บุตรชายทั้งสามของบรรดาท่านลุงต่างเข้ามาบังคนในครอบครัวให้ไปอยู่ทางด้านหลังเสิ่นกุ้ยที่เป็ช่างไม้ และทำงานอยู่ในบ้านของพวกขุนนางชนชั้นสูงเขาจึงพอรู้วิธีรับมือกับเื่ทำนองนี้มาบ้างเขาเข้ามาประสานมือคารวะชายที่เข้ามาใหม่ทั้งสองคนแล้วกล่าวว่า “นายท่านทั้งสอง พวกเราจะกล้าใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นได้อย่างไรเมื่อครู่ตอนที่พวกท่านเข้ามาก็เห็นสถานการณ์แล้วฮูหยินท่านนี้้าจะจับอาสะใภ้สามของข้าป้าใหญ่และท่านแม่ของข้าถึงได้ลงมือเพื่อป้องกันตนเองและคนในครอบครัวหวังว่านายท่านทั้งสองจะเข้าใจนะขอรับ”
กู้เจิงมองอากุ้ยอย่างชื่นชมนางคิดมาตลอดว่าญาติผู้พี่คนนี้เป็คนซื่อตรง และดูเป็คนเงียบขรึมนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีวาจาเฉียบคมเช่นนี้
“ข้าเปล่านะเ้าคะ” ฮูหยินหวังรีบกล่าวปฏิเสธในทันทีนางสะอึกสะอื้นทำทีเหมือนไม่ได้รับความเป็ธรรม “พี่ใหญ่ พี่รอง ท่านอย่าไปฟังพวกเขาพูดจาเหลวไหลเลยเ้าค่ะ”
“หุบปาก” ชายที่เงียบมาตลอดกล่าวขึ้นชายผู้นี้เป็พี่ใหญ่และเป็หัวหน้าตระกูลหวังคนปัจจุบันเขามีตำแหน่งเป็ถึงรองเสนาบดีกรมการคลัง ซึ่งเป็ผู้มีอำนาจและอิทธิพลในราชสำนักดวงตาเฉียบคมของเขากวาดมองไปที่ฮูหยินหวัง นางใจนไม่กล้าพูดอะไรอีกทำได้เพียงจ้องมองคนตระกูลเสิ่นอย่างขุ่นเคือง
รองเสนาบดีกรมการคลังนับเป็ขุนนางใหญ่ พวกท่านลุงและท่านป้าตระกูลเสิ่นรวมถึงญาติผู้พี่ทั้งสามล้วนเป็สามัญชนคนธรรมดา ไหนเลยจะกล้าสบตาพวกเขาได้แต่ยืนตัวตรงก้มหน้าไม่กล้าสบตา ในตอนนั้นเองนายหญิงเสิ่นก็หมุนตัวกลับออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ท่าทางแปลกๆ ของแม่สามี ทำให้กู้เจิงเกิดความสงสัยขึ้นแต่นางเองก็ทำอะไรไม่ได้ นางจำต้องยืนหลุบตาลงให้เหมือนกับทุกคนในนี้
“ใต้เท้าหวัง ขออภัยที่ผู้น้อยไม่ได้มาให้การต้อนรับ” เสียงของนายอำเภอิดังมาจากนอกประตู
กู้เจิงเงยหน้ามอง นางเห็นเสิ่นเยี่ยนและหวังหงเซิงเดินตามหลังนายอำเภอเข้ามาด้วย
หวังหงเซิงเมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองเขาก็แกล้งทำเป็เอามือกุมท้องตัวเอง "พี่ใหญ่ พี่รอง ในที่สุดพวกท่านก็มาเสียที”
เมื่อเห็นน้องชายไร้อนาคตผู้นี้รองเสนาบดีหวังและคุณชายรองหวังต่างก็มีสีหน้าเหนื่อยใจทว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็น้องชายของพวกตน รองเสนาบดีหวังจึงขมวดคิ้วถาม “นี่เ้าเป็อะไร?”
“ข้าโดนเขาเตะขอรับ” หวังหงเซิงชี้ไปที่เสิ่นเยี่ยน และมองเสิ่นเยี่ยนอย่างเคียดแค้น
“ผู้น้อยคารวะใต้เท้าหวัง บัณฑิตหวัง” เสิ่นเยี่ยนทำความเคารพอย่างมีมารยาทสีหน้าท่าทางของเขายังคงเยือกเย็นเหมือนยามปกติ
“นึกไม่ถึงว่าเป็ท่านเสนาธิการเสิ่นนี่เองบุคคลมากความสามารถอย่างท่าน ข้ามิกล้า” ใต้เท้าหวังกล่าวชมพร้อมลูบเคราไปด้วย เขายิ้มพลางกล่าวอีกว่า “เื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดน่าจะเป็ความเข้าใจผิด”
เสิ่นเยี่ยนรู้อยู่แล้วว่าตระกูลหวังคงไม่อยากให้เื่นี้กลายเป็เื่ใหญ่เขาจึงเอ่ยว่า “แต่เมื่อครู่ท่านหวังหงเซิงได้กล่าวอย่างมั่นใจต่อหน้านายอำเภอว่าเื่นี้ไม่ใช่การเข้าใจผิดนะขอรับ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ความเข้าใจผิด” หวังหงเซิงถูกข่มขู่ด้วยตำแหน่งป๋อเจวี๋ยและตวนอ๋องแต่พี่ชายคนโตของเขาก็มีตำแหน่งเป็ถึงรองเสนาบดีกรมการคลังและยังได้รับความความสำคัญจากฮ่องเต้อีกทั้งพี่รองก็ยังเคยเป็ถึงพระอาจารย์ขององค์รัชทายาทถ้าเช่นนั้นเขายังจะต้องกลัวอะไรอีก
หวังหงเซิงชี้ไปยังป้าสามด้วยสีหน้าดูแคลน “นางคือเยียนเหมยจากหอจือเซียงขอรับ ข้าเป็ผู้ชายคนแรกของนางนางยังตั้งครรภ์ลูกของข้าด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินว่านางตายไปแล้วข้าก็คงรับนางมา...”
หวังหงเซิงยังไม่ทันจะพูดจบประโยคดีก็โดนรองเสนาบดีหวังตบหน้าอย่างแรง เขาโมโหจนทั้งร่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว “หุบปากซะ”
ทุกคนในตระกูลเสิ่นมองอย่างตกตะลึงพวกเขาคาดไม่ถึงว่าหวังหงเซิงจะโดนตบหน้า
“พี่ใหญ่ ท่านตบสามีข้าทำไมเ้าคะ?” ฮูหยินหวังภรรยาของหวังหงเซิงใมากนางไม่เคยเห็นพี่ใหญ่โมโหขนาดนี้มาก่อน
“พี่ใหญ่” หวังหงเซิงไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาได้แต่เอามือกุมหน้าไว้
จู่ๆ กู้เจิงพลันนึกถึงคำพูดของตวนอ๋องที่ได้เคยพูดกับนางไว้ ‘เปิ่นหวังได้เลือกสตรีนางหนึ่งให้เขา เป็บุตรีสกุลหวังตระกูลขุนนางบัณฑิตเก่าแก่อายุร้อยปี’ สกุลหวังที่ว่านี้คงไม่ใช่สกุลหวังที่อยู่ตรงหน้านางกระมัง? เป็บุตรีของของรองเสนาบดีหวังคนนี้น่ะหรือ?
“เ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? นั่นคือสะใภ้สามของตระกูลเสิ่น เ้าตาบอดหรือไง?” รองเสนาบดีหวังอยากจะตบหน้าเ้าน้องสามผู้โง่เง่านี้อีกสักรอบเหลือเกิน “เ้าดูให้ชัดๆ ว่าเ้าจำคนผิดไปแล้วใช่หรือไม่?”
พี่ชายรองสกุลหวังรีบส่งสัญญาณให้น้องสามของเขารับคำตามที่พี่ใหญ่พูดหวังหงเซิงกลัวพี่ใหญ่คนนี้เสมอมา ไหนเลยจะกล้าขัดคำสั่ง เขารีบพยักหน้าทันที “ข้า เป็ข้าจำผิดเองขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นรองเสนาบดีหวังจึงหันไปหาเสิ่นเยี่ยน “ท่านเสนาธิการเสิ่นอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยน้องสามคนนี้ของข้าเลอะเลือนมาแต่ไหนแต่ไร มักจะจำคนผิดอยู่บ่อยๆวันหน้าข้าจะให้เขาไปขอโทษทุกคนในตระกูลของท่านอย่างแน่นอน”
กู้เจิงไม่คิดว่าเื่จะจบแบบนี้นางรู้สึกว่าจะยอมไม่ได้ที่ตนเองได้ถูกหวังหงเซิงล่วงเกินด้วยวาจา นางจึงเดินไปหาเสิ่นเยี่ยนใบหน้างดงามแสร้งเอ่ยด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านพี่เ้าคะ แล้วที่คุณชายสามผู้นี้ล่วงเกินข้าด้วยคำพูดทำให้ข้าต้องถูกดูิ่หยามเกียรติ ท่านจะจัดการอย่างไรเ้าคะ?”
พอได้ยินภรรยามาพูดเช่นนี้ ด้วยในฐานะสามีและบุรุษ ใบหน้าของเสิ่นเยี่ยนจึงเปลี่ยนเป็ถมึงทึงในชั่วพริบตาเขาตบหลังภรรยาเบาๆ เพื่อปลอบประโลม ก่อนจะมองไปที่หวังหงเซิงด้วยสายตาเ็าเขาเอ่ยกับใต้เท้าหวังว่า “เื่นี้ขอใต้เท้าหวังโปรดให้ความเป็ธรรมแก่ภรรยาข้าด้วยขอรับ”
รองเสนาบดีหวังคิ้วกระตุกเขามองกู้เจิงที่แสร้งก้มหน้าลงด้วยท่าทีปวดร้าวคุณหนูใหญ่แห่งจวนป๋อเจวี๋ยที่ทำเช่นนี้เป็เพราะ้าให้เสิ่นเยี่ยนขัดแย้งกับตระกูลหวังหรือ? แม้ว่าเขาจะไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของกู้เจิง แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้อีกฝ่ายประทับใจสักหน่อยเมื่อคิดได้เช่นนี้ รองเสนาบดีหวังจึงหันไปพูดกับนายอำเภอ “ใต้เท้าิ ตามกฎของแคว้นต้าเยว่การดูิ่เกียรติของสตรีที่ออกเรือนไปแล้วจะต้องถูกลงโทษอย่างไรขอรับ?”
ใต้เท้าิหันมองซ้ายทีขวาที ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ล้วนแล้วแต่ล่วงเกินไม่ได้ทั้งนั้นแต่รองเสนาบดีหวังถามขึ้นแล้ว เขาจึงฝืนใจตอบว่า “โบยยี่สิบไม้กระดานตามระเบียบเพื่อเป็การตักเตือนขอรับ”
“เช่นนั้นแล้วเ้าจะยังยืนนิ่งอยู่ทำไม? ลากไปโบยยี่สิบไม้เสียสิ” รองเสนาบดีหวังกล่าวสั่ง
“พี่ใหญ่?” หวังหงเซิงแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง
“นำตัวออกไป”
รองเสนาบดีหวังคำรามออกมาทหารจึงรีบมานำตัวหวังหงเซิงไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านนอก
ภายในห้องเงียบสงัดลง ได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนของหวังหงเซิง
กู้เจิงลอบชำเลืองมองรองเสนาบดีหวังผู้นี้น้องชายของเขาร้องคร่ำครวญอย่างน่าเวทนาขนาดนี้กลับยังคงทำท่าทีไม่สะทกสะท้านการกระทำของเขาแสดงถึงความยุติธรรมก็จริงแต่ผู้นำตระกูลหวังจะเป็คนเที่ยงธรรมเช่นนี้จริงๆ น่ะหรือ? หรือเขาจะแสร้งทำเพื่อให้เสิ่นเยี่ยนเห็น? กู้เจิงเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน
หลังโดนโบยไปยี่สิบไม้หวังหงเซิงไหนเลยจะเดินเหินได้ ภรรยาของเขาร้องไห้จนสลบไปในที่สุด
การโบยยี่สิบไม้นี้ถือได้ว่าสิ้นสุดบุญคุณความแค้นของทั้งป้าสามและลุงสาม
ข้างนอกท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ไม่รู้ว่าฝนหยุดตกั้แ่เมื่อไหร่มีเพียงหิมะที่ยังตกอยู่ คนในตระกูลเสิ่นจึงรีบพากันกลับบ้าน
ภายในรถม้า สีหน้าของป้าสามยังดูเลื่อนลอยอยู่บ้างใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ป้าใหญ่ตบมือนางเบาๆ พลางกล่าวปลอบ “อยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ อย่าอดกลั้นไว้เลย”
“ใช่ อยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ” ป้ารองก็ช่วยปลอบด้วย
นายหญิงเสิ่นพูดอย่างอ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้สาม พวกเรามาเป็สะใภ้ด้วยกันได้ ล้วนเป็ชะตาลิขิตท่านไม่เพียงมีพี่สามคอยปกป้อง แต่ยังรวมถึงพวกเราด้วย”
“ขอโทษ ข้าขอโทษ” ป้าสามร้องไห้เสียงดังนางร้องปลดปล่อยความเ็ปอันแสนทุกข์ใจออกมา
รถม้าจอดรอเหล่าท่านลุงที่พากันเดินกลับอยู่ที่ทางเข้าตรอกเมื่อท่านลุงมาถึงเหล่าท่านป้าก็เดินกลับบ้านพร้อมสามี
เนื่องจากไม่ได้กินข้าวเย็นเพราะที่งานเลี้ยงมีเื่วุ่นวายขึ้น พอถึงบ้านนายหญิงเสิ่นจึงรีบเอาขนมเข่งในโอ่งใหญ่ออกมาทำอาหาร เสิ่นเยี่ยนจึงไปเก็บผักส่วนชุนหงก็นำหัวไชเท้าดองกับผักดองมาหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ
เมื่ออาหารเสร็จ ด้วยความที่ทุกคนต่างหิวโซ จึงกินอย่างเพลิดเพลินเอร็ดอร่อย
“ข้าคิดว่าหนี้แค้นในใจของพี่สะใภ้สามนับว่าได้ถูกสะสางแล้วพี่สามบอกว่าหลังกลับไปก็จะคุยกันเื่ที่นางไม่อาจมีลูกได้” นายท่านเสิ่นกินอาหารพร้อมบอกเล่าไปด้วย “ตอนที่พี่สะใภ้สามแท้งบุตรก็ต้องรักษาตัวอยู่นาน เ้าหวังหงเซิงนั่นมันช่างชั่วช้าจริงๆ”
“ในเมื่อใต้เท้าหวังทำเช่นนี้แล้วต่อจากนี้ไปตระกูลหวังก็คงไม่มาสร้างเื่อะไรให้เราอีก” นายหญิงเสิ่นสำทับ
กู้เจิงที่นั่งฟังมาตลอด นางกล่าวขึ้นมาบ้างว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ตระกูลหวังนี้เหมือนจะเป็ตระกูลบัณฑิตเก่าแก่ร้อยปีที่ตวนอ๋องพูดถึงถึงข้าว่าวันหน้าอาจจะมีปัญหากันอีกแน่เ้าค่ะ”