“ลู่ซี คำนับท่านผู้ยิ่งใหญ่!”
ลู่ซีผู้เฝ้ารักษาอยู่ด่านสุดท้ายของเส้นทางเชื่อมหุ่นเชิดูเาคุกเข่าไหว้คำนับลง หญิงสาวชุดเสื้อคลุมแดงกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองพิเศษใดๆ ออกมา ยังคงยืนมองดูผืนน้ำอยู่ภายในสระอย่างเงียบๆ ไม่ได้ตอบรับคำ ไม่ได้หันกลับมา แต่ลู่ซีหน้าแพะกลับไม่ได้แสดงอาการตำหนิหรือไม่พอใจออกมายังคงคุกเข่าอยู่อย่างเคารพนอบน้อมเช่นเดิม
“ลุกขึ้นเถอะ!”
ผ่านไปสักพักหญิงสาวเสื้อคลุมแดงในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงไพเราะน่าฟังแต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นไอของผู้ที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน น้ำเสียงหญิงสาววัยรุ่นแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกของผู้ที่ผ่านกาลเวลามาอย่างเนิ่นนาน สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาดใจ
“ขอบคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่!” ลู่ซีใบหน้าเคร่งขรึมลุกขึ้นยืนนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หญิงสาวชุดคลุมสีแดงเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง “ลู่ซี เ้าคงไม่ตำหนิที่ข้าสั่งให้เ้าละเมิดกฎกติกาที่เ้านายของเ้าวางเอาไว้หรอกนะ!”
“ลู่ซีมิกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลู่ซีก็ไม่ได้ละเมิดกฎกติกาแต่อย่างใด ทำเพียงแค่วางเงื่อนไขที่ต่ำที่สุดในการผ่านด่านให้เขาเท่านั้นเอง ที่สำคัญที่สุดคือเด็กคนนี้สามารถได้รับแหวนจักรพรรดิิญญาของนายท่านถือว่าเป็ผู้มีบุญวาสนาอยู่ไม่น้อย อีกทั้งต่อให้เขาผ่านด่านข้าไปได้แต่ด่านต่อไปเป็นายท่านที่สร้างบททดสอบด้วยตัวเอง ถ้าหากเขาผ่านไปไม่ได้ก็ไม่ได้รับกระบี่เทพอยู่ดี ดังนั้นลู่ซีไม่ถือว่าละเมิดกฎกติกาที่นายท่านวางเอาไว้แต่อย่างใด!” ดูคล้ายกับว่าลู่ซีหวาดกลัวหญิงสาวเสื้อคลุมแดงผู้นี้เป็อย่างมาก รีบพูดอธิบายขึ้นโดยทันที
หญิงสาวเสื้อคลุมแดงถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้น “อืม ที่ข้าช่วยเขาได้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ ถ้าหากระดับความยากเพียงเท่านี้เขายังผ่านไปไม่ได้ก็เป็ได้แค่ขยะเพียงเท่านั้น! เ้าดูแลูเาสุสานทวยเทพแห่งนี้อยู่ตลอด เห็นเขาทะลวงผ่านด่านมาจนถึงตอนนี้เ้ารู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้เขาเป็อย่างไรบ้าง?”
“ถือว่าไม่เลว อย่างน้อยอยู่ที่โลกจักรวาลชั้นนอกทวีปัเพลิงแห่งนี้ ทั้งอุปนิสัยและปัญญาการรับรู้ในสรรพสิ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด ส่วนอนาคตภายภาคหน้าจะเดินไปได้ไกลเพียงใดก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวของเขาเอง...” ลู่ซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะให้คำตอบเป็กลางๆ ออกมา
“อืม...ถ้าหากเขาทะลวงผ่านทั้งสามด่านไปไม่ได้เ้าอย่าเพิ่งฆ่าเขา ทำลายวรยุทธ์ก็พอจากนั้นโยนออกมาจากูเาสุสานทวยเทพ ถ้าหากเพียงแคู่เาสุสานทวยเทพเล็กๆ แห่งนี้เขายังผ่านไปไม่ได้ เขาคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับของบางอย่างที่เขาไม่ควรจะได้รับไป”
หญิงสาวเสื้อคลุมแดงแม้จะพูดออกมาอย่างราบเรียบแต่พลังกดดันที่มองไม่เห็นที่แผ่ออกมานั้น ทำให้ลู่ซีรู้สึกราวกับว่าถูกขุนเขากดทับพร้อมกับคลื่นมหาสมุทรถาโถมเข้าใส่ แม้แต่ลมหายใจยังไม่กล้าที่จะปล่อยออกมา หญิงสาวชุดคลุมแดงเมื่อพูดจบพลันเลือนหายไปในอากาศ แม้แต่การกระเพื่อมของอากาศก็ไม่มีเกิดขึ้น เป็ที่น่าแปลกประหลาดเป็อย่างมาก
“ฮู่ว...” ลู่ซีเห็นว่าหญิงสาวเสื้อคลุมแดงเลือนหายไปแล้วถึงได้แหงนหน้าขึ้นมา จากนั้นยืนตัวตรงขึ้นส่ายหน้าไปมาอย่างอับจนปัญญา ร่างกายขยับวูบขึ้นอีกครั้งพลันกลับมาอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ด่านที่สิบสองดังเดิม
.................................
การหายตัวไปอย่างฉับพลันและการกลับมาของลู่ซีไม่ได้ทำให้เย่ชิงหานรู้สึกตัวแม้แต่น้อย สมาธิของเขายังคงจดจ่ออยู่กับการคลำหาเส้นทางััรับรู้การมีอยู่ของพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินทั้งหลาย...
เพียงแต่ พลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินนั้นมีความลึกล้ำมหัศจรรย์เหมือนสิ่งที่อยู่ในตัวของมันอย่างไรอย่างนั้น ลึกล้ำเกินจะบรรยาย เกินจะหยั่งถึง
มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนชาวนาคนหนึ่งมีโอกาสได้เข้าไปในเมือง แต่เมื่อเดินทางผ่านด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง คนเก็บเงินค่าผ่านทางบอกให้เขาอธิบายถึงชิ้นส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็รถมีอะไรบ้าง?
ชาวนาเคยแต่ทำไร่ไถนาแม้กระทั่งรถยนต์ยังไม่ค่อยได้พบเห็น แล้วอย่างนี้จะให้เขารู้ได้อย่างไร? เขาจะเข้าใจอะไรได้?
เหตุผลเดียวกัน ความรู้พื้นฐานของเย่ชิงหานมีอยู่เพียงนิดเดียว แถมอายุก็ยังน้อย พลังฝีมือกว่าจะขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ล้วนมาจากการมุมานะเพียรพยายามในการฝึกฝน บวกกับโชควาสนาดีได้พบเจอกับสิ่งมหัศจรรย์หลายครั้งหลายครา แต่ตอนนี้กลับจะให้เขามาทำความเข้าใจพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดิน นี่มันไม่ต่างจากให้คนตาบอดงมเข็มในมหาสมุทรเลยด้วยซ้ำ!
.................................
คลำหาทางทำความเข้าใจอยู่ราวครึ่งเดือนเย่ชิงหานจึงยอมยกธงขาวขึ้นอย่างจำใจ เื่นี้คงไม่สามารถจะศึกษาให้รู้ได้ง่ายๆ ในระยะเวลาอันสั้น เขาจึงตัดสินใจหยุดความคิดที่จะศึกษาทำความเข้าใจในพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินเพื่อเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขอบเขตาาจักรพรรดิเอาไว้ก่อน
ในเมื่อหนทางนี้เดินไปต่อไม่ได้ก็เหลือเพียงแค่หนทางสุดท้ายคือการฝึกฝนพลังิญญา และการจะฝึกฝนพลังิญญาได้ก็จำเป็จะต้องเข้าสู่สภาวะความสงบแห่งิญญา ดังนั้นเขาจึงเริ่มร่ายรำสี่สิบเก้ากระบวนท่าเย่หวงขึ้นเผื่อว่าโชคดีสามารถเข้าสู่สภาวะนั้นได้
เพียงแต่ หลังจากที่เจ็ดกระบวนท่าเย่หวงกลายมาเป็สี่สิบเก้ากระบวนท่าเย่หวงและสุดท้ายกลายเป็หนึ่งกระบวนท่าเย่หวงท่าตัดแยกทลายโลกา รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ฝึกต่ออีกแล้ว ภายในใจรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าถึงขีดจำกัดที่สมบูรณ์ของกระบวนท่าแล้ว ดังนั้นฝึกไปฝึกมาจึงไม่สามารถเข้าสู่ภวังค์ที่ทำให้สมาธิจดจ่ออย่างที่เคยเป็ได้อีก
ส่วนจะให้ฝึกพลังยุทธ์ พลังปราณรบที่อยู่ภายในตันเถียนก็เต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว แก่นแท้พลังตันเถียนก็เติบโตขยายใหญ่จนถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน ไม่สามารถจะเพิ่มเติมพลังปราณรบเข้าไปได้อีกแล้ว เขาจึงค้นพบเื่น่าเศร้าว่าตนเองก็ไม่สามารถฝึกฝนพลังปราณรบได้อีกเช่นกัน
เจ็ดกระบวนท่าเย่หวงไม่สามารถฝึกต่อได้ พลังยุทธ์ก็ไม่สามารถฝึกเพิ่มเข้าไปอีกเช่นกัน เย่ชิงหานจึงไม่รู้ว่าตนเองจะหาทางใดเข้าสู่สภาวะความสงบแห่งิญญาได้อีก
ฝึกยุทธ์ก็ฝึกไม่ได้ ทำความเข้าใจพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินก็ทำไม่ได้ แตกขยายกระบวนท่าก็ทำไม่ได้...เขาพลันพบว่าตนเองไม่มีอะไรให้ทำได้เลย!
“เป็อย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ไม่ต่างจากนั่งรอความตายเลย!”
ผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่งเย่ชิงหานหยุดการฝึกฝนลง แต่จะพูดว่าฝึกฝนก็คงไม่ใช่เพราะเขาแทบจะฝึกอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว ทั้งพลังยุทธ์ ทั้งการแตกขยายกระบวนท่า และทั้งการศึกษาทำความเข้าใจในพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดิน
คิดสะเปะสะปะเพ้อเจ้ออยู่เดือนครึ่ง ในที่สุดเขาก็รู้ตัวว่าหากเป็อย่างนี้ต่อไปสุดท้ายตนเองจะเป็บัาสติหลุดลอยไปเอง
ครั้นแล้วเขาจึงลืมตาขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว เมื่อเขามองเห็นลู่ซีที่นั่งอยู่ตรงข้ามดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายขึ้น ก็ได้ ในเมื่อฝึกพลังยุทธ์ไม่ได้ก็ไม่ฝึก ทำความเข้าใจในพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินไม่ได้ก็ไม่ทำ หาคนเพื่อแอบเรียนวิชาด้วยดีกว่า
ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็ถึงผู้มีพลังฝีมือระดับเทพถ้าลองได้ศึกษาเรียนรู้อะไรสักอย่างจากเขาน่าจะเป็ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ครั้นแล้วเขาจึงลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินตรงเข้าไปหาลู่ซี ใบหน้ายิ้มแย้มเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอ่อนโยนนุ่มนวล หรืออาจจะพูดว่ารอยยิ้มประจบสอพลอน่าจะถูกต้องมากกว่า
“ท่านผู้าุโ!” เย่ชิงหานรู้สึกว่าน้ำเสียงของตนเองไม่เคยอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนี้มาก่อน
“มีเื่อันใด?” ลู่ซีไม่ได้ลืมตาขึ้นแต่ทำเพียงถามออกมาอย่างราบเรียบ
“เอ่ออ...ท่านผู้าุโ ท่านไม่คิดว่าเวลาวันๆ หนึ่งผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายหรอกรึ?” เย่ชิงหานพูดหยั่งเชิงออกไปลองดูก่อน เมื่อเห็นว่าลู่ซีไม่ตอบกลับมาจึงพูดขึ้นต่อ “อืม ท่านผู้าุโท่านนั่งรักษาการณ์อยู่ทีู่เาสุสานทวยเทพแห่งนี้เป็เวลานานเท่าไรแล้ว? เคยออกไปข้างนอกบ้างหรือไม่?”
เงียบ!
ลู่ซีเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเย่ชิงหานฉะนั้น ยังคงนั่งหลับตาและไม่ตอบใดๆ กลับมา
เย่ชิงหานเห็นว่าลู่ซีไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ จึงเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา จากนั้นกระแอมออกมาสองครั้งแล้วจึงพูดขึ้น “อะแฮ่มๆ ท่านผู้าุโ ความจริงแล้ว...ความหมายของข้าก็คือวันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย พวกเราไม่มีอะไรทำมาพูดคุยเล่นกันบ้างก็ยังดี เช่น พูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ พูดคุยเกี่ยวศิลปวัฒนธรรม หรือพูดคุยเกี่ยวกับพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินอะไรพวกนี้...”
เมื่อเย่ชิงหานพูดถึงคำว่าพลังกฎเกณฑ์พลังฟ้าดิน ลู่ซีมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที เขาลืมตาเล็กและยาวขึ้นพร้อมกับปรากฏประกายสนใจออกมา “หนุ่มน้อย ไม่ต้องมาทำเ้าเล่ห์ต่อหน้าข้า อยากที่จะเรียนรู้จากข้าแบบครูพักลักจำข้าบอกได้เลยว่าไม่มีทาง แต่ว่า...ถ้าหากเ้าเบื่อไม่มีอะไรทำจริงๆ ละก็ข้าสามารถเป็คู่ซ้อมฝึกฝนให้เ้าได้!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้