ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำ สายฟ้าที่ส่องสว่างดุจโซ่ก็ผ่าลงมาท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน ตามมาด้วยเสียงร้องที่ดังสนั่นราวกับแผ่นดินทลายของฟ้าร้อง ดังลั่นสั่นะเืไปทั่วทุกพื้นที่
หยางหนิงลืมตาขึ้นมา หลังจากที่เขามองเห็นสภาพโดยรอบได้ชัดเจนแล้วนั้น เขาก็ได้ตัดสินใจกระทำสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก นั่นก็คือการที่เขาเตรียมพร้อมจะลงมือแล้ว
หากเป็เื่ที่สามารถใช้กำปั้นจัดการได้ เขาก็จะพยายามไม่ไปรบกวนสติปัญญาของตัวเอง
ภาพตรงหน้าทำให้เขารู้สึกมีโทสะขึ้นมาจริงๆ มันเป็ภาพที่ชายหนุ่มสามสี่คนกำลังโอบล้อมชายสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งพร้อมกับรุมใช้หมัดและฝ่าเท้าทำร้ายชายคนนั้น ส่วนคนที่โดนรุมทำร้ายนั้นได้แต่กอดตัวเองและขดตัวอยู่บนพื้นอย่างไร้ทางสู้
เขาไม่ได้ต่อต้านการต่อสู้ หรือจะพูดตามตรงก็คือเขาชื่นชอบการที่หมัดกระทบเข้ากับร่างกายฝ่ายตรงข้ามก็ว่าได้ ทว่าการที่เอาคนหมู่มากมารังแกคนอื่นนั้นเป็เื่ที่เขารู้สึกไม่พึงพอใจเป็ที่สุด และใครทำให้เขาไม่พอใจ เขาก็มักจะคิดหาวิธีให้คนผู้นั้นรู้สึกไม่พอใจยิ่งกว่า
“หยุดนะ!” หยางหนิงส่งเสียงร้องะโออกมาจากลำคอ เขา้าใช้เสียงร้องของตนเองข่มขวัญศัตรูเอาไว้ให้ได้ก่อน
แต่เสียงที่ถูกเปล่งออกไป กลับไม่ได้มีความโเี้ น่าเกรงขามเหมือนที่เขาคิดไว้ มันกลับดูอ่อนแอ ไร้กำลังยิ่งนัก
เสียงนี้แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นทำให้ฟ้าะเืดินทลายได้ แต่ก็สามารถทำให้คนเ่าั้หยุดมือลง และหมุนตัวหันมามองทางเขา
ตอนนี้หยางหนิงเพิ่งจะมองเห็นได้ชัดเจนว่าพวกชายหนุ่มที่กำลังลงมือก็ไม่ได้สะอาดสะอ้านกว่าคนที่ขดตัวอยู่ข้างล่างเท่าใดนัก ทุกคนต่างก็มีใบหน้ามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง อีกทั้งเสื้อผ้าก็มีรอยฉีกขาด ทรุดโทรมยิ่งนัก โดยดูจากสภาพพวกเขาแต่ละคนแล้วสามารถเรียกว่าเป็พวกยาจกขอทานเลยก็ว่าได้
“เสี่ยว...เสี่ยวเตียวเอ๋อร์...!” ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้มีทรงผมราวกับนักร้องวงเดอะบีเทิลส์มองเห็นหยางหนิงที่ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโยกเยกไปมาแล้ว สีหน้าก็มีความตกตะลึงปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หยางหนิงกลับรู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังอ่อนแรงยิ่งนัก ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจเื่นี้แล้ว จึงได้แต่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เป็ผู้ชายก็ควรจะสู้กันตัวต่อตัว เอาคนหมู่มากมารุมรังแกคนเพียงคนเดียวแบบนี้มันสนุกนักหรือไง?”
คนที่มีทรงผมเดอะบีเทิลส์มองหยางหนิงขึ้นๆ ลงๆ อย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา และเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน “เ้าหนูนี่ยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ?” พร้อมกับเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าหยางหนิงและยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะวางลงไปบนบ่าของหยางหนิง
เมื่อหยางหนิงเห็นมือนั้นยื่นเข้ามาหา เขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปโดยสัญชาตญาณและจับลงบนข้อมือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ โดยไม่รอให้อีกฝ่ายดึงสติกลับมา เท้าของเขาก็ขยับอย่างรวดเร็ว ตอนนี้แขนของชายคนนั้นได้ถูกดึงไปแนบไว้ที่ด้านหลังแล้ว ออกแรงกดลงไปบนท่อนแขน้าของชายคนนั้นจนเกิดเป็เสียงดัง “กร๊อบ” ดังลั่นขึ้น ก่อนที่ชายคนนั้นจะส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาทันที
การต่อสู้ด้วยมือเปล่านี้ถือเป็วิชาที่เขาถนัดอย่างมาก การจะถอดแขนข้างหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามนั้นความจริงแล้วไม่จำเป็ต้องใช้เรี่ยวแรงมากเท่าไรนัก
ชายหนุ่มผู้มีทรงผมเหมือนเดอะบีเทิลส์ร้องโหยหวนออกมา ก่อนที่แขนข้างนั้นจะทิ้งตัวลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง บนหน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา พร้อมกับสีหน้าที่กลายเป็ขาวซีดในชั่วพริบตา
ชายหนุ่มที่เหลือหันมามองหน้ากัน ในมือของยาจกสองคนนั้นถือท่อนไม้เอาไว้คนละท่อน สองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้หยางหนิง
หยางหนิงทำเพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะกวาดตามองลงไปที่พื้นแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าใกล้ ๆ ฝ่าเท้าของตนก็มีท่อนไม้อีกท่อนหนึ่ง เขาก็ตวัดเท้าไปเล็กน้อยให้ท่อนไม้นั้นลอยขึ้นมาอยู่ในมือของตน
เสียงร้องะโดังออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาจะเหวี่ยงท่อนไม้มาทางศีรษะของหยางหนิง
หยางหนิงหัวเราะเสียงเย็นออกมา ก่อนที่ท่อนไม้ในมือจะสะบัดออกไปรวดเร็วดุจสายฟ้า ตัวเขาที่ฝึกซ้อมอยู่ในค่ายทหารพิเศษมาเป็เวลาหลายปีนั้น หนึ่งในประเภทของการฝึกก็คือการนำของที่หาได้ทุกประเภทมาใช้เป็อาวุธของตน แม้ว่าชายหนุ่มทั้งสองจะบุกเข้ามาด้วยท่าทางดุร้าย แต่ว่าในสายตาของหยางหนิงแล้ว พวกเขาไม่น่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของเขายังคงรู้สึกอ่อนแรงอยู่บ้างแล้ว การออกแรงด้วยมือเปล่าก็น่าจะเพียงพอทำให้คนทั้งสองล้มลงได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ในมือของเขายังมีท่อนไม้อีกท่อนหนึ่ง ทำให้ไม่มีทางตกเป็รองได้อย่างแน่นอน
เสียง “ตุ้บๆ” ดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่ท่อนไม้จะถูกสะบัดออกพร้อมกับหยางหนิงที่ก้าวเท้าไปด้านข้างและเอียงตัวหลบตามไป หมัดขวากระแทกเข้าใบหน้าของชายคนหนึ่งเข้าอย่างแรง ก่อนที่ขาอีกข้างจะถีบออกไปราวกับแมงป่องและกระแทกเข้าไปตรงหว่างขาของชายหนุ่มอีกคน ชายทั้งสองต่างก็ส่งเสียงร้องอย่างโหยหวนออกมา คนหนึ่งหนีบขาตัวเองและคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่อีกคนปล่อยท่อนไม้ในมือของตนลงและยกมือขึ้นมาอุดหยุดเืที่ไหลออกมาจากจมูก
หยางหนิงส่ายศีรษะ คู่ต่อสู้เหล่านี้ช่างไม่มีความท้าทายเสียจริง ๆ ทำให้ความภาคภูมิใจของเขาเกือบจะเทียบเท่ากับศูนย์เลยก็ว่าได้
หยางหนิงเงยหน้ามองไปยังเบื้องหน้า มีชายอีกคนถือท่อนไม้เอาไว้ในมือพร้อมกับยืนนิ่งค้างด้วยอาการตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
หยางหนิงยกแขนของตนขึ้น พร้อมกับใช้ท่อนไม้ชี้ไปที่ชายคนสุดท้ายพร้อมเอ่ยขึ้น “มาสิ ถึงตาเ้าแล้ว!”
ร่างกายที่แต่เดิมแข็งเกร็งและอ่อนล้านั้น หลังจากที่ได้ขยับไปมาเล็กน้อยก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นไม่น้อย
ชายคนนั้นมองไปทางเหล่าสหายของตน มือที่ถือท่อนไม้เอาไว้ก็สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว จากนั้นเขาก็ทิ้งท่อนไม้ลงกับพื้น พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ฝืน ๆ “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ข้า...ข้าไม่สู้กับเ้าหรอก...!”
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์?” หยางหนิงนิ่งค้างไป นี่เป็ครั้งที่สองที่เขาได้ยินคนเรียกเขาเช่นนี้ “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์อะไร?” ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวไปด้านหน้าสองก้าวพร้อมกับท่อนไม้ที่ถืออยู่ในมือ
ชายคนนั้นเกิดอาการตกตะลึง ก่อนจะเห็นว่าหยางหนิงยังคงใช้ท่อนไม้ชี้มาทางตน จึงรีบเอ่ยออกมาด้วยท่าทางน่าสงสาร “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ นี่...นี่ไม่ใช่ความคิดของข้า ข้า...ข้าเองก็ถูกบังคับมา...!” พร้อมกับยกมือและชี้นิ้วไปทางชายทรงผมเดอะบีเทิลส์ที่หยางหนิงเพิ่งหักแขนเขาไปเมื่อครู่นี้ “เป็...เป็โหวจื่อ ทุกอย่างล้วนเป็ความคิดของโหวจื่อทั้งนั้น...!”
หยางหนิงหมุนศีรษะมองไปทางชายทรงผมเดอะบีเทิลส์แวบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น และเหมือนกับเขาจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงก้มหน้าสังเกตตัวเองอย่างละเอียด ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปในทันที
เขาเห็นว่าคนเ่าั้มีเสื้อผ้าขาดรุ่ย เดิมก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เวลานี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าบนร่างกายของตนยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเป็แถบใหญ่ของเขาเผยให้เห็นิัที่สกปรกมอมแมมด้านใน
ก่อนที่เขาจะสังเกตบริเวณรอบๆ และพบว่าที่แห่งนี้เป็สถานที่ที่มืดมิดเป็อย่างมาก บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกำแพงผุพัง ตรงขอบกำแพงมีกองไฟอยู่กองหนึ่ง ้าศีรษะมีเสียงกร๊อบแกร๊บดังขึ้นมา และเมื่อหยางหนิงเงยหน้าขึ้นไปมองเขาก็เห็นว่าบนหลังคาถูกปูด้วยกองฟางเท่านั้น อีกทั้งยังมีช่องมีรูจำนวนมาก ทำให้บางจุดมีหยดน้ำฝนรั่วหยดเข้ามาด้านใน
ซวยแล้วไงล่ะ!
หยางหนิงมั่นใจว่าตัวเองจะต้องฝันไปแน่นอน แต่ว่าความฝันนี้ดูคล้ายกับเื่จริงยิ่งนัก
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เ้า...เ้ากลับมามีชีวิตแล้ว?” ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ยินดีปะปนไปด้วยความตื่นใดังขึ้น เวลานี้ชายที่ถูกคนทั้งหลายรุมทำร้ายก็เงยหน้าขึ้นมาแล้ว ใบหน้าที่บวมตึงและเขียวคล้ำนั้นก็ไม่อาจปกปิดความยินดีของเขาเอาไว้ได้
เมื่อเห็นใบหน้านั้น หยางหนิงก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมากะทันหัน และในเวลานี้เองที่ในสมองของเขาปรากฏภาพขึ้นมากมาย โดยภาพเ่าั้ทับซ้อนกันไปมา ขณะที่ใบหน้าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้กลับดูชัดเจนยิ่งนัก
เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่? ที่นี่เป็สถานที่ใดกันแน่?
คนที่อยู่ตรงหน้านี้ดูมีอายุราวๆ สี่ห้าสิบปี มีรูปร่างผอมบาง ขณะที่เสื้อผ้าฉีกขาดเปิดออกเป็วงกว้าง เผยให้เห็นแผ่นอกที่มีผิวพรรณแห้งกรอบและผอมบางจนเห็นถึงรอยโครงกระดูกได้อย่างชัดเจน
บรรยากาศโดยรอบช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก หยางหนิงมองไปที่มือของตัวเอง ก่อนที่ท่อนไม้ที่ถืออยู่ในมือจะตกลงพื้นไปในทันที
มือนี้...เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มือของตัวเอง แม้ว่ามือนี้จะมีรอยด้านเล็กน้อยเหมือนกับมือของเขา แต่ว่ามือนี้กลับมีขนาดเล็กกว่ามือของเขาอย่างเห็นได้ชัด
ภายใต้ความตกตะลึง หยางหนิงก็ยกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้าของตัวเอง เขาคุ้นเคยกับลักษณะโครงหน้าของตนเองเป็อย่างดี แต่ว่าใบหน้านี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่ใบหน้าของตน เพราะใบหน้านี้ผอมเรียวกว่าใบหน้าของเขามากนัก อีกทั้งตรงกรามและคางยังดูเหมือนจะเติบโตไม่เต็มที่ เมื่อเทียบกับใบหน้าเดิมของเขาที่มีโครงกรามของหน้าอย่างชัดเจนแล้วนั้น ทำให้ความเด่นชัดของเค้าโครงใบหน้านี้ลดน้อยลงและต่างจากเดิมอยู่มาก
เข่าของหยางหนิงอ่อนลงอย่างห้ามไม่อยู่ โดยที่ก้นของเขาดิ่งลงไปัักับพื้นพร้อมกับความงุนงงที่เกิดขึ้นอยู่เต็มหัวสมอง
เมื่อผู้าุโที่ถูกรุมทำร้ายเมื่อครู่สังเกตเห็นถึงท่าทางของหยางหนิง เขาก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทางเป็กังวล “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เ้า...เ้าเป็อะไรไป?”
ทันใดนั้นหยางหนิงก็เงยหน้าขึ้น และกวักมือเรียกชายที่เขาต่อสู้ด้วยเมื่อครู่ ชายคนนั้นลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้ด้วยท่าทางหวาดกลัว
“ข้าชื่อเสี่ยวเตียวเอ๋อร์?” หยางหนิงเอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองไปทางชายคนนั้น
ชายคนนั้นพยักหน้าลงทันที
“ที่นี่คือที่ใด?” หยางหนิงเอ่ยถามคำถามที่สองต่อ
ชายคนนั้นรีบเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว “ที่นี่คือศาลเ้าทางตะวันตกของเมือง”
“ศาลเ้า?” หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะกวาดตามองไปบริเวณโดยรอบอีกครั้ง ก่อนจะลอบคิดในใจว่าเ้าที่ของสถานที่แห่งนี้คงอดสูอยู่ไม่น้อย “ข้ามาที่แห่งนี้ได้อย่างไร? เ้าพูดว่าเป็ทางตะวันตกของเมือง ที่นี่คือเมืองใดกัน?”
“เมืองฮุ่ยเจ๋อ!” ชายคนนั้นรีบตอบ “หากมุ่งไปทางเหนืออีกร้อยกว่าลี้ก็จะถึงหวยฉุ่ยแล้ว เสี่ยว...เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เ้า...เ้าจำไม่ได้แล้วงั้นหรือ? เมื่อครึ่งปีก่อนเ้าเดินทางมาที่เมืองแห่งนี้ ภายหลังก็ถูกพี่ใหญ่ฟางรับเข้าพรรคกระยาจก ตอนนี้ก็ถือว่าเป็ลูกศิษย์ของพรรคกระยาจกแล้ว”
“ช้าก่อน!” หยางหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใ “พรรคกระยาจก? เ้าหมายความว่าอย่างไร?” ก่อนจะมองไปทางเสื้อผ้าคนเ่าั้ หัวใจก็หนักอึ้งขึ้นมา “เ้าหมายความว่า พวกเ้าล้วนแต่เป็ยาจก?”
“เ้าเองก็ด้วย” บุรุษผู้นั้นเอ่ยตักเตือนด้วยความหวังดี “พวกเราล้วนแต่เป็ลูกศิษย์ของพรรคกระยาจก” ในแววตาของเขามีความเห็นใจปรากฏขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับรวบรวมความกล้าและเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เ้าป่วย...เ้าป่วยเป็โรคอะไรสักอย่างจึงลืมเื่ทั้งหมดไปแล้วใช่หรือไม่?”
“พรรคกระยาจก? เสี่ยวเตียวเอ๋อร์? เมืองฮุ่ยเจ๋อ?” หยางหนิงยกมือขึ้นหยิกแขนของตัวเองครั้งหนึ่ง รู้สึกเ็ปยิ่งนัก ก่อนที่สีหน้าจะดูเคร่งเครียดมากขึ้นราวกับเข้าใจถึงอะไรบางอย่างได้แล้ว “บ้าเอ้ย นี่...นี่เราข้ามภพมาหรือไง?”
“ข้ามภพ?” ชายคนนั้นเอ่ยถามออกมาเบา ๆ “ข้ามภพหมายความว่าอย่างไร?”
หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่างมีโทสะ “ไม่ต้องสนใจว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร ข้าขอถามเ้า เ้านั่น...!” ก่อนจะชี้นิ้วไปทางบุรุษที่มีหัวไหล่นูนออกมา “ชื่อโหวจื่อใช่หรือไม่? เขาเสนอความคิดอะไรขึ้นมา?”
“เื่นี้...!” ชายคนนั้นมองไปทางโหวจื่อแวบหนึ่ง ก่อนจะคิดคำนวณในใจถึงความสามารถของคนทั้งสองแล้วจึงเอ่ยออกมา “โหวจื่อคิดว่าเ้าตายไปแล้ว จึงบีบบังคับให้เหล่าชู่ผีไสหัวออกไปจากศาลเ้า เสี่ยวเตียวเอ๋อร์...เื่นี้ เื่นี้ข้าไม่ได้เห็นด้วยนะ เพียงแต่ว่าหากข้าไม่รับปาก พวกเขาก็จะขับไล่ข้าออกไปด้วย”
“เหล่าชู่ผี?” หยางหนิงเหลือบมองไปทางยาจกชราผู้นั้น ก่อนที่สมองจะปรากฏภาพจำนวนมากขึ้นอีกครั้ง โดยหนึ่งในนั้นคือภาพที่ยาจกชรากำลังป้อนอาหารให้กับเขา เขาจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปพยุงเหล่าชู่ผีที่มีาแเต็มตัว พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงไปมาก “ท่าน...ท่านคือเหล่าชู่ผี? ท่านคือคนที่คอยดูแลข้ามาโดยตลอด?”
ในแววตาของเหล่าชู่ผีนั้นกลับเต็มไปด้วยความปิติยินดี เขายื่นมือออกไปลูบ ๆ ตัวของหยางหนิง ขณะที่หยางหนิงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการที่ยาจกชรามาลูบร่างกายของตน แต่เพราะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกระทำเช่นนั้นเพราะความห่วงใยจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เขาเพียงแต่รู้สึกได้ถึงมือทั้งสองข้างของเหล่าชู่ผีที่สั่นไหวอยู่เล็กน้อย พร้อมกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ฟื้นมาก็ดีแล้ว ฟ้ามีตาจริงๆ...!”
ตอนนี้หยางหนิงไม่มีเวลามาสนใจว่าฟ้าจะมีตาหรือไม่แล้ว เขาเพียงแต่สนใจว่าตอนนี้ตัวเขานั้นมีสภาพการเป็อยู่อย่างไรกันแน่
“พวกมันคิดว่าข้าตายไปแล้ว จึงเลือกเอาเวลาที่พายุฝนโหมกระหน่ำเช่นนี้ขับไล่คนชราที่น่าสงสารออกไปจากที่หลบฝนงั้นหรือ?” หยางหนิงรู้สึกว่าการที่ตนลงมือนั้นถือเป็สิ่งที่ถูกต้องยิ่งนัก เมื่อเห็นใบหน้าที่บวมตึงและเขียวคล้ำของเหล่าชู่ผี น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็เยือกเย็นลงในทันที “มานี่กันให้หมด มาขอขมาต่อเหล่าชู่ผี หากเขายอมให้อภัยพวกเ้า เื่นี้ก็ถือว่าแล้วกันไป มิเช่นนั้น...!”
“ไม่ต้องหรอกๆ ก็...ก็แล้วๆ กันไปเถิด...!” เหล่าชู่ผีรีบเอ่ยออกมา
หยางหนิงไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาชี้นิ้วไปทางโหวจื่อที่ตนเพิ่งหักแขนไปได้ไม่นานและเอ่ยขึ้นว่า “เ้า มานี่...!”
โหวจื่อที่ถูกหักแขนไปนั้นรู้สึกเ็ปยิ่งนัก เวลานี้เมื่อเห็นหยางหนิงมองมาที่ตนด้วยสายตาเยือกเย็นก็ไม่กล้าผิดคำสั่งแม้แต่น้อย จึงรีบขยับไปทางเบื้องหน้าของเหล่าชู่ผีพร้อมกับก้มศีรษะของตนลง “เหล่าชู่ผี ข้า...ข้าผิดไปแล้ว เ้า...!”
“อะไร?” หยางหนิงเอ่ยเรียบ ๆ ออกมา “เ้าพูดอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด”
“เหล่าชู่ผี ข้ามันใจคออำมหิตผิดมนุษย์ เป็...เป็ความผิดของข้า ท่านเป็ผู้ใหญ่...เป็ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย อภัยให้ข้าในครั้งนี้ด้วย...!” เมื่อเอ่ยประโยคเหล่านี้จบ บนหน้าผากของโหวจื่อก็มีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาจำนวนมากแล้ว
เมื่อโหวจื่อเอ่ยปาก คนอื่นๆ ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป พวกเขาต่างขยับมาด้านหน้า “เหล่าชู่ผี พวกเรา...พวกเราทำไปเพราะความโง่เขลาเพียงชั่วครู่ ท่านก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ต่อไป...ต่อไปพวกเราไม่กล้าทำเช่นนั้นกับท่านอีกแล้ว...!”
เหล่าชู่ผีถูกคนรังแกจนเคยชินแล้ว เวลานี้เมื่อเห็นคนเหล่านี้มาคุกเข่าขอขมาต่อตน ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรไปชั่วขณะ จึงได้แต่เอ่ยตอบไปว่า “พวกเ้าลุกขึ้นเถิด ทุกอย่าง...ทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว...!”