“ท่าน…ทำกระไรเนี่ย!” หลินหวั่นชิวผลักบุรุษหนุ่มออก จ้องเขาตาขวาง
“จูบเ้า” เจียงหงหย่วนตอบอย่างภูมิใจ
“กลางวันแสกๆ ประตูบ้านก็ไม่ได้ปิด!” ถ้ามีผู้ใดเข้ามาจะทำอย่างไร? ได้ขายหน้าตายพอดี!
(มีคนเข้ามาแล้ว…)
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปปิดประตู” บุรุษหนุ่มวิ่งไปปิดประตู “ความหมายของเ้าคือ…ปิดประตูแล้วจะทำกระไรก็ได้!”
หลินหวั่นชิวตาค้างปากค้าง!
จะน่าไม่อายเกินไปแล้ว!
แต่นางยังไม่ทันได้โวยวาย บุรุษหนุ่มก็หน้าดำทะมึน มองเจียงหงป๋อกับยายสวีที่ยืนอยู่ตรงประตู
ท่าทีของป้าสวีที่เหมือนบอกว่าข้าเป็คนผ่านทาง ข้าเข้าใจดีทำให้เจียงหงหย่วนอยากถีบนางกระเด็น
“ต้าเกอ” เจียงหงป๋อยิ้มเรียบๆ เหมือนเพิ่งเข้ามา ไม่ได้ยินคำพูดไร้ยางอายของเจียงหงหย่วนแต่อย่างใด
“มัวยืนทำกระไรอยู่ด้านนอก กลับมาแล้วก็เข้าบ้าน”
หลินหวั่นชิว “…”
เจียงหงหย่วน ถ้าข้ายอมให้เ้าลวนลามตอนกลางวันแสกๆ อีก ข้าจะไม่แซ่หลินแล้ว!
หลินหวั่นชิวที่หน้าหนาไม่พอหันตัวกลับเข้าห้อง ปิดประตูสนิท
กระทั่งเมื่อเจียงหงหย่วนเคาะประตู “ภรรยาจ๋า ข้าไปล่ะนะ”
บุรุษหนุ่มยืนหน้าประตู เคาะประตูไม้ดังสนั่น
ในห้องไม่มีความเคลื่อนไหวใด เจียงหงหย่วนเคาะอีกครั้ง “ภรรยาจ๋า ข้าจะไปแล้วนะ”
รีบเปิดประตู
ไม่เห็นหน้าเ้าข้าไม่วางใจ
จังหวะที่เขาจะเคาะประตูอีกครั้ง จู่ๆ ประตูก็เปิดออก บุรุษหนุ่มรีบหดมือ เกือบฟาดโดนภรรยาตัวน้อยเสียแล้ว ตัวเล็กแค่นี้ไม่มีทางรับแรงฟาดเขาไหวเป็แน่ ใหมด
ภรรยาตัวน้อยมองเขาตาขวางด้วยความโมโห นางไม่พูดกระไรสักคำ ยัดวัตถุก้อนหนึ่งให้แล้วปิดประตูดัง ‘ปัง’
เจียงหงหย่วนลูบจมูกที่โดนประตูกระแทกจนแดงของตัวเอง ทำหน้าเขินอาย
ภรรยาตัวน้อยโกรธเสียแล้ว
แต่ตอนนี้ที่บ้านมีคนอยู่ เขาไม่กล้าพูดง้อ
ได้แต่กอดของหันตัวจากไป
ทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเปิดประตูด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงของภรรยาตัวน้อย “ดูแลตัวเองด้วย! เชอะ...”
เจียงหงหย่วนอดยิ้มกว้างไม่ได้
เจียงหงป๋อที่เห็นภาพนี้โดยบังเอิญต้องใพรั่นพรึง ทำม้วนตำราหลุดมือ
นี่เขา…ตาฝาดหรือไม่?
กว่าจะได้สติกลับคืนก็ตอนเจียงหงหย่วนขี่รถล่อออกไปแล้ว
บุรุษหนุ่มจากไปแล้ว หลินหวั่นชิวเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาไม่ได้ถามที่มาของหน้าไม้กับกริชจากนาง แต่นางงานเยอะมาก เพียงไม่นานก็โยนเื่นี้ทิ้งไป
นางไปซื้อสมุดหัดเขียนลายมือมาประมาณสิบเล่ม ซื้อกวีรวมเล่มกับสมุดรวมภาพ จ่ายเงินไปร้อยกว่าตำลึง
แต่นางไม่เสียดายเงิน แค่โยนของพวกนี้เข้าเสียนอวี๋ก็เปลี่ยนเป็เงินสดได้ทันที
นางท่องเสียนอวี๋มาตั้งนาน ค้นพบว่าเพียงแค่เป็ตำราและภาพวาดโบราณ ขอเพียงฝีมือพอใช้ได้ล้วนขายได้ราคาสูงทั้งนั้น!
หลายพัน หลายแสนหรือหลายล้านก็มี
แต่แน่นอนว่าจะราคาสูงถึงหลายล้านได้ต้องเป็ของคนมีชื่อเสียง
ยุคนี้ไม่มีบุคคลมีชื่อเสียงที่นางรู้จักสักคน ด้วยเหตุนี้หลินหวั่นชิวจึงไม่แม้แต่จะคิด
หลักหลายพันถึงหมื่นยังพอคิดได้อยู่
ไอ๊หยา ขาดแคลนเงินเหลือเกิน ซื้อของให้เจียงหงหย่วน ซื้อวัสดุมาทำดอกไม้ประดับผม ซื้อของตกแต่งร้าน…ค่าใช้จ่ายนางสูงมากจริงๆ…
สูงสุดๆ…
กลับถึงบ้านแล้วโยนของพวกนี้ลงไปขายบนเสียนอวี๋ก่อนสิบอย่าง เก็บที่เหลือไว้ในช่องเก็บของ
หลังจากที่ซื้อขายมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดเสียนอวี๋ก็เลื่อนระดับ ห้องหัตถการไม่เพียงเพิ่มช่องวัสดุเป็สิบช่องและเลือกระดับความเหมือนในการทำซ้ำได้ แต่จำนวนช่องวางของขายก็เพิ่มเป็สิบช่องเช่นกัน ช่องเก็บของเพิ่มขึ้นเป็สิบช่อง
ราคาประเมินของเสียนอวี๋เป็ไปตามที่หลินหวั่นชิวคาดการณ์ สมุดหัดเขียนลายมือขายได้เล่มละหนึ่งถึงสองพันหยวน แต่มีสมุดภาพดอกไม้ต้นหญ้าเล่มหนึ่งให้ราคาสูงถึงสองหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดหยวน ถือเป็เื่น่ายินดีที่ไม่คาดคิด
อย่ามองว่าหลินหวั่นชิวจ่ายเงินซื้อไปร้อยกว่าตำลึง เพราะนางซื้อมาในปริมาณที่เยอะ สมุดภาพเล่มหนึ่งขายได้ราคาสูงขนาดนี้…ในช่องเก็บของยังมีสมุดภาพประเภทเดียวกันอีกหลายเล่ม!
หลินหวั่นชิวรู้สึกว่าตัวเองจะรวยแล้ว!
ได้ลาภลอย!
มีความสุขจะตายแล้ว
วิ่งไปดูหน้าร้านอย่างมีความสุข ตกแต่งใกล้เสร็จแล้ว อีกสองวันน่าจะตรวจรับงานได้
ทุกอย่างกำลังเป็ไปในทิศทางที่ดี หลินหวั่นชิวยิ้มแม้กระทั่งตอนหลับ
เปลี่ยนประเภทอาหารให้สองพี่น้องกินทุกวัน
ทั้งสองถูกนางขุนราวกับหมูมาสองเดือนกว่า เจียงหงหนิงเริ่มตัวพองราวกับลูกโป่ง กลายเป็เด็กตัวขาวจ้ำม่ำ
เจียงหงป๋อมีเนื้อมีหนังขึ้นมากเช่นกัน คางไม่ได้แหลมจนก้มหน้าแล้วจิ้มทะลุอกเหมือนเมื่อก่อน
ตรวจรับร้านเสร็จ หลินหวั่นชิวก็ยุ่งกับการจัดแต่งร้าน
แขวนผ้าม่าน วางของตกแต่ง บรรยากาศภายในร้านอบอุ่นขึ้นมาทันที
หลินหวั่นชิวตกแต่งแบบร้านกาแฟขนาดเล็ก ซื้อโซฟามาจากเสียนอวี๋ แต่ไม่กล้าซื้อแบบสมัยใหม่เกินไป ใช้โซฟาที่ทำเลียนแบบสมัยเก่า ด้านใต้มีสปริง นั่งแล้วสบายกว่าเก้าอี้ไม้แข็งๆ
ชั้นวางสินค้าตั้งติดกำแพงทั้งหมด มีไม่เยอะ วางสลับกับดอกไม้และของประดับอื่นๆ
ของที่หลินหวั่นชิวอยากขายมีไม่มาก ร้านของนางมุ่งเน้นที่สินค้าชั้นเยี่ยม
นำหนังสือภาพที่ทำซ้ำบนเสียนอวี๋ไปจัดวางบนชั้นให้เรียบร้อย ใต้สินค้าทุกชิ้นถูกรองด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ เสริมดุนให้สินค้าดูมีระดับขึ้นอีก
ผนังข้างประตูด้านหนึ่งมีผ้ากำมะหยี่สีดำตรึงไว้เช่นกัน บนผ้าประดับด้วยเครื่องประดับคริสตัลต่างๆ ที่ซื้อมาจากเสียนอวี๋
สรุปคือ ร้านของนางไม่ได้ขายแค่สมุดภาพตำรับอาหาร ตำราสำหรับคนเริ่มเรียนและนิทานสำหรับเด็กๆ แต่ยังขายเครื่องสำอาง เครื่องประดับที่รูปแบบต่างจากร้านเครื่องประดับทั่วไป ทั้งยังมีนาฬิกาพกและกล่องดนตรี
ชาดทาแก้มถูกบรรจุลงในกล่องเครื่องเคลือบ ตัวกล่องเป็รูปแบบตะวันตกเช่นกัน ประณีตและพกพาง่ายมาก
นางซื้อมาจากเสียนอวี๋ทั้งหมด
อายุการเก็บรักษายังใหม่
นางสืบมาแล้วว่ายุคต้าโจวไม่ได้ห้ามการขนส่งทางทะเล ด้วยเหตุนี้นางจึงมีคำอธิบายถึงที่มาของสินค้าเหล่านี้
ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อย เหลือแค่เปิดร้านเท่านั้น
แต่ปัญหาก็คือ จะเปิดร้านต้องมีพนักงาน!
ถ้าหาไม่ได้จริงๆ คงต้องทำเองไปก่อน จ้าวสุ่ยเซิงส่งสาวน้อยมาให้สองคน ยายสวีช่วยล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดแล้ว กำลังอบรมกฎต่างๆ ให้พวกนางอยู่ แต่สาวน้อยทั้งสองไม่รู้หนังสือ ถึงเวลาคงได้แต่ให้ยายสวีพาไปช่วยงานเบ็ดเตล็ดในร้าน
“ไท่ไท่ วันเปิดร้านควรเชิญซินแสมาช่วยเลือกดีกว่าเ้าค่ะ” ยายสวีช่วยหลินหวั่นชิวทำความสะอาดร้าน เห็นหลินหวั่นชิวเลือกวันเปิดร้านจึงเสนอ
หลินหวั่นชิวคิดดูแล้วก็เห็นด้วย จะเปิดกิจการทั้งทีต้องให้ทุกอย่างเป็ไปด้วยดี ให้คนเลือกวันดีให้จะได้มีนิมิตรหมายที่ดี
“ได้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปหาซินแสกันเถิด!” หลินหวั่นชิวกับยายสวีเก็บกวาดร้านเสร็จก็พานางไปที่ฝั่งตะวันออกของเมือง ที่นั่นมีถนนที่มีซินแสมาตั้งแผง
สถานศึกษาจิ่วไท่ตั้งอยู่ฟากตะวันออกของเมืองเช่นกัน หลินซย่าจื้อส่งหลินจินเป่ามาเรียนหนังสือ ออกมาแล้วเห็นหลังหลินหวั่นชิวพอดี
นางรู้ว่าหลินหวั่นชิวตามเจียงหงหย่วนมาอยู่ในอำเภอแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน หึ คิดไม่ถึงว่าจะเจอพอดี ย่ำจนรองเท้าสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย![1]
หลินซย่าจื้อแอบตามไปอย่างเงียบๆ
เชิงอรรถ
[1] ย่ำจนรองเท้าสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย(踏破铁鞋无觅处,得来全不费工夫) หมายถึง พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจกลับได้มาง่ายๆ
