เก๋อจือผู้ไร้หัวจิตหัวใจแทบจะเปลื้องผ้าล่อนจ้อน สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวหลวมเดินไปเดินมาในห้องรับรอง ทางด้านลาถีเท่อที่แสร้งทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอยู่ด้านข้าง เหลือบมองกายท่อนบนขาวผ่องของเก๋อจือเป็ครั้งคราว
ครั้นเห็นฉากเงียบสงัดไร้ซึ่งบทสนทนาตรงหน้า โม่จ้านหัวเราะเสียงดัง ‘อุ๊บ’ ออกมาอยู่พักหนึ่ง เห็นทีเ้าหนุ่มเผ่าหมานจะรักเ้าเด็กผมแดงจากใจจริง มิเช่นนั้นด้วยรูปร่างที่แตกต่างกันของคนทั้งสอง หากลาถีเท่ออดใจมิไหวกระโจนเข้าไปกินอาหารคาว คาดว่าเก๋อจือคงจะคว้าไม้คทามิทันเสียด้วยซ้ำ
ด้วยระดับความกำยำของร่างกายลาถีเท่อ หากไปอยู่ในโลกจอมยุทธแฟนตาซีสักแห่ง ร่างกายเช่นนี้นับได้ว่าเป็โครงร่างชวนตะลึงและนับเป็ร่างกายทรงพลังอันดับต้นๆ เมื่อดูจากยามนี้ มิใช่เพียงไม่มีปัจจัยในการฝึกฝน ทุกคนยังได้รับผลกระทบจากคำโฆษณาของพวกผู้ควบคุมดูแล ล้วนแต่ถูกความคิดที่ว่าเวทมนตร์คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งผูกมัดเอาไว้
เพราะเหตุใดอาณาจักรจึงได้เทิดทูนเวทมนตร์ถึงเพียงนี้? ไม่ต้องคิดก็พอคาดเดาได้ พลังเวทธาตุสำคัญหลายธาตุมีการรุกและรับที่โดดเด่นแตกต่างกันไป อีกทั้งยังมีขอบเขตพลังที่กว้างขวาง กองทัพที่มีจอมเวทระดับสูงแม้เพียงไม่กี่คนก็เพียงพอต่อการคุ้มครองความปลอดภัยของชีวิตแล้ว ถึงขั้นสามารถเป็ฝ่ายควบคุมสถานการณ์การรบ เมื่อเทียบกันแล้ว ต่อให้วิชาดาบจะเชี่ยวชาญมากเพียงใด กำแพงเมืองจะแข็งแกร่งมากเพียงไหน หากอาศัยเพียงอาวุธเย็นของกองทัพย่อมมิอาจเป็ฝ่ายได้เปรียบ ด้วยเพราะไม่มีโอกาสได้เข้าประชิดตัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ในใจของผู้ที่ ‘ทำงานตรงสาย’ อย่างโม่จ้านเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า วิธีพูดเพื่ออุดปากคนเช่นนี้เหมาะจะใช้เพียงในระดับอาณาจักรและกองทัพเท่านั้น
ตนได้รู้จากยามพูดคุยกับเก๋อจือว่าการจะผ่านการประเมินจอมเวทระดับกลางหรือไม่ขึ้นอยู่กับระดับมาตรฐานเท่านั้น กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ เป็เพียงการพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้เข้ารับการประเมินมีระดับความสามารถถึงระดับจอมเวทระดับกลาง ทว่าจะเป็ระดับใดในการรบนั้นยังต้องเขียนเครื่องหมายคำถามหลายตัว คล้ายกับนักเรียนจำนวนหนึ่งที่ ‘เชี่ยวชาญการสอบ’ คะแนนสอบเต็มร้อย หากแต่เมื่อต้องไปทำงานจริงอาจจะทำได้ไม่ดีไปกว่าคนอื่นนัก
จักรวรรดิอันปู้เอ่อร์ที่มีจำนวนประชากรจำนวนมากมีจอมเวทระดับกลางไม่ต่างจากเก๋อจือมิถึงห้าร้อยคน เช่นนั้นผู้ที่สู้รบเป็จะมีสักกี่คนกัน?
ไม่ว่าจะเป็ราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิ เป้าหมายในการทุ่มเทกำลังแรงใจบ่มเพาะจอมเวทคือ หากพยายามเร่งคลอดจอมเวทระดับสูงสักคนที่มีความสามารถเทียบเท่าอัศวินหนึ่งพันคนจากบรรดาจอมเวทระดับกลางจำนวนหนึ่งร้อยคน เช่นนั้นก็เพียงพอจะทำให้อาณาจักรสุขสงบขึ้นอีกสักเล็กน้อย
ปัญหาอยู่ที่ว่า สิ่งที่เหล่าผู้บริหารระดับสูงคำนึงถึงคือความ้าของกองกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ เพียงแต่การที่ผู้ดูแลระดับกลางลอกเลียนแบบกลับมิถูกต้องเสียแล้ว หากนำแบบแผนวิธีการเดียวกันนี้ไปฝืนยัดให้แก่เหล่าประชาชน ไม่ช้าก็เร็วปัญหาจะต้องถูกเผยออกมาอย่างแน่นอน --- เพราะถึงอย่างไรผู้ที่มีพร์ในด้านพลังเวทก็มีน้อยนัก ไม่มีทางที่จะนำมาใช้กับ ‘ปัญหาเพียงเล็กน้อย’ อย่างการจับโจรหรือไล่สัตว์ปีศาจ ทว่าสำหรับประชาชนแล้ว ‘ปัญหาเพียงเล็กน้อย’ เหล่านี้กลับเกี่ยวโยงถึงปัญหาใหญ่ในการดำรงชีวิต
เดิมทีเื่เหล่านี้ควรมอบให้เป็หน้าที่ของทหารรักษาการณ์ เพียงแต่ไม่ว่าจะเมืองเฟยปู้หย่าหรือเมืองแห่งนักดาบพเนจร จำนวนและคุณภาพของทหารรักษาการณ์ล้วนแต่ตกต่ำอย่างมาก ขณะพูดคุยกับลาถีเท่อ โม่จ้านเพิ่งจะรู้ว่าจำนวนของทหารเฝ้ารักษาการณ์คูเมืองของจักรวรรดิอันปู้เอ่อร์เกือบจะเท่ากับกองอัศวินส่วนตัวของเ้าเมือง ผู้ที่ลาดตระเวนและเฝ้าประตูใหญ่ล้วนแต่เป็ชาวบ้านรูปร่างกำยำที่ถูกจ้างวานมาทั้งสิ้น เมื่อพบกับฝูงสัตว์หรือกลุ่มโจรก็ทำได้เพียงส่งหนังสือรายงานต่อองค์จักรพรรดิและรอให้เมืองหลวงส่งจอมเวทมาเท่านั้น
ในยุคที่สุขสงบ การทำเช่นนี้นั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้ หากแต่เมื่อไฟาลุกโชน เหล่าจอมเวทไม่มีเวลาว่าง มิเท่ากับประชาชนที่ถูกโจมตีต้องยอมถูกจับแต่โดยดีงั้นหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนกองอัศวินส่วนตัวของเ้าเมืองยังมีไม่มากนัก อีกทั้งอัศวินที่รู้วิชาเวทยังมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากคนอื่นๆ ไร้ซึ่งความสามารถในการต่อต้าน เช่นนั้นเท่ากับเดิมทีกำแพงเมืองก็มิอาจต้านทานคลื่นลม เมื่อเกิดเื่ใหญ่ขึ้นกะทันหันทั่วทั้งเมืองก็จะโกลาหลวุ่นวาย
การแบ่งงานให้ชัดเจนสำคัญเพียงใด โม่จ้านที่จับกลุ่มทำคดีเป็ประจำรู้เหตุผลเป็อย่างดี ไม่มีทางที่ ‘อาชีพการงานอื่นต่ำต้อย’ เพียงเพราะจอมเวทแข็งแกร่ง กลับกลายเป็เดินไปทางสุดโต่งเพียงด้านใดด้านหนึ่ง จำต้องรู้ว่าวิชาเวทไม่อาจทำได้ทุกอย่าง กระทั่งอาวุธร้อนยังมียามที่ขัดข้องเช่นกัน
หลังโม่จ้านพูดคุยกับคนทั้งสองเสร็จจึงเดินออกไปด้านนอก มุ่งตรงไปยังตลาด
แท้จริงแล้วหวาเอ่อร์สั่งให้คนช่วยซื้ออุปกรณ์และของใช้ทั้งหมดภายในเมืองเฟยปู้หย่าเอาไว้แล้ว ลาถีเท่อเองก็บอกว่าในบ้านของตนมีเตรียมพร้อมไว้แล้วเช่นกัน เช่นนั้นโม่จ้านตั้งใจไปตลาดเพราะ้าจะซื้อสิ่งใดกัน?
คำตอบอยู่ที่แผ่นปิดแผล
เดิมทีประโยชน์ของสิ่งนี้คือการนำมาพันรอบนิ้วมือแทนผ้าพันแผล ป้องกันมิให้ิััักับสิ่งของจนเกิดตุ่มน้ำพอง ขณะโม่จ้านเดินผ่านตลาดบังเอิญพบว่ามีสีเนื้อ ในใจลอบรู้สึกยินดีจึงซื้อกลับมาใช้หนึ่งม้วน ผลลัพธ์จากการลองมิเลวทีเดียว --- สามารถติดปิดรูทั้งสองรูบนหน้าผากของโม่จ้าน จากนั้นจึงค่อยนำผมด้านหน้าลง มองไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย
เถ้าแก่หญิงของร้านค้านิสัยใจคอไม่เลว นางจดจำลูกค้าที่ย้อนกลับมาได้ ครั้นได้ยินว่าโม่จ้าน้าจะซื้อจึงเตรียมไว้ให้จำนวนมาก อีกทั้งยังแถมให้อีกสองม้วน โม่จ้านที่แก้ไขปัญหาเื่รูปลักษณ์ภายนอกได้สำเร็จอารมณ์ดีอย่างมาก ตัดสินใจว่าจะเดินเล่นสักหน่อย
ตลาดของเมืองแห่งนักดาบพเนจรมีขนาดใหญ่กว่าของเมืองเฟยปู้หย่าอย่างมาก ประเภทสินค้าก็ยังอุดมสมบูรณ์กว่า ทำให้ ‘คนป่า’ อย่างโม่จ้านถึงกับตาไม่กะพริบ สองข้างทางของตรอกใหญ่เต็มไปด้วยแผงร้านค้า เสียงร้องเรียกลูกค้าดังมิขาดสาย แลดูมีกลิ่นอายเมื่อยามเดินงานวัดในหมู่บ้านของบ้านเดิมอยู่บ้าง
กลิ่นหอมของเนื้อทอดจากแผงอาหารเล็กข้างทางปลุกความตะกละของโม่จ้าน ขณะที่โม่จ้านถือเนื้อห้าไม้ไว้ในมือและกำลังจะกัดคำใหญ่ ฉับพลันคล้ายจะได้ยินเสียงคนร้องะโอยู่ไม่ไกล ลูกค้าที่พลุกพล่านอยู่หน้าร้านต่างพากันแยกย้ายทันใด วิ่งออกไปไกลด้วยดวงตาเป็ประกาย ทิ้งไว้เพียงโม่จ้านที่ไม่รู้เื่อันใดให้ยืนผุดเครื่องหมายคำถามบนหัวอยู่ที่เดิม
“ท่านลูกค้าไม่ไปดูสักหน่อยหรือ?” หญิงชราที่กำลังทาเครื่องปรุงคลี่ยิ้มมองโม่จ้านที่ทำสีหน้างุนงง
“ข้าต้องเฝ้าแผงลอย มิเช่นนั้นคงตามไปดูเื่แปลกใหม่ด้วยเช่นกัน”
“...อ้อๆ นั่นคือสิ่งใดหรือ เหตุใดจึงน่าดึงดูดเพียงนั้น?”
โม่จ้านเคี้ยวเนื้อแข็งพลางชี้ไปทางเนื้อซี่โครงที่ร้อนฉ่าบนเตาถ่าน
“ห่อกลับ ทาเครื่องปรุงเผ็ดสักหน่อย”
“ว่ากันว่าคือเขาของเผ่าปีศาจ จะเปิดการขายในงานประมูล”
หญิงชราโรยผงปรุงรสอย่างคล่องแคล่วก่อนใส่เนื้อส่วนซี่โครงลงในห่อกระดาษ จากนั้นส่งให้โม่จ้านที่จู่ๆ ก็นิ่งงัน
“เมื่อครู่มีคนบอกว่าผู้ขายกำลังเปิดให้รับชม ผู้คนจึงวิ่งไปดูเื่น่าสนุกกันเสียแล้ว”
โม่จ้านรู้สึกแปลกใจ เก๋อจือบอกว่าเ้าสิ่งที่อยู่บนตัวของเขามีราคามิน้อย เพียงแต่คงมิถึงขั้นมีราคาจนสามารถดึงดูดลูกค้าทั้งตรอกให้ไปล้อมชมกระมัง?
ท่านาาปีศาจถึงกับรู้สึกไร้สิ่งใดจะเอ่ย เตรียมตัวจะนำอาหารเดินย้อนกลับไปทางเดิม
“...นี่! โม่เจ๋อเอ่อร์!”
โม่จ้านที่กำลังกินอย่างตะกละตะกลามชะงักทันใด คล้ายจะได้ยินเสียงคนเรียกชื่อตน?
“นี่เ้าจะไร้ไมตรีเกินไปแล้วกระมัง แอบออกมาดูเขาของเผ่าปีศาจโดยมิบอกพวกเรางั้นรึ?”
เสียงร้องะโของเก๋อจือดังใกล้เข้ามา ด้านหลังยังมีลาถีเท่อที่เผยสีหน้าจนปัญญาตามมาด้วย
“...เ้าของสิ่งนั้นมีอันใดน่าดู ข้าจะกลับแล้ว”
โม่จ้านที่เผยสีหน้ารังเกียจโบกมือหันหลังหมายจะเดินจากไป ทว่ากลับถูกเก๋อจือที่ยกยิ้มร่าดึงแขนเอาไว้
“ไอหยาไม่ต้องนึกอายไป พวกเราก็สนใจมิน้อยเช่นกัน ไปดูด้วยกันเถิด”
ลาถีเท่อที่อยู่ด้านหลังเก๋อจือพยักหน้าให้โม่จ้านพร้อมทั้งขยับปากเป็คำว่า ‘ขอโทษ’ โม่จ้านที่มุมปากกระตุกถูกเก๋อจือลากออกไปก่อนจะถอนหายใจอย่างจนปัญญา เห็นทีเมื่อคุณชายน้อยเก๋อจือท่านนี้ตัดสินใจแล้ว คาดว่าคงจะมิยอมกลับไปจนกว่าใจใคร่รู้จะได้รับการเติมเต็ม