรให้เด็กที่ยังไม่เกิดต้องมาเสี่ยงอันตราย นางจึงทำได้เพียงตกลงด้วยความละอายใจ
กงจื้อิเห็นเงาของนางหายออกไปจากประตูเรือน เขาก็ก้มมองเด็กน้อยตัวอ้วนหน้าแดงที่กำลังนอนหลับอยู่และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย
เขาพยายามอย่างสุดแรงที่จะยกตัวขึ้นมาเพื่อพาเด็กน้อยมาไว้ข้างตัว ก่อนดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมไว้บนท้องน้อยๆ ไม่รู้ว่าเ้าเด็กอ้วนฝันถึงเื่อะไรดีๆ หัวเราะเสียงดังคิกคักแล้วพลิกตัวไปมาอยู่ข้างๆ กายเขา
เด็กน้อยเนื้อตัวแน่นและอ่อนนุ่มแนบชิดกับเขาโดยไม่มีอะไรป้องกัน สีหน้าของกงจื้อิอ่อนลงถึงสามส่วน
ในหูได้ยินเสียงกรนเบาๆ เขาอดที่จะรู้สึกง่วงไม่ได้ จึงเอาหมอนที่รองหลังออกแล้วนอนลง
หนึ่งคนตัวใหญ่กับอีกหนึ่งตัวเล็กหลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าด้านนอกมีฝนตกลงมาเบาๆ ั้แ่เมื่อไร ราวกับความอบอุ่นที่โปรยลงมาให้โลกใบนี้ และชะล้างสิ่งสกปรกโสมมออกไปจนหมด
ติงเหว่ยกลัวว่าหลานชายของนางจะสร้างปัญหาอีก นางกลับมาที่ห้องครัวกินข้าวกับเสี่ยวชิงไม่กี่คำก็รีบกลับไป สุดท้ายเจอคนสองคนกำลังหลับสนิทอย่างฝันหวาน นางเองก็ไม่กล้ารบกวน
ในขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น นางก็เดินไปที่ชั้นหนังสือเพื่อหาหนังสือท่องเที่ยวมานั่งอ่านข้างเตียง บางทีอาจเป็เพราะบรรยากาศในห้องเงียบเกินไป หรืออาจเป็เพราะถูกเสียงกรนขับกล่อม ในชั่วขณะหนึ่งนางก็ผล็อยหลับลงไปที่เตียง
……
ท่านลุงอวิ๋นมีธุระต้องเข้าไปในเมือง หลังจากกลับมาตอนฝนตกปรอยๆ ก็รีบเข้ามาทักทาย ไหนเลยจะคิดว่าภาพที่ได้เห็นจะเป็ภาพการนอนหลับสนิทอย่างฝันหวานแบบนี้
เซียงเซียงที่ตามเขามาด้านหลังเห็นแล้วก็โมโห อยากจะเข้าไปกระชากตัวติงเหว่ยออกมาด่าชุดใหญ่ ท่านลุงอวิ๋นหูตาว่องไวรีบปิดปากนางและลากออกมาข้างนอกจนออกจากประตูเรือนแล้วค่อยปล่อยมือ
เซียงเซียงกระทืบเท้าด้วยความโมโห และบ่นว่า “ท่านปู่ ท่านมาขวางข้าไว้ทำไม? หญิงชั่วที่ไม่มีมารยาทนางนั้นกล้าดียังไงมานอนที่ข้างเตียงของคุณชาย…”
“เ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” ท่านลุงอวิ๋นไม่สนใจหลานสาวที่กำลังโมโห เขาตาแดงๆ แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “เ้าจะไปรู้อะไร นานแค่ไหนแล้วที่คุณชายไม่ได้หลับสนิทและฝันหวานแบบนี้? หากเ้ายังกล้าเข้าไปรบกวน พรุ่งนี้ก็ไสหัวกลับบ้านไปซะ!”
“ท่านปู่!” เซียงเซียงโมโหจนทึ้งมวยผมออก แต่สุดท้ายก็ไม่กล้ากลับเข้าไปอีก ทำได้เพียงร้องไห้แล้ววิ่งกลับห้องของตนเอง
ท่านลุงอวิ๋นไม่สนใจหลานสาว แต่กลับมานั่งอยู่หน้าประตูเรือนแล้วเฝ้าอย่างสบายใจ เพราะเขาเกรงว่าจะมีใครเข้าไปทำให้สองคนโตกับหนึ่งคนเล็กใตื่นขึ้นมา
ท่านลุงอวิ๋นไม่รู้เลยว่าความจริงกงจื้อินอนลืมตาอยู่บนเตียงนานแล้ว เขาหันไปมองหญิงสาวและเด็กน้อยที่กำลังหลับสนิทก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เขานึกถึงเื่เมื่อสักครู่ขึ้นมา ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายนิดหน่อย เขาถูกลอบทำร้ายทำให้เป็อัมพาตอยู่บนเตียง หากว่าหาหมอเทวดาไม่พบชาตินี้เขาก็ทำได้เพียงแค่นอนรอเวลา ไม่ต้องพูดถึงเื่สืบทอดเชื้อสายวงตระกูล เพียงหาหญิงสาวมาแต่งงานอยู่กันไปจนแก่เฒ่าล้วนเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้…
ติงเหว่ยได้ยินเสียงขยับที่ข้างตัวก็คิดว่าต้าเป่าดิ้นไปมา จึงรีบยื่นมือออกไปตบเบาๆ อย่างนุ่มนวล แล้วร้องเพลงที่นางชอบที่สุดอย่างสะลึมสะลือว่า “ข้างนอกประตูมีฝูงเป็ดกำลังจะลอดใต้สะพาน รีบมานับกันเร็วเข้า 24678…”
กงจื้อิก้มมองมือน้อยๆ ขาวผ่อง ที่กำลังวางอยู่บนหน้าอกของเขา แล้วค่อยๆ ตบเบาๆ อย่างนุ่มนวล หูของเขาได้ยินเสียงร้องเพลงอันแ่เบาและอ่อนหวานของหญิงสาว เขาไม่พูดอะไรก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ