ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว นางกำนัลกลับเข้ามารอปรนนิบัติรับใช้เหนียนยวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้ง
ครั้นออกจากห้องอาบน้ำ สายฝนที่กระหน่ำโปรยปรายหยุดลงในที่สุด เสียงฉินยังคงบรรเลงดังเดิม เหมือนว่าสายฝนได้ชะล้างเื่ราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนนี้ออกไปแล้ว ทว่าเหนียนยวี่รู้ดีว่าเื่บางอย่างแม้จะตั้งใจปกปิด ท้ายที่สุดแล้วอย่างไรวันหนึ่งก็คงมิอาจปิดต่อไปได้
ถึงเพลานั้น คลื่นลูกใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำในวังหลวงลูกนี้ เกรงว่าคงกลับมาสาดซัดใหม่อีกครา
ฉู่ชิงพูดถูก ภายใต้อำนาจของฮ่องเต้ สถานการณ์เลวร้าย นางเป็เพียงสตรีผู้หนึ่ง เดิมควรอยู่ให้ห่าง ทว่าเื่ที่นางต้องทำในชาตินี้ นางได้ลิขิตมันไว้แล้วว่าจะไม่แยกห่างจากตระกูลจ้าวและอำนาจของฮ่องเต้ เช่นนี้นางจะอยู่ให้ห่างได้อย่างไร?
เหนียนยวี่ยืนอยู่นอกห้องอาบน้ำ เหลือบมองไปที่ประตูห้องด้านข้างที่ปิดอยู่ ดวงตาสงบนิ่ง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด...
เหนียนยวี่ออกจากห้องอาบน้ำ นี่คือตำหนักฉิ่นของมู่อ๋องจ้าวอี้ที่ตั้งอยู่ในวังหลวง นางกำนัลพานางไปยังห้องโถงหลัก จ้าวอี้ไม่อยู่ ทว่าเป็องค์หญิงใหญ่ชิงเหอที่กำลังรอนางอยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นเหนียนยวี่เข้ามา องค์หญิงใหญ่ชิงเหอก็ลุกมาต้อนรับขับสู้นาง
เหนียนยวี่รู้สึกได้ถึงความเป็ห่วงขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด "ยวี่เอ๋อร์ทำให้เสด็จแม่เป็กังวลแล้วเพคะ"
"เ้าสบายดีก็ดีแล้ว ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว" องค์หญิงใหญ่ชิงเหอสำรวจเหนียนยวี่ ในที่สุดเมื่อแน่ใจว่าเหนียนยวี่ที่อยู่ตรงหน้ายังสบายดี ไม่ได้าเ็อะไร ก็ถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก
“ใช่แล้วเพคะ นับว่าโชคดีมากเพคะที่คุณหนูยวี่มิได้เป็อะไร องค์หญิงใหญ่เพคะ รถม้ารออยู่ที่ประตูจูเชวี่ยแล้ว พวกเราพาคุณหนูยวี่กลับตำหนักกันเถิดเพคะ” จือเถาเองก็มีความสุขเช่นกัน เมื่อคืนเดินไปเดินมากระสับกระส่ายทั้งคืน แม้แต่องค์หญิงใหญ่ที่กำลังตั้งพระครรภ์ ยังมิอาจทนไหวเช่นกัน "แม้ในวังหลวงจะสบายและงดงาม ทว่ามิมีทางสบายเท่าตำหนักองค์หญิงใหญ่ของเรา"
เหนียนยวี่นึกถึงเื่ที่นัดแนะรับปากกับองค์หญิงใหญ่ชิงเหอก่อนหน้านี้ พวกนางเอ่ยกันดิบดีแล้วว่าหลังงานเลี้ยงในสวนจบลง นางจะตามองค์หญิงใหญ่กลับไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ด้วยกัน ในตำหนักองค์หญิงใหญ่ ยังมีงิ้วสนุกๆ รอนางอยู่
ทว่า...
ขณะที่ทั้งสามกำลังจะออกไป นางกำนัลผู้ซึ่งเดินนำเหนียนยวี่ออกมาก่อน กลับคุกเข่าลงบนพื้นอย่างหวั่นกลัว
"ขออภัยองค์หญิงใหญ่เพคะ...คุณหนูยวี่ยังไปมิได้เพคะ!"
ไปไม่ได้งั้นหรือ?
ไม่เพียงแค่เหนียนยวี่เท่านั้นที่แปลกใจ แม้กระทั่งองค์หญิงใหญ่ชิงเหอก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน นางขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“เพราะเหตุใดถึงไปมิได้? ตำหนักฉิ่นของอี้เอ๋อร์แห่งนี้ กลายเป็สถานที่ที่มาได้กลับไม่ได้ไปั้แ่เมื่อใด” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอตรัสขึ้นอย่างเ็า ดวงตาฉายแววไม่พอใจ
ดูเหมือนนางกำนัลผู้นี้จะรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ พลันยิ่งตื่นตระหนก รีบก้มหัวตอบกลับอย่างเร่งรีบ “ทูลองค์หญิงใหญ่เพคะ ท่านอ๋องมู่ฝากคำพูดก่อนจะออกไปว่า จะต้องดูแลคุณหนูยวี่ให้ดี รอพระองค์กลับมาเพคะ นอกจากนี้...อีกเื่คือเจินกูกูเองก็ฝากต่อคำพูดของฮองเฮาอวี่เหวินว่า...รอให้คุณหนูยวี่ตื่น รีบไปตำหนักชีอู๋เพคะ”
ไปตำหนักชีอู๋หรือ?
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว ในใจรู้ได้ทันทีว่าฮองเฮา้าให้นางไปตำหนักชีอู๋เพราะเหตุใด
ฮองเฮายังไม่รู้สึกวางใจนางเกี่ยวกับเื่เมื่อคืนหรือ?
ถึงแม้นางจะไม่วางใจ แล้วคิดอยากจะจัดการกับนางอย่างไร?
ฉู่ชิงพูดถูก เื่ราวที่เป็ดั่งคลื่นลมพายุภายใต้อำนาจของฮ่องเต้ เป็เื่ที่เกินผู้คนจะคาดเดาได้เสียจริง ก้าวพลาดคราหนึ่ง มิอาจหวนคืนได้ตลอดกาล!
สังเกตได้ถึงความผิดแปลกบนสีหน้าของเหนียนยวี่ องค์หญิงใหญ่ชิงเหอจึงคว้ามือเหนียนยวี่ขึ้นมากุมไว้
เหนียนยวี่เงยหน้า สบกับดวงตาอบอุ่นอ่อนโยนขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ได้ยินเสียงขององค์หญิงเอ่ยขึ้นตามมา...
“ที่แท้เป็เสด็จพี่สะใภ้ที่ประสงค์ให้เหนียนยวี่ไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักชีอู๋หรือ พี่สะใภ้มีพระราชเสาวนีย์ลงมา เช่นนั้นเหนียนยวี่ควรไปพบนางเสีย ทว่านางเองก็ได้รับาเ็ เ้าเองก็เห็นแล้ว เสด็จพี่สะใภ้เองคงรู้ไม่ต่างกัน าแนี้จะว่าหนักหรือไม่ ก็นับว่าไม่หนักหนานัก ทว่าสำหรับหญิงสาวนางหนึ่งแล้ว นับว่าหนักอย่างมาก หากกลายเป็รอยแผลเป็ หลังจากนี้นางจะออกเรือนไปได้อย่างไร? ข้าผู้เป็มารดาบุญธรรมคนนี้ เห็นแล้วช่างรู้สึกเ็ป เ้าไปทูลรายงานฮองเฮาเสียว่า เปิ่นกงเป็ห่วงาแของยวี่เอ๋อร์ จะพานางกลับไปรักษาตัวที่ตำหนัก ส่วนพระราชเสาวนีย์ของเสด็จพี่...”
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอปรายสายตามองนางกำนัลที่คุกเข่าอย่างเยือกเย็น ชะงักไปเล็กน้อย และเอ่ยขึ้นต่อว่า "รอให้าแของยวี่เอ๋อร์หายดีแล้ว ชิงเหอจะพานางเข้าวังมาขออภัยเสด็จพี่ด้วยตนเอง"
เมื่อเอ่ยจบ ภายใต้การประคองของจือเถา องค์หญิงใหญ่ชิงเหอสะบัดแขนเสื้อ จูงเหนียนยวี่ออกจากประตูใหญ่ไป
นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้นชะงักไปครู่หนึ่ง นางกลับมารู้สึกตัวอีกที กลับเห็นเพียงแผ่นหลังของทั้งสามเดินห่างออกไปไกลแล้ว สีหน้าเลิ่กลั่กไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร
นี่...คุณหนูยวี่กลับไปเยี่ยงนี้แล้ว นาง...นางจะรายงานท่านอ๋องมู่อย่างไรดี แล้วยังฮองเฮาอวี่เหวินอีก แล้ว...
ครั้นนึกอะไรบางอย่างได้ สาวใช้มิรีรอ พรวดพราดยันตัวลุกขึ้น รีบออกจากตำหนักฉิ่น มุ่งหน้าไปยังตำหนักชีอู๋
บรรยากาศภายในตำหนักชีอู๋ ยังคงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเถ้าถ่าน
ภายในห้อง ฮองเฮาอวี่เหวินเอนกายพิงหมอนอิงใบนุ่ม ดวงตาสองข้างมองกลับออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ละสายตาอยู่นานนิจ มิรู้ว่ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่
เจินกูกูผ่านเข้าประตูมา เห็นเพียงท่าทีเช่นนี้ของนายตน
ฮองเฮา พระองค์...ทรงคิดอะไรอยู่?
และเมื่อคืนนี้...มีสิ่งใดเกิดขึ้นกันแน่?
ครั้นนึกถึงข่าวที่นางกำนัลนำมารายงาน เจินกูกูพลันขมวดคิ้ว ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ย่างเท้ามาถึงหน้าตั่ง เจินกูกูกลับรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลองเอ่ยปากหยั่งเชิงขึ้นมาว่า "ฮองเฮาเพคะ คุณหนูยวี่...องค์หญิงใหญ่ชิงเหอทรงพานางกลับไปแล้วเพคะ"
ในที่สุดพลันเกิดคลื่นสายหนึ่งพาดผ่านในดวงตาสองคู่นั้น ฮองเฮาอวี่เหวินขมวดคิ้ว เบนสายตาหันมองเจินกูกู รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “พากลับไป? ให้นางพากลับไปได้อย่างไร เปิ่นกงมิใช่สั่งไว้แล้วหรือว่าต้องพานางมาให้ได้?”
“ฮองเฮาเพคะโปรดใจเย็นก่อนนะเพคะ องค์หญิงใหญ่ชิงเหอทรงตรัสว่าคุณหนูยวี่ได้รับาเ็ พระองค์ทรงมิวางใจ เช่นนั้นองค์หญิงจึงมีพระประสงค์พากลับไปดูแลพักฟื้นก่อนเพคะ รอให้าแของคุณหนูยวี่หายดีแล้ว องค์หญิงใหญ่จะพาคุณหนูยวี่มาขออภัยด้วยตัวพระองค์เองเพคะ” เจินกูกูถ่ายทอดคำพูดของนางกำนัลคนนั้น
"หืม นางช่างเอาใจใส่กับเหนียนยวี่ผู้นี้จริงๆ " ฮองเฮาอวี่เหวินพึมพำเสียงเบา น้ำเสียงที่เอ่ยบ่งบอกอารมณ์ไม่ชัดเจนนัก
เมื่อนึกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมของจ้าวอี้กับเหนียนยวี่ สีหน้าของฮองเฮาอวี่เหวินพลันมืดลงเล็กน้อย
ครั้นสังเกตเห็นสีหน้าแววตาของฮองเฮา เจินกูกูเร่งรีบเอ่ยว่า "นางกำนัลนางนั้นบอกว่าองค์หญิงใหญ่ชิงเหอเพิ่งออกไปได้ไม่นานเพคะ บ่าวคิดว่าหากเราไล่ตามไปยามนี้ ต้องตามกลับมาได้แน่เพคะ"
เพียงแต่...ไปแย่งตัวมาจากองค์หญิงใหญ่ชิงเหอ...
“ช่างเถิด” ฮองเฮาอวี่เหวินตรัสอย่างเ็า รู้ดีว่าไม่ควรแย่งชิงคนมาจากองค์หญิงชิงใหญ่เหอ
ในเมื่อเหนียนยวี่ยังมีองค์หญิงใหญ่ชิงเหอคอยปกป้อง นางคงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้นางไป
ฮองเฮาอวี่เหวินหลับตาลง ทันทีที่หลับตา ฉากเมื่อคืนผุดขึ้นในหัว เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กน้อย ปากเสืออันดุร้าย และชายชุดดำที่เรียกร้องเอาชีวิตนาง...
นางต้องยอมรับว่าถ้าไม่ใช่เพราะเหนียนยวี่ นางคงต้องตายในสวนร้อยสัตว์แล้ว
และเหนียนยวี่...
บุตรีอนุผู้นี้ ยังทำให้นางประหลาดใจมากเช่นกัน
สตรีบอบบางเช่นนี้สามารถฆ่าเสือโคร่งที่หิวโหยได้ด้วยกำลังของตนเอง ภายใต้วงล้อมของเหล่าชายชุดดำ ยังคงล่าถอยออกมาได้ ฝีมือเช่นนั้น แม้แต่ในบุรุษในเป่ยฉี ยังนับว่าหาได้ยาก
นางมีอะไรพิเศษจริงๆ ทว่า...แล้วอย่างไรเล่า
ครั้นนึกอะไรบางอย่างได้ คิ้วของฮองเฮาอวี่เหวิน ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เื่ของเปิ่นกง มีสิ่งใดรั่วไหลออกมาหรือไม่”