"ฮั่นป๋า"
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาทั้งหมดล้วนต่างนิ่งเงียบ
คำว่า ''ฮั่นป๋า'' นั้นดูเหมือนจะมีน้ำหนักมากเกือบพันจิน ไม่ต่างจากลูกะเิขนาดใหญ่มากซึ่งทำให้หูของทุกคนดับไปชั่วขณะหนึ่ง จนดูเหมือนว่าไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ครู่หนึ่ง
ทุกคนต่างก็คุ้นเคยกับตำนานจีนโบราณเกี่ยวกับเื่ของฮั่นป๋าที่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในตำราประวัติศาสตร์หลายต่อหลายเล่ม เมื่อฮั่นป๋ามาเยือน ดินแดนจะเกิดความแห้งแล้งนับพันลี้ชื่อเสียงในด้านความชั่วร้ายขจรขจายไปทั่ว
ฮั่นป๋านั้นเป็ปีศาจในตำนานที่นำมาซึ่งความแห้งแล้ง''บทกวี.ลำนำ.ทางช้างเผือก'' ได้กล่าวไว้ว่าฮั่นป๋านั้นเป็ต้นเหตุทำให้เกิดภัยพิบัติ ไม่ต่างจากเปลวไฟที่บ้าคลั่ง"ก่งยิ่งต๋าชู กล่าวไว้ในคัมภีร์เสินอี้ว่า "มีผู้คนในแดนใต้เห็นว่าสูงราว 2-3 ฉื่อ เปลือยท่อนบน มีดวงตาอยู่กึ่งกลางเคลื่อนไหวไปมาคล้ายกับสายลม หรือเรียกว่า ''ปีศาจเยว่''เมื่อพวกเขาพบเห็นประเทศมีความแห้งแล้งเป็อย่างมากพื้นที่นับพันลี้แห้งแล้งจนผืนดินกลายเป็สีแดงหรือต้นกำเนิดแห่งความแห้งแล้ง" "ตำราจี่ปู้ยู่ บทที่หนึ่งอธิบายถึงฮั่นป๋าเอาไว้ว่า ''รูปร่างคล้ายเส้นผม มีขาเดียว''แต่ละเล่มก็จดบันทึกเอาไว้ค่อนข้างแตกต่างกัน
ยังมีข่าวลือว่า อาจจะเป็บรรพบุรุษของผีดิบ และอาจจะเป็เื่จริงหรือไม่ก็ได้ซึ่งยังไม่มีการยืนยัน แต่มีบางคนกล่าวว่า ''ซือโหยว'' อาจเป็บรรพบุรุษของผีดิบก็เป็ได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็เื่จริงหรือไม่ฮั่นป๋าก็เป็ผีดิบที่วิวัฒนาการมาจนถึงจุดสุดยอดแล้วนี่เป็ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ซากศพเน่าเปื่อย ซอมบี้ศพที่เพิ่งตาย ผีดิบ ผีตายซาก นางฟ้าผีดิบ ฮั่นป๋าหลังจากฮั่นป๋าแล้วจะมีระดับที่สูงกว่านี้หรือไม่นั้นดูเหมือนในประวัติศาสตร์จะไม่ได้บันทึกเอาไว้
ในตำนานเล่าขานเอาไว้สถานะของฮั่นป๋านั้นสูงศักดิ์ เป็ที่เคารพยกย่อง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดสถานการณ์จึงเปลี่ยนเป็เช่นนี้พอมาถึงยุคสมัยโบราณ ฮั่นป๋าก็กลายเป็ปีศาจไป เนื่องจากออกเสียงคล้ายกัน ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์อาจทำให้เกิดความผิดพลาดระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่อาจรู้ได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ถูกส่งต่อมาก็คือที่ใดมีฮั่นป๋า ที่นั่นก็จะมีตำนานของความแห้งแล้ง
"โทษทีนะ ว่าแต่ฮั่นป๋าคืออะไร?"ทันทีที่นักรบพูดออกไป เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เขาทำตาโตอย่างไร้เดียงสาก่อนจะมองไปรอบๆก็ยังไม่เข้าใจถึงท่าทีที่ทุกคนแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างแปลกประหลาด จึงเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า"นี่ฉันพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?"
"ไอ้ xxx" ทุกคนในกลุ่มต่างชูนิ้วกลางให้กับเขา
หุบเขาจอมพลนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองที่ราชวงศ์มดตั้งขึ้นอยู่ห่างออกไปราว 20 ลี้เป็ภูมิประเทศที่ค่อนข้างอันตรายมากไม่ต่างจากบริเวณเทือกเขาฉางไป่และแม่น้ำเฮยเหลิงเจียง สภาพแวดล้อมแย่มากดูเหมือนจะมีข่าวลือว่านายพลที่มีชื่อเสียงถูกสังหารที่นี่ จึงตั้งชื่อหุบเขาตามชื่อของนายพลซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ มีมอนสเตอร์เป็จำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่และความสามารถในการต่อสู้ค่อนข้างสูงผู้เล่นทั่วไปไม่แนะนำให้เลือกพื้นที่บริเวณนี้ในการเพิ่มระดับ ถ้าแค่ 3-5 ตัวยังพอรับได้ แต่ถ้าพบทหารเป็กลุ่ม ถ้าจะให้ดีก็ควรหนีไปมากกว่าเมื่อเทียบกับการโจมตีที่สะเปะสะปะของมอนสเตอร์กับกองทหารที่ฝึกฝนมาเป็อย่างดีแล้วมีความแตกต่างกันประหนึ่งฟ้ากับเหวลึก เทียบกันไม่ได้เลย
ในตอนนี้ระยะห่างจากหุบเขาจอมพลอยู่ราวสิบลี้ฉินโจ้วเริ่มััได้ถึงคลื่นความร้อนบนใบหน้า อากาศบริเวณนี้แห้งมากมีพืชหญ้าขึ้นอยู่บนพื้นดินบ้างเพียงประปรายซึ่งเป็ปกติอยู่แล้วที่จะไม่พบต้นไม้ใหญ่ มีแค่พืชหญ้ากระจายเป็หย่อมๆดูเหมือนหญ้าก็ดูเหี่ยวเฉาเนื่องจากอุณหภูมิที่สูง ใบโค้งงอ ดูเหมือนศูนย์กลางจะอยู่ที่หุบเขาจอมพลยิ่งเข้าใกล้จุดกึ่งกลางมากเท่าไร ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้นหลังจากที่เดินเข้าไปอีกสองลี้ ใบหญ้าเริ่มกลายเป็สีเหลืองไม่ต่างจากใบยาสูบและดูเหมือนจะไม่มีสีเขียวให้เห็นอีกเลย
ฉินโจ้วเดินอ้อยอิ่งตามหลังนักธนูนักรบ และผู้ใช้เวท เหมือนว่าจะมีผู้เล่นไม่มากนักบนถนนสายนี้ แน่นอนว่าข่าวของตราคำสั่งสร้างเมืองดูเหมือนจะไม่เป็ความลับอีกต่อไปนักธนูและคนอื่นที่เหลือไม่ได้ให้ความใส่ใจฉินโจ้วเท่าไรนัก ดูราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน
ฉินโจ้วเลือกติดตามกลุ่มนี้เพราะมีเหตุผลความแข็งแกร่งของกลุ่มนี้ไม่สูงนัก พวกเขาเพิ่งอยู่ในระดับกลางซึ่งค่อนข้างน่าประหลาดใจ แต่ในเื่ของข่าวสารที่วุ่นวายนั้นค่อนข้างมีความชัดเจนมากฉินโจ้วถูกปิดหูปิดตาไปเกือบเดือนทำให้ตกข่าวไปพอสมควรนั่นคือสิ่งที่เขา้ามากที่สุดในตอนนี้ คนกลุ่มนี้ก็ค่อนข้างเก็บความลับไม่ค่อยอยู่และเขาเองก็ไม่ชอบถามเสียด้วย
"ดูนั่น ''อี่เทียนหง''นี่ เขาติด 1 ใน 10 ผู้เชี่ยวชาญการใช้ดาบไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาที่นี่ด้วย" หัวขโมยรู้สึกตื่นเต้นมากแต่น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเบาราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
ฉินโจ้วมองตามสายตาของหัวขโมยก่อนจะมองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งอายุน่าจะราวๆ ยี่สิบต้นๆ รูปร่างดี ใบหน้าราวกับมงกุฎหยก ท่าทางการเดินสุภาพเรียบร้อยดูเป็คนที่ค่อนข้างมีระเบียบวินัย ไม่สวมอุปกรณ์อื่นใด สวมชุดยาว และสะพายดาบยาวเล่มหนึ่งไว้ที่หลังแต่งกายราวกับนักรบในสมัยก่อน มองแวบแรกก็ให้ความรู้สึกเก่าแก่โบราณ
ดูเหมือนเขาจะเดินทางมาเพียงลำพังเคลื่อนที่ค่อนข้างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่ก็เดินไล่ตามทันก่อนจะแซงทุกคนขึ้นหน้าแล้วหายลับไปก่อนที่นักธนูจะหันมองกลับมาหาเพื่อนในกลุ่มด้วยความเกรงกลัว "ประกายดาบในขณะที่ชักดาบออกมานั้นรวดเร็วไม่ต่างจากสายฟ้าสามารถฆ่าคนได้เพียงพริบตา ดาบนั้นยังไม่ทันััถูกเื อี่เทียนหงอยู่เหนือกว่าที่คนอื่นคิดไว้มากนี่แหละถึงจะเป็ผู้เชี่ยวชาญ"
อี่เทียนหง โฮะโฮะๆ...เป็คนที่น่าสนใจ ฉินโจ้วดูเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่
หลังจากที่เดินเข้ามาในหุบเขาจอมพลได้ราวห้าลี้อุณหภูมิก็พลันสูงขึ้น ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาเผา
หัวขโมยพลันร้อนะโขึ้นว่า"เกิดอะไรขึ้น ทำไมพลังชีวิตของฉันลดลง?"
มีอยู่ไม่กี่คนที่รู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะหันกลับไปทางหัวขโมยผู้ที่มีตัวเลขค่าความเสียหายสีแดงเด้งขึ้นมาอยู่บนหัวของเขา-50, -40, -50, -40... จากนั้นจึงหันมองไปทางคนอื่นๆซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเจอกับเหตุการณ์เดียวกัน ทุกคนต่างใมากนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ถูกโจมตีั้แ่เมื่อไรกัน?ทำไมถึงไม่มีใครสังเกตเห็นเลยล่ะ ถ้าไม่ได้หัวขโมยร้องเตือนคงจะมีการตายแบบไม่รู้ตัวกันเกิดขึ้นตระกูลเป่ยเย่เองก็เคยเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ตั้งหลายร้อยหลายพันคน ดูท่าหุบเขาจอมพลนี้ก็ลึกลับอย่างที่คาดเอาไว้
เมื่อพวกเขายิ่งคิดมากเกี่ยวกับเื่นี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้น ต่างคนต่างมองหน้ากัน และได้เห็นความหวาดกลัวเกิดขึ้นในดวงตาของพวกเขา
ผู้ใช้เวทคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยกไม้เท้าเวทขึ้น และเพิ่มทักษะการทำความเย็นให้กับทุกคนหลังจากที่ถูกความเย็นจู่โจม สถานการณ์ก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ค่าความเสียหาย -50นั้นได้หยุดลงแล้ว แต่ค่าความเสียหาย -40 ยังคงเด้งขึ้นต่อไปผู้ใช้เวทคิดว่าเวทอาจจะยังไม่เพียงพอ จึงได้ร่ายเพิ่มให้กับทุกคนหลังจากที่คิดว่าเย็นฉ่ำกันแล้ว ดูเหมือนสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เกิดความเสียหายจากไฟแล้ว
หลายคนต่างเลิกคิ้วขึ้นพร้อมๆ กัน ท่าทางดูราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป
สายตาของนักธนูค่อนข้างเฉียบแหลมเมื่อเขาเห็นใบหน้ามีสีเขียวเพียงเล็กน้อย ซึ่งดูคล้ายกับการถูกพิษในใจเขารู้สึกเต้นรัวและถามขึ้นว่า "มีใครเอายาแก้พิษมาบ้างไหม?"
ผู้ใช้เวทและหัวขโมยต่างก็ส่ายหน้า นักรบพูดขึ้นว่า"ฉันซื้อมาขวดหนึ่ง ก็ใช้ไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่มากนัก"
"ลองดูก่อน" นักธนูพูดขึ้นมา
ยาเม็ดแก้พิษมีขนาดเท่ากับเมล็ดลำไยมีสีเขียวและส่งกลิ่นหอมจางๆ นักรบจึงโยนเข้าปากไปหนึ่งเม็ดไม่ต่างจากการกินถั่ว ก่อนจะเคี้ยวสักสองทีดูท่าทางที่แสดงออกมาเหมือนจะรสชาติดีอยู่ไม่น้อย
"มันใช้ได้ผล กลายเป็ว่าถูกโจมตีด้วยพิษนี่เองยังจะมีคนวางยาในสถานที่แห่งนี้อีกหรือ?" หัวขโมยรู้สึกประหลาดใจและก็รู้สึกดีในเวลาเดียวกันถึงเขาจะประหลาดใจที่ไม่รู้ว่าถูกพิษั้แ่เมื่อไรแต่อย่างน้อยเขาก็หาสาเหตุที่ทำให้พลังชีวิตลดลงได้แล้ว และยังมีวิธีแก้อีกด้วย
ทันใดนั้นผู้ใช้เวทก็เขกหัวตัวเองและพูดขึ้นทันทีว่า "ฉันจำได้แล้ว นี่น่าจะเป็พิษซากศพ อย่าลืมว่าตราบใดที่ผีดิบมีการฝึกตนในระดับหนึ่งระดับขั้นของก๊าซพิษจะกระจายออกมาทั่วร่าง ซึ่งเป็พิษที่รุนแรงมากฮั่นป๋าเองก็เป็ระดับที่สูงสุดของผีดิบแล้วจึงเป็เื่ธรรมดาที่ขอบเขตของก๊าซพิษนั้นจะกว้างเกินกว่าจะคาดถึงน่าสยดสยองยิ่งนัก" ในขณะที่หลายคนกำลังคิดตามอยู่นั้นก็ยังรู้สึกเชื่อได้ยาก
ในเวลานี้เมื่อมีคนกินยาแก้พิษทำให้พลังชีวิตก็หยุดลดลงทันที ก่อนร่างกายของเขาจะกลับสู่สภาวะปกติและเดินหน้าต่อไป
ความเสียหายจากเวทไฟ ถูกโจมตีด้วยพิษ ฉินโจ้วได้แต่อมยิ้มทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเขาเลยด้วยร่างกายที่ต้านทานต่อพิษทุกชนิด จึงทำให้ไม่มีปัญหาในการรับมือกับพิษอุปกรณ์ที่ต้านทานเวทธาตุไฟที่มีกองพะเนิน นอกเสียจากไฟสามประเภทกับไฟจากเก้า์ชั้นฟ้าแล้วเปลวไฟอื่นๆ ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้
ว่าแต่เขายังจะสามารถรับตราคำสั่งสร้างเมืองได้อีกหรือไม่?เมื่อนึกถึงปัญหานี้ในใจของฉินโจ้วก็เริ่มกังวล
หลังจากเดินไปได้ราวห้านาที พวกเขาก็ต้องหยุดอีกครั้งก่อนจะให้ผู้ใช้เวทใช้ทักษะความเย็นใส่พวกเขาอีกครั้ง และกินยาแก้พิษอีกเม็ดเมื่อมองดูดินแดนที่แห้งแล้งแห่งนี้ ซึ่งขยายออกไปไกลถึงพันลี้ถึงแม้ว่าดูเหมือนจะพูดเกินจริงอยู่บ้าง แต่ความแห้งแล้งก็ทรงอานุภาพอย่างแท้จริงทักษะความเย็นของผู้ใช้เวทขั้นกลางนั้นสามารถรองรับได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำถ้าเปลี่ยนเป็สถานที่ทั่วไปกลัวว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกชั่วโมงเลยทีเดียว จึงจะกลับมาเป็ปกติเหมือนก่อนที่ลมเย็นจะปะทะใบหน้าอย่างแ่เบา
ทุกคนก็รู้ดีว่าการโจมตีด้วยพิษนั้นค่อนข้างรุนแรงอาจจะดูแปลกอยู่บ้างที่นักรบนั้นต้องซื้อยาแก้พิษเบื้องต้นถึงแม้ว่าผลของยาแก้พิษจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่นักรบเองก็ไม่มีทางเลือก การซื้อยาเม็ดแก้พิษระดับเบื้องต้นหนึ่งขวดจะต้องใช้เงินกองกลางมาซื้ออันที่จริงยาเม็ดแก้พิษระดับกลางนั้นราคาก็ไม่ได้แพง เพียงแต่เขาไม่ได้ขายเป็ขวดแต่ขายเป็เม็ด
ระยะห่างสามลี้จากหุบเขาจอมพล ไม่มีพืชที่มีชีวิตบนผืนดินแม้แต่น้อยมองไปมีแต่กิ่งไม้และใบไม้แห้งอยู่ทั่วทุกแห่ง เมื่อก้าวเดินไปก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้นอย่างชัดเจนใบไม้นั้นเหี่ยวเฉามาเป็เวลานานแล้ว หลายชิ้นส่วนของพืชหญ้าก็หายไป มีเพียงแค่รากขนาดสั้นๆที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่บนพื้นดิน แต่ก็ยากที่จะแยกแยะออกได้ว่าคือพืชชนิดใด
ท้องฟ้าดูราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงสีแดงที่กำลังลุกไหม้อากาศที่หายใจเข้าไปก็มีแต่ความร้อนและแห้งแล้งทำให้ผู้คนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ในระหว่างที่เดินทางมาถึงที่นี่ ร่างของผู้คนบนถนนเริ่มเห็นได้อย่างเลือนรางราวกับมีหมอกบังระยะห่างมองเห็นได้เพียงแค่ระยะใกล้ๆ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะถอยกลับใน่ห้าลี้
"มู่โถว รีบส่งยาแก้พิษมาเร็วเข้าบ้าเอ๊ย... ดูเหมือนว่าพิษจะแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไม่ถึงครึ่งนาทีผลลัพธ์คงออกมาไม่ดีแน่"หัวขโมยเริ่มเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นอีกครั้ง
"รีบใช้ทักษะเพิ่มความเย็น ตอนนี้เริ่มแย่มากแล้วจากที่คำนวณมาจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าการเพิ่มความเย็นจะเหลืออยู่แค่ 40 วินาที ยิ่งเข้าไปด้านในมากเท่าไร อุณหภูมิก็จะยิ่งสูงขึ้นมากกว่านี้พวกเรายังจะเข้าไปต่อไหม? นักธนูเริ่มแสดงความกังวลออกมา
ผู้ใช้เวทกลืนยาน้ำเงินลงไปอีกขวดก่อนจะเรียกใช้ทักษะเพิ่มความเย็นใส่ผู้เล่นคนหนึ่ง แล้วปาดเหงื่อที่ไหลอยู่บนหน้าผากและพูดขึ้นว่า"ไม่เอาแล้ว พอแค่นี้แหละ ไม่ไปต่อแล้วอีกอย่างทักษะเพิ่มความเย็นนั้นเป็เพียงแค่เวทเล็กๆและไม่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง และฉันเองก็ทนไม่ไหวแล้วด้วยถ้าเดินเข้าไปอีกครึ่งลี้ ดูท่าว่าทักษะเพิ่มความเย็นคงจะเหลืออยู่แค่สิบวินาทีเป็แน่ฉันคิดว่าเป็การดีกว่าถ้าพวกเราจะถอยกลับ"
นักรบยื่นยาแก้พิษให้กับหัวขโมยขณะที่เขย่าขวดดูเหมือนว่าจะไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นเลยเมื่อมองดูก็พบว่ามันว่างเปล่าเสียแล้วนักธนูและผู้ใช้เวทที่กำลังยื่นมือรอยาแก้พิษ เมื่อเห็นการกระทำของนักรบสีหน้าก็เปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน นักธนูกลืนน้ำลายก่อนจะถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า"มู่โถว อย่าบอกนะว่ายาแก้พิษหมดแล้ว"
ในขณะที่ผู้ใช้เวทจ้องมองด้วยความกังวลนักรบก็พยักหน้าขึ้นก่อนจะพูดว่า "ไม่มีแล้ว ฉันกินไปแล้ว"
"แล้วทำไมนายไม่พูดก่อนหน้าที่ฉันจะไป?"ผู้ใช้เวทหน้าเริ่มเขียวคล้ำ
"แล้วตอนนี้จะให้ทำอย่างไร?"หัวขโมยเริ่มใจไม่เย็นแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะกินยาแก้พิษไปแล้วแต่ก็สามารถทนได้เพียงแค่ 30 วินาทีเท่านั้น
"วิ่งเร็วเข้า" นักธนูกัดฟัน
"วิ่ง มา..." พูดยังไม่ทันขาดคำร่างที่อยู่ด้านหน้าของผู้ใช้เวทก็กะพริบวาบ นักธนูก็พุ่งออกไปในทันทีวิ่งไปในทิศทางเดียวกันราวกับกระต่าย
เมื่อเห็นดังนั้นหัวขโมยจึงรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วยิ่งกว่ากระต่าย ในบรรดาทั้งสี่คนนั้นเขาย่อมเร็วที่สุดถ้าจะมีใครในสี่คนที่ควรจะมีชีวิตรอดก็ควรจะเป็เขาที่อัตราการรอดชีวิตน่าจะสูงที่สุด
"ไอ้เวรเอ๊ย... เ้าลูกเต่าสองตัวนี้"ผู้ใช้เวทถึงกับด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่เขาเองก็ไม่สามารถวิ่งตามได้ทันเพราะเขารู้ดีในเื่ของความเร็วของตนเอง เมื่อไม่มียาแก้พิษแล้วการจะวิ่งหรือไม่วิ่งก็ไม่ได้ให้ผลที่แตกต่างกัน สู้เก็บแรงเอาไว้ดีกว่า
นักรบมองดูหัวขโมยและนักธนูที่วิ่งไปไกลกว่าสิบเมตรพวกเขามองดูผู้ใช้เวทด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่จะเกาหัวพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ฉินโจ้วก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเขามองเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยแต่อย่างใดก่อนจะเดินผ่านผู้ใช้เวทและตรงเข้าไปยังหุบเขาจอมพล
ผู้ใช้เวทใช้ทักษะลดระยะเวลาให้กับทั้งสามคนก่อนหน้านี้เขาเองอยู่ในตำแหน่งรั้งท้าย แต่ก็ลืมที่จะใช้ยาแก้พิษ เมื่อถึงเวลาจึงเกิดความผิดพลาดตัวเลขค่าความเสียหายสีแดง -850, -850 ลอยขึ้นอยู่เหนือหัว
นักรบกล่าวขึ้นอย่างใจเย็นว่า"ดูเหมือนทักษะการเพิ่มความเย็นของนายจะหมดลงแล้ว"
ผู้ใช้เวทไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ก่อนจะจ้องมองไปยังนักรบเป็เวลานาน ทันใดนั้นก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นในใจว่า"ความหวาดกลัวนั้นไม่ได้เปลี่ยนศัตรูให้เป็หมาป่าแต่เปลี่ยนเพื่อนร่วมทีมให้กลายเป็หมู"
เพียงแค่ห้าวินาที พลังชีวิตของผู้ใช้เวทก็กลายเป็ว่างเปล่าเปลี่ยนเป็แสงสีเทา และก็ตาย...
ยี่สิบห้าวินาทีต่อมา นักธนูก็ถูกพิษ สามสิบวินาทีให้หลังนักรบตาย... สี่สิบห้าวินาทีต่อมา ลำแสงสีเทาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และหัวขโมยก็ตายลง
เพียงไม่ถึงนาที ทางไปหุบเขาจอมพลก็กลืนกินไปมากกว่าสี่ชีวิตเสียแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้