“ข้าตระกูลหลิวจากตะวันตกเฉียงใต้ หลิวอิงเผิง”
หลัวฉี่หน้าตาธรรมดา รวมถึงรอยยิ้มของเขาด้วย ต่อให้จะเป็รอยยิ้มถ่อมตนและอ่อนโยนเป็มิตรสักเพียงไร แต่ก็ธรรมดาเสียจนไม่อาจดึงดูดใจคนได้ “ข้าหลัวฉี่ หวังว่าพี่หลิวจะช่วยชี้แนะด้วย”
และแน่นอน ต่อให้จะหน้าตาธรรมดาสักเพียงไร แต่ชื่อนี้ก็เสนาะกังวานเป็อย่างยิ่ง
หลิวอิงเผิงรีบตอบว่า “พี่หลัวเกรงใจไปแล้ว ข้าหากล้าชี้แนะท่านไม่ ทั้งยังหวังให้พี่หลัวช่วยยั้งมือไว้ไมตรีเสียด้วยซ้ำ”
หลัวฉี่ยิ้มอย่างถ่อมตัวอีกครั้ง
ตระกูลหลิวเองก็ถือเป็ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง เมื่อเทียบกับตระกูลหลัวจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วจะยังห่างชั้นอีกมาก แต่ก็ถือว่าได้รับการเคารพยำเกรงมากเช่นกัน หลิวอิงเผิงได้รับการสั่งสอนอย่างเคร่งครัด ตัวเขาเองก็รู้ความและใฝ่หาความก้าวหน้าเป็อย่างมาก เขายังอายุน้อยกว่าพวกคุณชายเสเพลหวางฮวายเหล่ยหรือเฉินเปิ่นฉีอยู่หลายปี แต่กลับได้เื่ได้ราวกว่าสองคนนี้มาก อายุเพียงแค่นี้ก็เริ่มช่วยบิดาของตนเองดูแลจัดการเื่ในตระกูลแล้ว ไม่ว่าจะเื่ใดก็ล้วนเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือใคร ถึงแม้จะบอกว่าบนแผ่นดินใหญ่นี้ยังมีชื่อเสียงสู้หลัวฉี่ไม่ได้ แต่หลิวอิงเผิงก็ยังค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงส่วนใหญ่ก็เพราะตระกูลหลิวค่อนข้างถ่อมตนเก็บตัว นิสัยเขาเองก็นิ่งเงียบหนักแน่น น้อยนักที่จะออกไปโลดแล่นท้าทายอยู่ที่ภายนอก
ดังนั้นการที่ได้มาเจอกับยอดฝีมือเช่นหลัวฉี่นี้...แม้หลิวอิงเผิงภายนอกจะดูเกรงกลัว แต่ก็ฮึกเหิมด้วยเช่นกัน
เทียบกับผู้เข้าประลองบนเวทีที่ไม่ว่าจะสงบนิ่งจริงหรือหลอกแล้ว ด้านล่างเวทีนั้นกลับตื่นเต้นกันอย่างที่สุด ในหมู่คนหนุ่มรุ่นเยาว์ด้วยกันนี้ หลัวฉี่นับว่าเป็คนที่มีชื่อเสียงน่าเกรงขาม คนบนแผ่นดินใหญ่ที่เคารพเชิดชูเขาก็มีมาก ที่ริษยาเขาก็มีไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะเป็ความรู้สึกแบบใดก็ล้วนเป็การรับรองว่าเขาได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของกลุ่มคน ต่อให้หน้าตาจะไม่โดดเด่นสักเพียงไร ก็ยังสามารถดึงดูดให้ทุกคนส่งสายตาไปทางหลัวฉี่ได้
โดยไร้ข้อกังขาใดๆ หลัวฉี่ถือว่าเป็จ่าฝูงในหมู่เด็กรุ่นเยาว์รุ่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่มุมใดของแผ่นดินใหญ่นี้ก็ล้วนต้องเคยได้ยินชื่อแซ่ของเขามาบ้าง หนุ่มน้อยอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินใหญ่นี้ได้ซึมลึกเข้าสู่หัวใจของผู้คนไปนานแล้ว ส่วนการประลองครั้งนี้ เวทีประลองของหลัวฉี่ก็ถูกผู้คนล้อมไว้ถึงสามชั้นทั้งนอกและใน นอกจากพวกอ๋าวหรานที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ สนามประลองของเหยียนเฟิงเกอ รวมถึงพวกทางเต๋อรั่วที่ยืนอยู่นอกวงแล้ว คนที่เหลือก็ล้วนมุ่งไปที่สนามประลองของหลัวฉี่ทั้งหมด
กับหลิวอิงเผิงที่ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงนั้น คนทั่วไปแสดงออกว่าเห็นใจเขาอย่างชัดเจน แค่รอบแรกก็ต้องเจอกับหลัวฉี่เสียแล้ว โชคไม่ดีจริงๆ ที่ต้องจบั้แ่ยังไม่เริ่ม
จิ่งจื่อเขย่งปลายเท้าแล้วยืดคอ “คนพวกนี้บ้าคลั่งเกินไปแล้ว บังมิดจนมองอะไรไม่เห็นเลย”
อ๋าวหรานชี้ไปที่ต้นไม้สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งที่อยู่ข้างสนามประลอง “ไปยืนบนต้นไม้สิ”
จิ่งจื่อครุ่นคิดแล้วจึงพยักหน้าตอบว่า “ข้าจะไปสืบดูว่าเ้าหลัวฉี่ผู้นี้แค่เล่าลือกันหรือว่าเก่งจริง แล้วค่อยกลับมารายงานพวกเ้า”
จิ่งเซียงเองก็มีสีหน้าใคร่รู้ “รีบไปๆ อย่าให้ผู้อื่นแย่งไปได้”
ระหว่างที่พูดก็เริ่มมีคนทยอยขึ้นไปบนต้นไม้แล้ว ผู้อื่นก็ชะเง้อมองไป คิดว่าคงมีความคิดแบบเดียวกัน จิ่งจื่อก็ไม่มีเวลามาค่อนแคะจิ่งเซียงว่าเอาแต่นั่งรอสบายๆ แล้วรีบพุ่งขึ้นไป
มีจิ่งจื่อคอยช่วยสืบดูความสามารถของหลัวฉี่ พวกเขาจึงรอคอยได้อย่างสบายใจอยู่ที่หน้าเวทีประลองของเหยียนเฟิงเกอ บรรยากาศที่ไม่มีผู้คนมามุงดูมากนักทำให้หวางฮวายเหล่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องแพ้จนเป็ที่ล่วงรู้กัน ต่อให้สุดท้ายแล้วเมื่อประกาศผลออกมา ทุกคนจะรับทราบกันหมดก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องเห็นรายละเอียดตอนแข่ง
ชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าเวทีตีกลองเพื่อบอกว่าเริ่มการประลองได้ หวางฮวายเหล่ยทักทายอย่างสั่นกลัว “ข้า...ข้าหวางฮวายเหล่ย”
เหยียนเฟิงเกอตอบกลับอย่างเ็า “เหยียนเฟิงเกอ โปรดชี้แนะด้วย”
หวางฮวายเหล่ยแทบจะน้ำตานองหน้าอยู่แล้ว พี่ชาย ท่านอยู่ระดับใด ข้าล้วนเคยเห็นมาแล้ว เร็วจนเห็นแค่เงาถึงเพียงนั้นจะให้ข้าชี้แนะอะไรได้ หวางฮวายเหล่ยรอยยิ้มแข็งค้างไปสนิท “พี่...พี่เหยียนเกรง...เกรงใจเกินไปแล้ว”
จิ่งเซียงใช้นิ้วม้วนผมตัวเองเล่นรอบแล้วรอบเล่า ค่อนแคะหวางฮวายเหล่ยว่า “รอยยิ้มของหวางฮวายเหล่ยนี่ปลอมเกินไปหรือไม่?”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “คาดว่าครั้งที่แล้วตอนที่ศิษย์พี่กับจิ่งฝานประลองกันคงทำให้เขาตกตะลึงเป็อันมาก”
อ๋าวหรานเพิ่งพูดจบ หวางฮวายเหล่ยที่อยู่บนเวทีก็ประสานมือคารวะ ทำสีหน้าต่อรอง “พี่...พี่เหยียน หวัง...หวังว่าจะช่วยยั้งมือไว้ไมตรี”
ถึงแม้เหยียนเฟิงเกอจะมีนิสัยเ็าและดื้อรั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจความรู้สึกผู้คนไปเสียทั้งหมด ความฉลาดทางปัญญาและอารมณ์ที่ควรมีเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด ก็แค่ในเวลาปกติส่วนใหญ่มักจะี้เีพูด คร้านจะสนใจก็เท่านั้น สำหรับท่าทางเช่นนั้นของหวางฮวายเหล่ย เขาย่อมเข้าใจดี ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบที่คนผู้นี้มีจิตใจคิดไม่ซื่อต่ออ๋าวหราน แต่อย่างน้อยคนหนุนหลังคนผู้นี้ก็มีอำนาจใหญ่พอควร เหยียนเฟิงเกออยู่เฉยๆ ดีๆ เขาก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับคนใหญ่คนโตมากนัก
ดังนั้นพอหวางฮวายเหล่ยพูดจบ เหยียนเฟิงเกอก็พยักหน้าน้อยๆ เพื่อแสดงออกว่าตกลง เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้น หวางฮวายเหล่ยก็เบิกบาน ยิ้มร่าออกมาอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่เหยียนแล้ว”
จิ่งเซียงปากอ้าตาค้าง “แบบ...แบบนี้ก็ได้หรือ?”
อ๋าวหรานยื่นมือไปจับเส้นผมที่ยาวสลวยของจิ่งเซียง ตอนนี้มาได้ยินคำพูดของหวางฮวายเหล่ยก็แสดงท่าทางไม่อยากจะเชื่อออกมา เส้นผมในมือค่อยๆ ปลิวขึ้นแล้วสยายตัวตกลงมาสะท้อนกับแสงแดด แกมไปด้วยสีทองอ่อนๆ
จิ่งเซียงจ้องหวางฮวายเหล่ยอยู่นานจึงพูดขึ้นอย่างรังเกียจว่า “อย่างน้อยเขาก็เป็ลูกชายของหวางชวน ตระกูลหวางถือเป็ตระกูลใหญ่ระดับหนึ่งเชียวนะ เหตุใดเขาถึงไร้ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเช่นนี้?”
อ๋าวหรานหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “อย่ารังเกียจถึงขนาดนั้นสิ อย่างไรเสียจะให้แพ้อย่างน่าอนาถั้แ่รอบแรกมันก็กระไรอยู่ อย่างน้อยก็ให้พอสู้ได้บ้างจะได้ไม่ขายหน้าจนเกินไป”
จิ่งเซียงหมดคำจะพูด “แล้วมันต่างกันอย่างไร? แบบนี้ก็ยิ่งอับอายผู้คนมากกว่าเดิมอีก”
หวางฮวายเหล่ยไม่สนใจคำซุบซิบนินทาของพวกจิ่งเซียง อย่างไรเสียก็ล้วนเป็คนบ้านเดียวกัน เื่น่าขายหน้าในบ้านจะอย่างไรพวกเขาก็คงไม่แพร่งพรายออกไป ขอแค่ผู้อื่นไม่รู้เป็พอ
หวางฮวายเหล่ยดึงกระบี่ออกมาแล้วยิ้มอย่างประจบ “พี่เหยียน ถ้าเช่นนั้นข้าจะขอเริ่มก่อน”
ถึงแม้เหยียนเฟิงเกอจะไม่ตอบรับ แต่ก็แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่า 'เชิญเถิด' หวางฮวายเหล่ยแทบจะไม่ได้ออมมือเลย ใช้แรงมากที่สุดั้แ่เกิดมา รวบรวมสมาธิไว้สูงสุด ถึงแม้เหยียนเฟิงเกอจะรับปากว่าจะยั้งมือไว้ไมตรี แต่จะไว้ไมตรีมากน้อยเพียงใดก็รับประกันไม่ได้ อย่างไรเสียแสดงพลังออกมาทั้งหมดก็น่าจะเป็การปลอดภัยไว้ก่อน
หวางฮวายเหล่ยจิตสังหารพลุ่งพล่าน ส่วนทางด้านเหยียนเฟิงเกอนั้นไม่ขยับแม้เพียงนิด และไม่แม้แต่จะชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำ ถึงเหยียนเฟิงเกอจะยังไม่ชัดเจนในความสามารถของหวางฮวายเหล่ย แต่เขารู้แน่ชัดอย่างยิ่งเื่ความสามารถของตัวเอง เขาค่อนข้างมั่นใจเื่การสังเกตความสามารถของผู้อื่น ั้แ่ที่หวางฮวายเหล่ยชักกระบี่จนถึงตอนที่เขาพุ่งเข้ามา แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เขาก็รู้ว่าคนผู้นี้กำลังภายในไม่สูงนัก ก้าวย่างค่อนข้างหนักอึ้ง เห็นมุมที่เขาจะโจมตีกลับอย่างง่ายดายได้แต่ไกล สำหรับความสามารถเท่านี้ เหยียนเฟิงเกอไม่มีความจำเป็ต้องชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำ
เขาพยายามกดกำลังภายในลงไป ในตอนที่ปลายกระบี่ของหวางฮวายเหล่ยกำลังจะมาถึงปลายจมูกของตัวเอง เหยียนเฟิงเกอถึงค่อยๆ ยกมือขึ้น กำลังภายในที่ถูกเขากดลงไปจนแทบจะไม่เหลือกลับไปรวมกันอยู่ที่ปลายนิ้ว สองนิ้วเรียวยาวนั้นค่อยๆ หนีบไปที่กระบี่แหลมคมของหวางฮวายเหล่ยทำให้เกิดเสียงเสนาะกังวานออกมา กระบี่สีเงินราวกับหิมะนั้นโค้งงอออกไปในทันใด มือที่ถือกระบี่อยู่ของหวางฮวายเหล่ยก็สั่นอย่างรุนแรง ความชาและเจ็บแปลบราวกับไฟช็อตส่งไปถึงฝ่ามือ แล้วส่งต่อไปยังแขน สุดท้ายราวกับจะพุ่งไปรวมกันที่หัวใจ หวางฮวายเหล่ยสั่นสะท้านไปทั้งตัว กระบี่ในมือตกลงบนพื้นดัง ‘เพล้ง…’
การใช้กำลังภายในปกป้องร่างกายเป็สิ่งที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ทุกคนต่างทราบกันดี แต่หวางฮวายเหล่ยอยู่ที่ภาคตะวันตกมาั้แ่เด็ก ที่นั่นเป็เขตอิทธิพลของตระกูลเขา คนที่กล้ามาหาเื่เขาเกรงว่ายังไม่ทันมาถึงตัวก็คงถูกทำลายย่อยยับไปก่อนแล้ว ต่อให้มาถึงตรงหน้าเขา เขาก็ยังไม่ต้องลงมือเอง ข้างกายเขานอกจากจะมีผู้ติดตามอยู่สองสามคนแล้ว ในที่ลับก็ยังมียอดฝีมืออีกหลายคนที่หวางชวนส่งมาคุ้มกันเขา ดังนั้นถึงแม้หวางฮวายเหล่ยจะถูกหวางชวนบังคับให้เรียนวรยุทธ์ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจสักเท่าไร
การใช้กำลังภายในปกป้องตัวเองนี้ ถึงแม้เขาจะรู้จักเช่นกัน แต่มักไม่ค่อยได้ใช้ รอจนถึงตอนที่กำลังภายในอันน้อยนิดของเหยียนเฟิงเกอพุ่งเข้าโจมตีร่างกายของเขานั่นแหละถึงได้คิดถึงเื่นี้ขึ้นมา แต่ว่าแค่กำลังภายในอันน้อยนิดของเขานั้น ต่อให้เหยียนเฟิงเกอจะกดพลังลงไปมากแล้ว เกรงว่าหวางฮวายเหล่ยก็คงยังป้องกันไว้ไม่ไหวอยู่ดี แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
ชัดเจนว่าเหยียนเฟิงเกอเองก็คิดไม่ถึง น่าเสียดายที่เขาดึงกลับมาไม่ทันแล้ว เพียงยื่นนิ้วไปแตะที่บ่าของหวางฮวายเหล่ย คนผู้นี้กลับถูกซัดจนกระเด็นออกไปไกลแล้วร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างแรง ใบหน้าของเหยียนเฟิงเกอที่ปกติไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏความอึ้งค้างออกมาอยู่หลายส่วน ชัดเจนว่าคงไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก
แรงที่เขาใช้ครั้งนี้มีแค่ประมาณหนึ่งในสามของแรงตอนที่ใช้ประมือกับจิ่งจื่อ หากความสามารถที่แท้จริงของเขาเป็ดั่งูเาน้ำแข็ง นี่ก็แค่หลืบมุมเล็กๆ มุมหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่าเ้าหวางฮวายเหล่ยนี่จะอ่อนแอถึงเพียงนี้ แค่กระบวนท่าที่ไม่หนักไม่เบาเพียงกระบวนท่าเดียวของเขาก็ยังรับมือไม่ได้
ไม่เพียงแค่เหยียนเฟิงเกอ จิ่งเซียงเองก็ตกตะลึงจนส่งเสียงออกมา จู่ๆ ก็พูดไม่ออกไปทันใด
เซี่ยเหวินเอ่อที่ยืนอยู่ไกลๆ ยิ้มแล้วมองไปทางเหยียนเฟิงเกอ เขาผู้นี้เกิดมามีหน้าตาลักษณะดี ต่อให้ในสายตาจะมีความหวาดระแวงและประสงค์ร้ายต่อเหยียนเฟิงเกอ อีกทั้งยังมีแววตาสนุกสนาน มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น แต่ใบหน้าก็ยังยิ้มออกมาได้อย่างอ่อนโยนนุ่มนวล “เฮ้อ มิน่าเล่าหวางฮวายเหล่ยถึงได้บอกว่าคนผู้นี้ร้ายกาจ ดูเอาเถิด เขาไม่แม้แต่จะชักกระบี่ด้วยซ้ำ คุณชายหวางก็ถูกซัดออกไปนอกเวทีเสียแล้ว”
เมื่อก่อนสวีหรงฉี่ก็เคยได้ยินชื่อของเซี่ยเหวินเอ่อ เคยได้ยินเื่พร์ของเขามาบ้าง ครั้งแรกที่เจอกันก็รู้สึกว่าคนผู้นี้ดูราวกับพวกหนอนหนังสือหัวอ่อน แต่หลังจากที่ได้เห็นเขาประลองแล้วนั้นก็รู้สึกว่าคนผู้นี้ภายนอกกับภายในช่างต่างกันลิบลับ “เมื่อสักครู่ พี่เซี่ยเองไม่ใช่ว่าก็ทำเช่นนี้เหมือนกันหรอกหรือ?”
เซี่ยเหวินเอ่อรีบพูดแย้มยิ้ม ทำสีหน้าราวกับว่าตนเองเป็ผู้บริสุทธิ์ “นั่นข้าใช้แรงไปเต็มที่แล้ว ส่วนคุณชายเหยียนผู้นี้ชัดเจนว่าคงแอบซ่อนพลังส่วนใหญ่เอาไว้”
ถึงแม้สวีหรงฉี่จะรู้สึกดูถูกเหยียดหยามท่าทางบริสุทธิ์ดีงามของเซี่ยเหวินเอ่อ แต่ก็ไม่อาจไม่ใส่ใจกับคำพูดของเขาได้ บนแผ่นดินใหญ่นี้มียอดฝีมือที่เป็เสือซ่อนัเร้นอยู่มากมาย เหยียนเฟิงเกอไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด เขาจึงคาดเดาพลังที่แท้จริงของคนผู้นั้นไม่ออก ในใจอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเหยียนเฟิงเกอผู้นี้สู้กับเขาขึ้นมาจะเป็เช่นไร
สวีหรงฉี่ “ตระกูลเหยียนบนแผ่นดินใหญ่นี่มันตระกูลใด? เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
เซี่ยเหวินเอ่อยิ้มน้อยๆ “ไม่ว่าแซ่เหยียนจะมีชื่อเสียงหรือไม่ก็ไม่ได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับคุณชายผู้นี้ คุณชายเหยียนผู้นี้เป็กำพร้า เติบโตมาในตระกูลอ๋าวที่เพิ่งถูกฆ่าล้างตระกูลไปั้แ่เด็ก แล้วยังเป็ศิษย์พี่ของคุณชายอ๋าวคนเมื่อเช้าอีกด้วย”
แค่ได้ยินว่าตระกูลอ๋าว ทางเต๋อรั่วที่ยืนนิ่งเงียบอยู่อีกด้านก็เงยหน้าขึ้นมาทันที
สวีหรงฉี่ถามอย่างสงสัย “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
เซี่ยเหวินเอ่อแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา “เมื่อครู่ข้าให้คนไปสืบข่าวมา”
สวีหรงฉี่อดสูดหายใจลึกๆ ในใจไม่ได้ พูดตามจริงแล้วตอนที่หวางฮวายเหล่ยพูดจบว่าเหยียนเฟิงเกอแข็งแกร่งนั้น พวกเขาล้วนไม่เก็บมาใส่ใจ และไม่คิดจะไปสืบหาข้อมูลใดๆ แต่เ้าเซี่ยเหวินเอ่อผู้นี้กลับไปสืบมาโดยเฉพาะ คนผู้นี้ว่างเกินไปหรือมีความคิดซับซ้อนมากเกินไปกันแน่?
แต่เมื่อเทียบกับความระแวดระวังที่สวีหรงฉี่มีต่อเซี่ยเหวินเอ่อแล้ว ความสนใจทั้งหมดของทางเต๋อรั่วกลับอยู่ที่คำว่า 'ตระกูลอ๋าว' เขาซึ่งไม่เคยต่อบทสนทนาใดๆ จู่ๆ ก็หันไปมองเซี่ยเหวินเอ่อแล้วถามว่า “ตระกูลอ๋าวไม่ใช่ว่าเหลือแค่อ๋าวหรานคนเดียวหรือ? เหตุใดจึงยังมีเหยียนเฟิงเกออยู่อีกคน?”
เซี่ยเหวินเอ่อส่งสายตาไปยังทางเต๋อรั่ว “เื่นั้นข้าเองก็หารู้ไม่แล้ว แต่ว่า...”
ดวงตาโค้งมนคู่นั้นของเซี่ยเหวินเอ่อกลับหรี่ลง “คุณชายทางสนใจตระกูลอ๋าวอยู่หรือ?”
คำถามจี้จุดของเขานี้ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของทางเต๋อรั่วเปลี่ยนไปเลย ดวงตาที่เคลือบสีแดงอ่อนๆ นั้นยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติงดังเดิมราวกับไม่สนใจแม้แต่น้อย “ก็แค่ถามดู”
เซี่ยเหวินเอ่อหรี่ตามองเขาอยู่เป็นานก็ยังมองอะไรไม่ออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้