โม่จ้านยังคงประเมินความอยากรู้อยากเห็นของสาธารณชนต่ำเกินไป
เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่แย่งกันวิ่งไปข้างรถม้า โม่จ้านรู้สึกราวกับเห็นคนไล่ตามดาราอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างถนน เกิดเป็ความรู้สึกหวาดกลัวโดยธรรมชาติ
ถึงแม้โม่จ้านจะพยายามเขย่งปลายเท้า ทว่ากลับเห็นเพียงศีรษะเรียงรายอย่างหนาแน่นของผู้คน เก๋อจือที่ตัวเล็กกว่าโม่จ้านยิ่งน่าเวทนาเสียแล้ว มิเพียงแต่มองมิเห็น เขายังถูกเบียดเจียนตาย หากมิใช่เพราะลาถีเท่อช่วยคุ้มกัน คาดว่าเ้าตัวเล็กนั่นคงจะถูกเบียดจนกลายเป็แผ่นแป้งอัดเสียแล้ว
“บัดซบ มองมิเห็นอันใดสักอย่าง!” เก๋อจือกระทืบเท้าด้วยความโมโห “หากข้าสูงกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงดี”
“...ถึงสูงไปเ้าก็มองมิเห็น ของชิ้นเล็กเพียงนั้น อีกทั้งยังอยู่เสียไกล”
โม่จ้านบุ้ยปากพลางส่งสัญญาณไปทางลาถีเท่อ “มิเชื่อเ้าลองนั่งบนไหล่เขา”
“อันใด---” ลาถีเท่อใกับข้อเสนอของโม่จ้าน ขณะคิดจะปฏิเสธกลับถูกโจมตีด้วยดวงตากลมโตเป็ประกายของเก๋อจือ
“ลาถีเท่อผู้เป็ที่รัก สักครั้งได้หรือไม่? กลับไปข้าจะเลี้ยงข้าวเ้า”
ผลคือแน่นอนว่าเก๋อจือได้ขึ้นไปนั่งบนไหล่ของลาถีเท่อและพยายามยืดคอมิต่างกับห่าน โม่จ้านป้องปากพลางแอบมองปฏิกิริยาตอบสนองของลาถีเท่อ พบว่าอีกฝ่ายจับขาของเก๋อจือไว้มั่น หน้าแดงมิต่างกับถูกสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น
ไอหยา ความรักอันบริสุทธิ์นี้ ข้าทนดูมิได้แล้ว โม่จ้านกุมหน้าผากด้วยความกลุ้มใจ “เก๋อจือเ้าดูเสร็จแล้วหรือไม่ รีบกลับกันได้แล้ว”
“ห่างถึงเพียงนั้น ทั้งยังมีหัวผู้คนบังอยู่ ข้ามองอันใดไม่ชัดสักนิด!”
เก๋อจือลงจากไหล่ของลาถีเท่อด้วยความคับแค้นใจ ตามด้วยจัดระเบียบอาภรณ์ของตน
“ช่างเถิด แค่เพียงเขาหักท่อนหนึ่ง หลังคุณชายน้อยอย่างข้าขึ้นเป็จอมเวทระดับสูงจะต้องซื้อเขาสมบูรณ์ข้างหนึ่ง!”
“เขาหักหนึ่งท่อน...ราคาประมาณเท่าใดหรือ?”
โม่จ้านเอ่ยถามคำถามนี้ออกไปโดยไม่รู้ตัวราวกับถูกผีอำ
“ประมาณสี่พันเหรียญทองกระมัง” เก๋อจือนับนิ้ว “หากเป็เขาสมบูรณ์จะต้องราคานับพันเหรียญทองเป็แน่”
โม่จ้านลูบเขาหนึ่งคู่ในกระเป๋าก่อนจะเผยยิ้มเยาะออกมา
หากข้าขายพวกมันออกไป มิเท่ากับว่าตัวข้ามิต้องกังวลชีวิตครึ่งหลังแล้วงั้นหรือ? มิใช่ว่าตนมิเคยมีความคิดเช่นนี้ เพียงแต่กลัวว่าทันทีที่เผย ‘ทรัพย์’ จะถูกผู้ที่มีเจตนาร้ายแย่งชิงไป หากจัดการไม่ดี ยังจะนำพากลุ่มคนบ้าอย่างสันตะสำนักเ่าั้มาอีกครั้ง
รถม้าที่อยู่แต่ไกลเริ่มเคลื่อนตัว กลุ่มคนค่อยๆ แยกออกเป็สองฝั่งเพื่อเว้นทางสายเล็ก เมื่อเก๋อจือเห็นโอกาสจึงรีบดึงโม่จ้านกับลาถีเท่อเข้าไปด้านหน้า พบเพียงว่าม้าสีแดงพุทราสองตัวลากแท่นเหล็กเข้ามาด้านหน้าอย่างช้าๆ ้าวางตู้กระจกใช้โซ่คล้องเอาไว้อย่างแ่า ภายในตู้กระจกขนาดค่อนข้างใหญ่มีถาดคริสตัลหนึ่งใบ ภายในถาดใช้ผ้าไหมปูรองไว้และวางไว้ด้วยสิ่งของสีดำลักษณะประหลาด
ดวงตาทอประกายของเก๋อจือจดจ้องเขาหักชิ้นนั้นอย่างกลัวจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อย โม่จ้านสังเกตอย่างละเอียดไม่กี่วิ พลันดูออกถึงบางสิ่ง มุมปากถึงกับกระตุกไม่หยุด --- ท่อนเล็กทรงกลมหนึ่งชิ้น รอยหั่นตรงด้านหน้าและด้านหลังยังเล็กแหลมถึงเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็ท่อนเล็กใกล้ส่วนปลายเขา หากไม่มีผู้ใดบอก ตนยังจะนึกว่าศิลปินที่ใดนำกิ่งไม้เผามาแกะสลักเสียด้วยซ้ำ
ครั้นเห็นสายตาร้อนรุ่มของกลุ่มคนรอบข้าง โม่จ้านถึงกับสั่นสะท้าน กำกระเป๋าไว้แน่นก่อนแทรกตัวออกจากฝูงชน
“มิใช่ของที่ได้มาด้วยความสามารถแท้จริงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่มีคุณค่าใดให้ศึกษา ซื้อมาพกติดตัวไว้ นอกเสียจากโอ้อวดก็ไร้ซึ่งประโยชน์อื่นใด...”
ขณะฟังเสียงจิ๊ปากด้วยความตกตะลึงของกลุ่มคน โม่จ้านที่มิอาจเข้าใจเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่พลางเอ่ยกับตนเอง จากนั้นล้วงหยิบเนื้อซี่โครงที่เหลืออยู่ออกมากัดหนึ่งคำ
“...อ้อ นี่อาจจะเป็ผลตอบสนองที่เกิดจากสินค้าฟุ่มเฟือยในตำนาน?”
“ทุนทรัพย์ก็นับเป็ความสามารถประเภทหนึ่ง”
น้ำเสียงเจือความแหบพร่าดังขึ้นด้านหลังอย่างกะทันหัน ทำเอาโม่จ้านใจนกลืนเนื้อเต็มปากที่ยังมิทันเคี้ยวลงไปจนเกือบจะติดคอตาย
“แค่กๆๆๆ...!! แค่ก...ก็ถูก เป็เพราะข้าอิจฉามากเกินไป”
โม่จ้านที่อาการดีขึ้นหันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หลังต้นไม้ ในใจลอบเอ่ยว่าประมาทเกินไปแล้ว เมืองแห่งนักดาบพเนจรเป็ถึงเมืองใหญ่ หากว่าร้ายชนชั้นสูงแล้วถูกผู้ใดได้ยินเข้า นั่นมิใช่เื่น่าสนุกเท่าใดนัก
“คนจนๆ เช่นข้าเพียงได้เห็นเป็บุญตาก็มากพอแล้ว ได้อิจฉาสักนิดก็เพียงพอ”
ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหวขั้นต่อไป โม่จ้านจึงเดินเตะเท้าวางมาดเช่นนายท่านไปทางกลุ่มคน
“หากเ้ามีความสามารถ ท่านเ้าเมืองกำลังประกาศรับอัศวิน เหตุใดจึงไม่ไปลองดู?” ยังคงเป็เสียงนั้น
“ข้าไม่มี ข้ามิได้แข็งแกร่ง ขออย่าประเมินข้าสูงจนเกินไป”
โม่จ้านเอ่ยปฏิเสธเป็ชุด ฝีเท้ามิได้หยุดลงแม้แต่น้อย ล้อเล่นหรืออย่างไร เป็ทหารรับจ้างหากเกิดเื่ยังพอใช้กลยุทธ์หลบหนี เหตุใดจึงต้องไปเป็เป้าลูกะุให้เ้าเมือง
เสียงสิ่งของแหลมคมแทรกผ่านอากาศดังขึ้น โม่จ้านััได้ว่าสถานการณ์ทางด้านหลังมิชอบมาพากล ขาข้างซ้ายออกแรงถีบกลิ้งตัวไปด้านข้าง สามารถหลบเลี่ยงหอกยาวที่แทงมาทางแผ่นหลังได้สำเร็จ โม่จ้านลุกขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความขุ่นเคือง ใบหน้าของอีกฝ่ายฉายแววใคร่ครวญและมองพิจารณาโม่จ้านอย่างละเอียด
“...เห็นทีจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ”
หมวกอัศวินของอัศวินสวมชุดเกราะสีเงินเต็มตัวอยู่บนมือ ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มถูกสายลมพัดปลิว ั์ตาสีน้ำตาลไร้คลื่นอารมณ์
โม่จ้านจดจ้องอัศวินที่สูงกว่าตนครึ่งศีรษะผู้นี้พร้อมกับกำกริชข้างเอวอย่างเงียบเชียบ หอกยาวในมือของอีกฝ่ายได้เปรียบเื่ระยะห่างอย่างมาก ตนจำต้องหาโอกาสให้แม่นยำ อาศัยชัยภูมิและการต่อสู้ระยะประชิดรับมือกับอีกฝ่าย
ทว่าอย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเผชิญหน้าอย่างตึงเครียดกินเวลามินานนัก เพียงไม่กี่อึดใจ อัศวินพลันเก็บหอกกลับไป
“ปฏิกิริยาตอบสนองมิเลว หวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับเ้าสักครา ทว่ากลับมิใช่ในยามนี้”
อัศวินหันกลับไปมองฝูงชนส่งเสียงดังที่ไล่ตามการจัดแสดงสินค้า จากนั้นเดินไปทางจวนเ้าเมือง
“หากเ้าอยากจะเป็อัศวิน สามารถไปหาข้าที่จวนท่านเ้าเมืองได้ตลอดเวลา ข้ามีนามว่าเจียนั่ว”
...คาดว่าคงจะกินข้าวหลวงจนไปโตในสมองเสียแล้ว
โม่จ้านแค่นหัวเราะเย้ยหยัน ตัดสินใจแสร้งทำเป็มองมิเห็นโดยไม่ลังเลก่อนจะหันหลังเดินไปหาเก๋อจือกับลาถีเท่อ คุณชายน้อยเองก็ชมความสนุกจนสมใจแล้วเช่นกัน ในที่สุดจึงยอมกลับไปเก็บสัมภาระอย่างสบายใจ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าต่อไปก็คือาในป่าที่ใช้อาวุธจริง มิใช่การเล่นกระสอบทรายที่มิได้เืสักหยด
...เพียงแต่ น้ำเสียงของอัศวินผู้นั้นค่อนข้างคุ้นหู คล้ายจะเคยได้ยินที่ใดมาก่อน?
ช่างเถอะ อย่างมากคงเป็เพียงคนผ่านทาง
ทว่าสิ่งที่โม่จ้านไม่รู้คือ หลังจากที่ตนจากไป เจียนั่วเดินอ้อมก่อนจะวนกลับมาอีกครั้ง จากนั้นหยิบคริสตัลบันทึกเื่ราวที่จงใจทิ้งไว้บริเวณรากต้นไม้ขึ้นมา
……
“ท่านเคยพบเขาหรือไม่?” อัศวินกดคริสตัลเบาๆ เพื่อฉายภาพต่อหน้าชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
“ไม่ ข้ามิอาจมั่นใจ” ผมสีดำของบุรุษวัยกลางคนมีสีขาวแซม ริ้วรอยสลักลึกบนหน้าผาก แสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่าท่านลุงผู้สง่างามเบื้องหน้าอัศวินเริ่มแก่ชราเสียแล้ว
“หากท่านเ้าเมืองมิเคยพบเขา ข้ากลับยิ่งรู้สึกสนใจยิ่งนัก...”
น้ำเสียงของอัศวินคล้ายจะผ่อนคลาย ทว่าภายในแววตากลับฉายแววใคร่ครวญ
“ทางฝั่งเมืองเฟยปู้หย่าข้าสั่งให้คนไปสืบต่อแล้วเช่นกัน จะต้องพบความจริงเกี่ยวกับตัวเขาอย่างแน่นอน”
เ้าเมืองของเมืองแห่งนักดาบพเนจรคือหนึ่งในอัศวินข้างกายขององค์จักรพรรดิอันปู้เอ่อร์ มีความสามารถพิเศษอย่างการมองผ่านตาแล้วสามารถจดจำมิลืม ผู้ที่เคยมีประสบการณ์โจมตีและป้องกันป้อมปราการอย่างตน สามารถจดจำโจรที่คิดจะใช้เส้นสายแฝงตัวเข้ามาภายในเมืองท่ามกลางกลุ่มคนได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว และด้วยความสามารถพิเศษนี้ จักรพรรดิอันปู้เอ่อร์จึงได้วางใจให้ตนอยู่ที่นี่เพื่อรักษาความสงบและความเรียบร้อยของเมือง
“เจียนั่ว เหตุใดเ้าจึงสนใจคนผ่านทางผู้หนึ่งถึงเพียงนี้? ต่อให้เขาจะเป็ผู้ที่อยู่ข้างกายบุตรชายของหัวหน้าสาขาย่อยกิลด์จอมเวท กระนั้นก็มิได้คู่ควรให้เ้าต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจเช่นนี้กระมัง”
เ้าเมืองเก็บคริสตัลใส่ในกระเป๋า เงยหน้ามองอัศวินตรงหน้าอย่างค่อนข้างสงสัย
“ข้าเพียงคิดว่าเ้านั่นค่อนข้างแปลกเท่านั้นขอรับ” เจียนั่วสวมหมวกเหล็ก ประโยคเว้นวรรคไปชั่วขณะ “...หากสามารถกลายเป็ผู้ที่ข้าใช้การได้ก็คงดี”
ครั้นได้ยินสาเหตุที่ฟังดูคล้ายกับล้อเล่นของเจียนั่ว เ้าเมืองเฒ่าถึงกับเริ่มขมวดคิ้ว
“ต่อให้กองอัศวินขาดคน ก็ไม่ถึงขั้นต้องรับผู้ที่มิรู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ ในสนามฝึกมีต้นกล้าที่ดีมากมายถึงเพียงนั้น คงมิใช่ว่าไม่ถูกใจแม้แต่คนเดียวกระมัง?”
“รับบัญชา ข้าจะไม่รับเขาเข้ากลุ่ม เพียงแต่ข้ายังจะตรวจสอบเื่ของเขาต่อไปขอรับ”
เจียนั่วทำความเคารพแล้วจึงเอ่ยลาเ้าเมือง ชุดเกราะส่องแสงสะท้อนแยงตาภายใต้อาทิตย์อัสดง
ภายในใจของเ้าเมืองนึกสงสัยอยู่บ้าง ทว่าก็มิได้ซักถามต่อไป เพียงถอนหายใจขณะมองแผ่นหลังของอัศวิน หวนนึกถึงเื่ราวเมื่อหลายเดือนก่อน
ยามอัศวินเจียนั่วมาหาตน สายตาของอีกฝ่ายฉายแววเหนื่อยล้าและเ็า นอกจากนั้นยังมีขอบตาดำเข้มมิต่างกับหมาป่าเดียวดายที่เพิ่งผ่านาดุเดือดมา ตนทำตามสัญญาในครานั้นโดยการ ‘รับเลี้ยง’ เด็กที่กลับมาจากสันตะสำนักผู้นี้ และยามนี้เด็กคนนี้ได้กลายเป็หนึ่งในอัศวินแห่งพระวิหารที่น่าเกรงขาม
อีกฝ่ายจดจำชื่อของตนได้ทั้งยังสืบพบตำแหน่งหน้าที่ในปัจจุบันของตนแล้วเดินทางมาที่นี่ เพียงแต่ยามพบหน้ากัน คล้ายกับจะไร้ซึ่งความยินดีเช่นผู้ที่มิได้พบกันนาน กลับเอ่ยเพียงสองประโยคว่า
“ยามนี้ข้ามีนามว่า ‘เจียนั่ว’ เป็หนึ่งในสมาชิกกองอัศวินแห่งพระวิหาร”
“เพื่อเป็การตอบแทน ข้าจะช่วยท่านฝึกกองอัศวินจนสามารถคุ้มครองท่าน”
ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี เกิดเื่อันใดขึ้นกับเด็กคนนี้บ้าง ตนก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน ตนรู้เพียงว่า ตนจำต้องช่วยเหลือเขาอย่างสุดความสามารถ