รอยยิ้มเบิกบานของหญิงสาวชัดเจนขึ้น สะท้อนผ่านดวงตาเยือกเย็นของคนที่อยู่บนรถม้า ในสายตาของเขาจึงเผยความอบอุ่นออกมาเล็กน้อย
“ยินดีด้วย!”
สิ้นเสียงนี้ คนทั้งหมดก็รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ซ่าน ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า คงไม่ใช่ว่ากำลังจะมีลมหนาวฤดูใบไม้ผลิหรอกนะ!
“ท่านพ่อ เชิญแขกเข้าบ้านก่อนเถิด!”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ซูจื่อเยี่ยด้วยดวงตาที่คาดเดาได้ยาก เหมือนว่าเ้าหมอนี่เ็าขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งเขากับเกาจิ่วเป็อะไรกัน? พอพินิจแล้วก็รู้สึกถอดใจ นางไม่ได้ให้ทุกคนบอกเล่าทุกอย่างให้ชัดเจน ณ ตรงนั้น
สายตาของซูจื่อเยี่ยเลื่อนมาที่นาง แล้วพยักหน้าให้เล็กน้อย ไม่ต้องก้มหน้าเศร้าสลดไป คุณชายไม่ปล่อยให้เ้าถูกใครรังแกแน่
เมื่อแนวความคิดไม่ได้อยู่บนเส้นทางเดียวกัน!
ช่างทำให้คนร้อนใจนัก!
หลิวเต้าเซียงและครอบครัวเชิญซูจื่อเยี่ยและกลุ่มคนเข้าไปในบ้าน ส่วนหลิวฉีซื่อยังคงตกตะลึงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติ จึงเตรียมแอบย่องออกไปจากสถานการณ์คับขันตรงหน้านี้
เพียงแต่
มีคนดึงแขนเสื้อของนางเบาๆ “ท่านแม่ ท่านจะรีบไปไหนเล่า?”
คนผู้นี้ก็คือคนที่หลิวฉีซื่อเกลียดชังเข้ากระดูกดำ หลิวซุนซื่อนั่นเอง
หลิวเหรินกุ้ยเป็คนฉลาด เขาไตร่ตรองในใจแต่เนิ่นแล้วจึงรู้สึกว่าให้มารดาของตนกลับไปตอนนี้เป็เื่ที่ถูกต้อง ถึงอย่างไรหลิวซานกุ้ยก็มั่งคั่งรุ่งเรืองแล้ว หากว่าเื่นี้ถูกเปิดเผยออกไป ครอบครัวของเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่นิดเดียว
เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ซูจื่อเยี่ยที่ก้าวเท้าเข้าประตูบ้านไปก็หันศีรษะกลับมาชำเลืองมอง แววตาเยือกเย็นนั้นขึงร่างหลิวเหรินกุ้ยไว้แน่นกับพื้น ทำให้เขาไม่กล้าคิดจะกลับไป
หลิวซุนซื่อคำรามเ็าในลำคอ จากนั้นมองดูเขาด้วยความสาแก่ใจพร้อมกับสะบัดผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะเดินตามคนทั้งหมดเข้าบ้านหลิวเต้าเซียงไป
แม้ว่านางจะไม่ฉลาด แต่ก็รู้ว่าเื่ในวันนี้ต่างไปจากปกติ
ไม่แน่ว่าอาจได้ยินสิ่งที่เป็ประโยชน์ จะได้นำไปบอกกับบุตรชายคนโต
“เหรินกุ้ย เราแอบออกไปดีกว่า!” เมื่อเห็นเงาด้านหลังของคนทั้งหมด หลิวฉีซื่อพลันตัวสั่นและรู้สึกเย็นวาบ
“ท่านแม่ ท่านคิดว่าข้าไม่อยากหรือ? แต่เราไม่อาจไปได้”
แสงอาทิตย์ในเดือนสาม หลิวเหรินกุ้ยเหงื่อซึมหน้าผาก
มารดาของเขามักจะตาพร่ามัว จึงมองไม่เห็นองครักษ์ที่นายน้อยท่านนั้นพามาด้วย แต่ละคนกำลังจับด้ามดาบและทำท่าจะปาดคอเขา ขืนพูดจาไม่เข้าหูคงถูกเก็บแน่นอน
หลิวเหรินกุ้ยนึกเสียใจในขณะนี้ หากรู้ว่าจะมีวันนี้ หลังจากถูกจางอวี้เต๋อปฏิเสธเมื่อปีก่อน เขาไม่ควรผูกใจเจ็บ หรือบางทีก่อนที่เื่ราวความลับที่ปกปิดมาหลายสิบปีจะเปิดเผย เขาควรเล่นงานหลิวซานกุ้ยให้ตาย เื่จะได้ไม่ยุ่งยากถึงเพียงนี้
พอไตร่ตรองรอบด้าน ในใจของหลิวเหรินกุ้ยมีเพียงการนึกเสียใจย้อนหลัง!
อยากได้ยารักษาใจมากินสักขวด!
“ลุงรอง เหตุใดยังยืนอยู่ที่ประตูอีก! ท่านย่า อ้อ ใช่สิ ท่านอาจจะไม่ใช่ท่านย่าแท้ๆ ของข้าก็ได้ แต่ว่า ถึงอย่างไรก็คือแขก มาเร็วๆ เชิญด้านใน”
หลิวฉีซื่อจ้องมองหลิวเต้าเซียงที่กำลังเชื้อเชิญทั้งสองคนอย่างไม่พอใจ
นางตัวดี ต้องถึงขั้นเสียดสีทิ่มแทงกันถึงขั้วหัวใจปานนี้เลยหรือ?
ผู้ชมต่างก็คิดว่า บุตรสาวคนรองของหลิวซานกุ้ยนั้นเถรตรงเหลือเกิน มิน่าเวลามีเื่ดีก็มักจะนึกถึงทุกคน
หากเดินตามบุตรสาวคนรองของหลิวซานกุ้ย นางมีเนื้อกิน ส่วนเราก็มีน้ำแกงดื่ม!
ทุกคนต่างรู้ตัวในวินาทีนั้น จากนั้นถอยไปหนึ่งเมตรเพื่อแสดงท่าทีว่า เราไม่ใช่พวกเดียวกับหลิวฉีซื่อ
หลิวฉีซื่อรู้สึกชอกช้ำใจในพริบตา นางเป็คนที่แย่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
หลิวเต้าเซียงจึงพูดปลอบ “ท่านย่า เราอย่าโกรธไปเลย เวลาคับขันย่อมคัดกรองนิสัยคน”
ฝูงชนต่างพูดไม่ออก เ้าแน่ใจหรือว่านี่เป็การปลอบ ไม่ใช่การแทงซ้ำ!
หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างนอบน้อม เราเป็หญิงสาว ขยับได้แต่ปาก ห้ามขยับหมัด
ในความเป็จริง นางชอบหนึ่งพละกำลังปราบจอมยุทธสิบคนเป็อย่างมาก
ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยกำลัง ย่อมไม่เป็ปัญหา
หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าหัวใจของตนถูกแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่านับไม่ถ้วน เ็ปจนใบหน้าชราของนางซีดเผือดราวกับหิมะ
หลังจากที่ทุกคนในลานบ้านได้ยินแล้ว ก็มองไปที่หลิวฉีซื่ออย่างพร้อมเพรียงกัน
ซูจื่อเยี่ยเอ่ยอย่างเ็า “ถูกต้อง!”
หลิวซานกุ้ยคิดในใจว่า โชคดีที่ข้าไม่ใช่ลูกในไส้
จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่า น่าเศร้า หนทางออกเรือนของบุตรสาวก็ยิ่งดำมืด...
ส่วนหลิวชิวเซียงคิดว่า น้องรอง ไม่ต้องกลัว บ้านเรามีเงินเสียอย่าง ถ้าไม่ได้ก็ใช้เงินเข้าช่วย! อย่างไรก็คงหาน้องเขยที่เชื่อฟังมาได้
......
หลิวเต้าเซียงเดินนําหลิวฉีซื่อและหลิวเหรินกุ้ยเข้าไปในบ้าน สะใภ้เซวียส่งยิ้มให้เพื่อนบ้านที่ล้อมวงกันเพื่อดูความสนุกสนาน จากนั้นกล่าวว่าในบ้านยังมีงานอีกมาก จึงไม่อาจต้อนรับทุกคนได้ เห็นว่าเวลาใกล้เที่ยงแล้ว จึงเชิญทุกคนแยกย้ายกลับบ้านไปหามารดาตนเอง!
เพื่อนบ้านยืดคอตั้งขึ้น พวกนางยอมไม่กินข้าวกลางวันก็ได้ แต่อยากรู้จริงๆ ว่าเื่เป็มาอย่างไรกันแน่ ที่เคยบอกว่าเป็ลูกในไส้ เหตุใดจึงไม่ใช่แล้วเล่า?
เสียงประตูดังขึ้น หลิวเต้าเซียงหันศีรษะไปมองรอยแยกของประตูที่ค่อยๆ เล็กลง เห็นเพื่อนบ้านกำลังส่งสายตาอยากรู้อยากเห็น ริมฝีปากเล็กๆ ของนางจึงขยับว่า เพื่อนบ้านที่รัก อย่าชักใบให้เรือเสีย!
“คือว่า...” หลิวซานกุ้ยยังคงลังเล เมื่อได้ยินว่ามารดานั้นไม่ใช่มารดาแท้ๆ เขาเองก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ
เขารีบจัดการอารมณ์ของตนเอง ความสุขบนความทุกข์เช่นนี้ไม่สมควร
เกาจิ่วเห็นเขาอยากพูดแล้วก็หยุด ท่าทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จึงคิดว่าเขาคงทำใจยากที่จะยอมรับเื่นี้ได้ จึงยื่นมือไปตบบ่าแล้วเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อโน้มน้าว “ซานกุ้ย ข้ารู้ว่าจิตใจเ้าฟุ้งซ่านสับสน มีบางครั้งสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ไม่ใช่เื่จริง อีกอย่างเื่นี้เ้าเองก็เตรียมใจไว้แล้วไม่ใช่หรือ?”
หลิวซานกุ้ยเหลือบมองเขา เ้าช่วยกรุณาอย่าพูดตรงเกินไปนัก พูดราวกับว่าเขาปรารถนาว่าตนเองจะไม่ใช่ลูกในไส้อย่างนั้น
แน่นอนว่าตีให้ตาย เขาก็ไม่มีทางพูดความในใจออกมา
เว้นแต่เขาจะโง่เขลา!
“อะแฮ่ม!” ซูจื่อเยี่ยยกกําปั้นและไอเบาๆ เพราะทนดูไม่ไหวอีกต่อไป
จะว่าไปแล้ว เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อก็ทำให้เขานึกถึงเื่ที่ไม่สบอารมณ์
การตกลงไปในบ่อมูล เป็เื่ที่เขาไม่อยากนึกถึงจนวันตาย
แต่กลับชอบรนหาที่ตาย
หลิวฉีซื่อรู้สึกราวกับถูกทำร้ายจิตใจ ตอนนี้พอได้สติก็มองดูอย่างตั้งใจ เอ๋ นี่คุณชายสูงศักดิ์ที่นางเคยช่วยชีวิตไว้ไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นนางจึงเริ่มใช้ฝีปากคมกริบเอ่ยขึ้น
“อ้าว นี่ใช่คุณชายสูงศักดิ์ที่เคยพักอาศัยที่บ้านข้าหรอกหรือ วันนี้ลมอะไรถึงพัดเ้ามาได้?”
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือกุมหน้าผาก ไม่รนหาที่ตายก็ไม่ตาย
รัศมีรอบตัวซูจื่อเยี่ยสามเมตรเปลี่ยนเป็หนาวเย็นในพริบตา หลิวซานกุ้ยยื่นมือกอดอกแล้วแนบมือไว้ใต้แขน จากนั้นเอ่ยเสียงสั่น “เหตุใดจู่ๆ ก็หนาวแบบนี้”
จางกุ้ยฮัวเองก็สูดจมูก “อากาศเดือนสามราวกับใบหน้าของเด็ก นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน”
นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความสับสน ดวงอาทิตย์ก็ส่องแสงนี่นา!
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกไปลูบหัวใจดวงน้อยๆ ของตนเอง โชคดีที่นางหลบได้เร็ว เ้าหมอนี่ชอบสังหารคนในเสี้ยววินาที!
ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเ็า เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าตกลงใบหน้าของหญิงชราคนนี้หนาเพียงใดกันแน่!
เห็นได้ชัดว่าคนที่ช่วยชีวิตเขาคือหลิวเต้าเซียง ซึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิตและความสดใสร่าเริง
เขาไม่มีทางยอมรับ!
ดังนั้น เป็โชคร้ายของหลิวฉีซื่อ!
“เ้าคือใคร?”
หลิวฉีซื่อเกือบจะกระอักเืออกมา นางคือใคร? นางก็คือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณชายน้อยน่ะสิ!
“ข้าคือ...”
นางพูดได้เพียงสองคำ เกาจิ่วก็ขัดจังหวะขึ้น
“โอ้ ใช่ หลิวฉีซื่อ จริงหรือไม่ที่หลิวซานกุ้ยไม่ใช่ลูกในไส้ของเ้า!”
เขารำคาญเหลือทนกับการคุยโวถึงอดีตของนาง ไม่เห็นหรือว่าสีหน้าของนายน้อยนั้นแย่เพียงใด
ใครเล่าจะชื่นชอบการนำไปพูดถึงเื่ที่ว่า โอ้ นึกถึงตอนนั้นที่เ้าะโข้ามกำแพงและร่วงหล่นลงที่บ่อมูล นางเองที่เป็คนล้วงขึ้นมา แล้วช่วยเช็ดล้างหนอนบนตัวออกไปจนสะอาด
ลำพังแค่คิด เขาก็อยากจะอาเจียนออกมาข้ามคืน
“นายท่านจิ่ว จะพูดอะไรก็ควรมีหลักฐาน ซานกุ้ยคือลูกแท้ๆ ของท่านแม่ข้า ใครบอกว่าไม่ใช่?”
หลิวฉีซื่อยังคงมึนงงด้วยเื่นี้ แต่หลิวเหรินกุ้ยที่พยุงนางกลับมีปฏิกิริยารวดเร็ว
ซูจื่อเยี่ยหันมองจากด้านข้าง ดวงตากลมโตคู่สวยของหลิวเต้าเซียงกะพริบปริบๆ และใช้หูเล็กๆ นั้นตั้งใจฟัง
มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย นางต้องดีใจอย่างมากแน่ ในที่สุดก็สามารถสลัดหลิวฉีซื่อที่เหมือนกาวหนังสุนัขเช่นนี้!
ขณะที่หลิวเต้าเซียงกำลังคิด เกาจิ่ว นายท่านจิ่ว ท่านรีบพูดออกมาเถิด ข่าวลือเช่นนี้ไม่อาจพลาดได้ นางว่าอยู่แล้วเชียว ต้นไผ่ที่คดงอมิอาจงอกหน่อไม้ดีๆ ได้ เป็ดั่งที่คาด บิดาของตนไม่ใช่ลูกในไส้
หลิวเต้าเซียงผู้ซึ่งชอบอ่านข้อความออนไลน์ในภพก่อนหน้านี้ เริ่มระดมสมอง เื่ราวการแก่งแย่งชิงดีในวัง ในบ้าน แล้วก็เื่ราวของอนุที่ขึ้นตำแหน่ง...
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย อืม แม่สาวน้อยของเขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
หากเขาล่วงรู้ความคิดของหลิวเต้าเซียงในตอนนี้ คงจุกในอกเป็แน่!
ซูจื่อเยี่ยรู้สึกว่าตนเองกำลังจะทนไม่ไหว อีกทั้งหลิวฉีซื่อยังคิดอยากจะตอแยเขา จึงส่งคำพูดผ่านสายตาให้เกาจิ่วเบาๆ
ขืนยังพูดพล่าม จะยัดเยียดหญิงชราคนนี้ให้เป็หญิงบำเรอของเ้า วัวอ่อนกินหญ้าแก่ รสชาติคงไม่อาจพรรณนาได้!
เกาจิ่วเข้าใจในเสี้ยววินาที และขนลุกจนตัวสั่น
“หลิวฉีซื่อ เ้ายังคิดจะปฏิเสธหรือ?”
“ข้าปฏิเสธอะไรกัน ซานกุ้ยเป็ลูกแท้ๆ ของข้า พวกเ้าอย่าคิดแย่งลูกข้าไปเด็ดขาด”
แน่นอนว่าคนที่เคยผ่านประสบการณ์โชกโชนในการแก่งแย่งชิงดี ตอนนี้ก็ได้สติแล้ว หลิวฉีซื่อนั้นนับว่าโลดโผนในการสู้ศึกเช่นนี้!
เฉไฉยืนหนึ่ง!
เกาจิ่วขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ฮึ เ้าคิดว่าเ้าปฏิเสธ แล้วจะไม่มีผู้ใดรู้อย่างนั้นหรือ?”
เขากล่าวต่อว่า “ดูเ้าสิ คิ้วเรียวยาว หางตาตก ใบหน้าตอบยาวอย่างกับม้า มองดูก็รู้ว่าเป็คนโเี้ แล้วมองดูซานกุ้ยเขาสิ คิ้วเข้มตาโต หน้าเหลี่ยม ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเืกับเ้า”
หลิวเต้าเซียงพูดไม่ออก ที่แท้ก็มีคนที่ตรงไปตรงมากกว่านางอีกหรือ!
หลิวเหรินกุ้ยมีสภาพจิตใจที่ตึงเครียด และนึกเกลียดชังที่เกาจิ่วพูดจาอำมหิตเกินไป
หลิวฉีซื่อร้อนตัวและมีท่าทีขึงขัง ส่วนหลิวเหรินกุ้ยกระวนกระวาย จึงกระซิบข้างหูนาง เหมือนว่ากำลังปลอบ
หลิวฉีซื่อเืพล่านทันใด “ถุย เ้าคิดว่าเ้ามีเงินก็จะบีบคั้นให้ข้ายอมรับได้หรือ ฮึ ข้าจะบอกให้ พี่ชายข้าเป็ถึงหัวหน้าพ่อบ้านในจวนตระกูลหวง”
“โอ้ พี่ใหญ่เ้าเป็ขุนนางที่ใหญ่โตนัก ข้ากลัวเหลือเกิน!”
เกาจิ่วเลิกคิ้วยืนมองหลิวฉีซื่ออยู่ตรงนั้น แล้วเอ่ยอีก “เดิมทีซานกุ้ยกับเ้าก็ไม่มีสัมพันธ์ทางสายเือยู่แล้ว แม้ว่าเ้าจะเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ แต่นับจากอายุสิบขวบ เขาก็ทำงานในบ้านมาตลอดจนมีภรรยาและลูก เ้าก็ใช้งานพวกเขาราวกับทาส ยังกล้าเล่นลิ้นอีกหรือ!”
พอพูดถึงตอนท้าย เขาเร่งเสียงสูงขึ้นและแผ่บารมีข่มหลิวฉีซื่อเต็มที่
หางตาของเขาเหลือบมองไปทางซูจื่อเยี่ย นายน้อย ข้าเล่นละครเช่นนี้ดูน่าเกรงขามพอหรือไม่ขอรับ?
หลิวฉีซื่อใก่อนจะโมโหเดือดดาลแล้วด่า “ถุย เ้าคิดว่าตนเองเป็ใคร เื่ของตระกูลหลิว ยังไม่ถึงขั้นต้องให้คนนอกอย่างเ้าเข้ามายุ่ง”
หลิวเต้าเซียงจ้องหลิวฉีซื่ออย่างดูแคลน “เ้าบอกว่าไม่ต้องยุ่ง ก็ไม่ต้องยุ่งหรือ? ไม่ใช่ลูกในไส้ แล้วจะนับว่าเป็ครอบครัวได้อย่างไร อ้อ แล้วก็แม้ว่าจะแซ่หลิว แต่ก็เป็คนละตระกูลอยู่ดี”
หลิวฉีซื่อแทบจะลมจับจนล้มตึง ความจุกในทรวงนั้นชัดเจน อันที่จริงนางอยากจะสลบไปทั้งอย่างนั้น เพียงแต่เหตุใดนางจึงไม่เป็ลมกันนะ?
หลิวเต้าเซียงไม่มีทางบอกว่า เพราะเื่ที่น่ากังวลในบ้านเดิมมีมากมายเกินไป ที่หลิวฉีซื่อไม่ได้โมโหจนเป็ลมก็เพราะว่าผ่านการฝึกปรือมาอย่างช่ำชอง!
เกาจิ่วเอ่ยด้วยวาจาชอบธรรม “คุณหนูรองหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ในเมื่อไม่ใช่ลูกในไส้ ย่อมนับว่าเป็สองบ้าน แล้วจะบอกได้อย่างไรว่านี่คือเื่ส่วนตัวของตระกูลหลิว? ฮึ ข้าว่า เ้าคงอยากปั้นเื่มาหลอกซานกุ้ยของเรา แล้วดูดเืดูดเนื้อเขาต่อล่ะสิ”
หลิวเต้าเซียแอบหันไปมองเขาเงียบๆ เ้าไม่จำเป็ต้องเอ่ยจนอีกฝ่ายเืไหลซิบๆ เช่นนี้ก็ได้ อันที่จริงทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ
เกาจิ่วคิดว่า เขาก็ทำเพื่อสร้างบรรยากาศไม่ใช่หรือ?
น่าชอกช้ำใจ ทำดีไม่ได้ดี!
-----