ทั้งคู่จูงม้าเข้าหมู่บ้านมา เห็นทางข้างหน้ามีกลุ่มคนยืนล้อมอยู่ มีทั้งชายหญิงทั้งเด็กทั้งคนแก่ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีประมาณร้อยคน ในหมู่บ้านจู่ๆ ก็ดูวุ่นวายขึ้นมา
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นรีบผูกม้าเอาไว้ แล้วก็เดินเข้าไปร่วมวงด้วย เห็นพวกชาวบ้านต่างมีความโกรธเคือง ตรงหน้ามีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่
คนเ่าั้ต่างจากชาวบ้าน พวกเขาใส่เสื้อแขนสั้น ร่างกายสูงใหญ่กำยำ มีประมาณห้าหกคนยืนอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนสวมชุดเทา ชายวัยกลางคนคนนั้นถือสายรัดสีเทา น่าจะมีอายุราวๆ สี่สิบ ใบหน้ามีรอยบาก สีหน้าท่าทางดุดัน ไม่ได้มีความเป็มิตรเลยแม้แต่น้อย
ด้านหลังของคนเ่าั้ มีม้าอยู่หลายตัว แสดงว่าขี่ม้ามากัน
หยางหนิงรู้ว่าม้าของต้าฉู่เป็ของหายาก คนทั่วไป ไม่มีทางมีม้าได้ แสดงว่าคนพวกนี้จะต้องมีที่มาไม่ธรรมดา
“อะไรกัน นี่คิดจะตีหรือจะฆ่ากันแน่?” คนชุดเทาชี้นิ้วกวาดไปที่เครื่องมือของชาวบ้าน จากนั้นก็พูดว่า “หากจะฆ่าคนอาศัยของกระจอกเช่นนี้ไม่มีทางทำได้หรอก”
ตอนนี้มีชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำยืนอยู่หน้าชาวบ้าน อายุก็ราวๆ สี่สิบเช่นกัน หยางหนิงเห็นเพียงด้านหลังของเขา จึงไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเป็เช่นไร ข้างๆ ตัวเขา ก็มีคนร่างใหญ่ถือเครื่องมือทำนาราวๆ สิบคน กำลังเผชิญหน้ากับคนเ่าั้อยู่
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคน ถึงแม้จะมีชาวบ้านมองพวกเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์มากกว่า เลยไม่มีคนสนใจสองคนนั้นนัก
“ผู้ดูแลหลัว พวกเขาเพิ่งกลับมาจากการทำนา ไม่ได้จะทำอะไรเสียหน่อย” ชาวบ้านคนที่อยู่หน้าสุดพูด “แต่ว่าคำขอที่ท่านเอ่ยมานั้น พวกเราปรึกษากันแล้ว เกรงว่าจะทำตามที่ท่านผู้ดูแลหลัวร้องขอมิได้ ไม่ว่าใครก็อยากจะมีชีวิตรอดกันทั้งนั้น คงไม่อาจบีบตัวเองให้ถึงที่ตายหรอกขอรับ”
“ช้าก่อน” ชายชุดเทาชัดเจนว่าคือผู้ดูแลหลัว ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “หานอี้ เ้าเป็หัวหน้าหมู่บ้านหลูหวัง ก็น่าจะเข้าใจนะว่า คำร้องขอนี้ มันไม่ใช่เจตนาของหลัวชางกุ้ย แต่เป็เจตนาของจวนจิ่นอีโหว” พูดจบ ก็ยกมือคำนับขึ้นทางขวา “ท่านจิ่นอีโหวสิ้นไป ทั่วแคว้นต่างอาลัย เขาเป็เสาหลักของแคว้น จัดงานศพ ก็ต้องแตกต่างจากผู้อื่น ค่าใช้จ่ายก็มีมาก ท่านจิ่นอีโหวเป็หน้าตาของชาวเจียงหลิงเรา เราก็อาศัยบารมีท่านโหวมีชีวิต ตอนนี้ท่านโหวสิ้นไป หากยังมีสำนึกอยู่บ้าง ก็ควรจะตอบแทนบุญคุณท่าน แต่พวกเ้ากลับยึกยัก หรือว่าพวกเ้าจะเป็พวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคารึ?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ดูแลหลัวมาถึงก็ยกจิ่นอีโหวออกมาพูด ในใจก็แอบคิดว่าเื่ที่จิ่นอีโหวสิ้นนั้นมาถึงเจียงหลิงแล้วหรือ
กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าดูไม่ดีนัก
หานอี้ชายผิวคล้ำจึงรีบพูดว่า “ผู้ดูแลหลัว ท่านโหวมีบุญคุณกับเรายิ่งนักเราไม่เคยลืม แต่ทุกครั้งที่ร้องขอก็จะเอาข้าวเพียงบ้านละกระสอบเท่านั้น เรารับไม่ไหวจริงๆ” จากนั้นก็หันแล้วชี้ไปที่กลุ่มชาวบ้าน “ท่านผู้ดูแลหลัว ชาวบ้านหลูหวัง ถึงแม้จะไม่ได้ผอมถึงกระดูก แต่ก็แห้งจนจะไม่มีเนื้อหนังกันอยู่แล้ว ถึงแม้จะได้ผลผลิตมาแล้ว แต่ก็เก็บเอาไว้จนถึงปีหน้า หลายครอบครัวก็แทบจะไม่มีกินอยู่แล้ว หากต้องเอาออกมาอีกคนละกระสอบ ขอถามผู้ดูแลหลัวหน่อยเถิด ท่าน้าให้พวกเขาตายหรืออย่างไรกัน?”
“ตามที่เ้าว่า เกียรติของท่านจิ่นอีโหวไม่สำคัญเลยหรืออย่างไร?” ผู้ดูแลหลัวยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ท่านจิ่นอีโหวเป็คนใสซื่อมือสะอาด รายรับของท่านโหว ก็มาจากพวกเ้า มาถึงตอนนี้ พวกเราไม่ช่วย แล้วผู้ใดจะช่วยเล่า แล้วผู้ใดจะมาช่วยรักษาเกียรติของจวนโหวกันเล่า? จะต้องให้ท่านโหวต้องมาเสียเกียรติต่อหน้าขุนนางนับร้อยเพียงเพราะผลผลิตของพวกเ้าอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นเข้าใจหยางหนิง แล้วส่ายหัว
ทันใดนั้นเองก็มีชาวบ้านคนหนึ่งะโออกมาว่า “ผู้ดูแลหลัว หมู่บ้านหลูหวังเคยส่งข้าวขาดไปสักเม็ดหรือไม่? พวกเ้าบอกว่าท่านโหวไปออกรบ บ้านเมืองลำบาก เราต้องจ่ายภาษีสี่ส่วน พวกเราก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรนัก พวกเราก็จ่ายเป็รายหัวให้ ปกติ พวกเ้ามาดึงคนไปทำงาน ข้าวก็ไม่ให้กิน เราก็มิได้ว่าอะไร เอะอะอะไรก็เอาท่านโหวมาอ้าง พวกเรารู้ แต่ก่อนเราใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสบายได้ เพราะท่านโหว ตอนลำบากเราก็อดทนเพื่อท่านโหวบ้างมันก็เป็เื่ที่สมควร” เสียงของเขาดูจริงจัง “หลายปีมานี้อาหารของเราลดลง การกินอยู่ก็กลายมาเป็ปัญหา แต่พวกเ้ากลับมารีดไถทรัพย์สินชาวบ้าน เรียกเก็บภาษีสูงขึ้นทุกปี ๆ หากเป็เช่นนี้ต่อไป แล้วพวกเราจะอยู่กันได้อย่างไร?”
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว มีคนะโออกมาว่า “ตอนที่ท่านเหล่าโหวสิ้น ก็มิได้บอกให้ต้องส่งผลผลิตเพิ่มขึ้น ตอนนี้ท่านโหวสิ้น ทำไมถึงเปลี่ยนกฎเล่า?”
หยางหนิงสีหน้าดุดัน กู้ชิงฮั่นสีหน้าดูแย่ กำหมัดขึ้นมา
ผู้ดูแลหลัวสายตาดุดันขึ้นมา แล้วพูดว่า “ดูท่าแล้วท่านโหวคงดีกับพวกเ้ามากเกินไป ทำให้พวกเ้าสบายเกินไป ที่ดินที่พวกเ้าใช้ปลูกข้าว เป็ที่ดินศักดินาที่อดีตฮ่องเต้ทรงประทานให้กับท่านโหว อย่ามาพูดเลยว่าผลิตผลได้เท่าไหร่ถือเป็การตอบแทนบุญคุณ ต่อให้ต้องเก็บผลผลิตของพวกเ้าทั้งหมด พวกเ้าก็ต้องส่งมา”
“ผู้ดูแลหลัว พูดแบบนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยนะ” หานอี้พูดด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ว่า “ข้าเคยได้ยินคนที่เรียนหนังสือเขาว่ากันว่า แผ่นดินทั่วหล้าล้วนแล้วแต่เป็ของฮ่องเต้ แต่ไม่เคยได้ยินว่าราชสำนักจะสามารถเก็บภาษีได้ตามใจชอบ หมู่บ้านของพวกเรา เป็ที่ดินของบรรพบุรุษเก็บไว้ให้ เป็ที่ดินสืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย ภาษีที่เราควรจ่ายเราก็จ่ายไปแล้ว ต่อให้ท่านโหวมาที่นี่เอง ก็ไม่มีสิทธิ์เก็บที่นาของเราไป”
ผู้ดูแลหลัวยิ้มแสยะ จ้องไปที่หานอี้แล้วพูดว่า “หานอี้ ดูท่าเ้าจะไม่ชอบไม้อ่อนอยากโดนไม้แข็งใช่หรือไม่ ข้าขอถามสักคำ ท่านโหวสิ้นต้องใช้ผลผลิต พวกเ้าจะให้หรือไม่ให้?”
หานอี้ะโพูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว ทุกคนที่นี่ยังอยากมีชีวิต ในเมื่ออยากมีชีวิตก็ต้องมีอาหาร ผลผลิตที่ควรให้เราก็ให้ไปหมดแล้ว ใครที่คิดจะขูดรีดผลผลิตจากพวกข้า พวกข้าก็ไม่มีให้แม้แต่เม็ดเดียว”
“ดี ถือว่ากล้าสมชายชาตรี” ผู้ดูแลหลัวยกมือหัวแม่โป้งให้ “หานอี้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ มีคนวิ่งไปถึงเมืองหลวง คิดจะไปฟ้องที่จวนโหว บอกว่าที่นี่เก็บภาษีตามอำเภอใจ เื่นี้พวกเ้าก็มีส่วนรู้เห็นด้วยใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่รู้ว่าเ้าพูดถึงเื่ใด” หานอี้ยิ้มเจื่อนๆ “แต่ว่าพวกเ้าก็บีบพวกข้ามากเกินไป หากข้าไปเมืองหลวงมาจริงๆ ทำไมภาษีถึงได้ขึ้นเอาทุกปีๆ เช่นนี้เล่า?”
“อย่างเ้าหรือจะเข้าจวนโหว?” ผู้ดูแลหลัวพูดว่า “คนที่ไปเมืองหลวงครั้งที่แล้ว พอกลับมา ก็ถูกพวกข้าตีจนขาหัก ชาตินี้คงต้องนอนอยู่เฉยๆ หรือว่าพวกเ้าไม่เคยได้ยิน?”
หานอี้หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาอยู่แล้ว หรือว่าผู้ดูแลหลัวอยากจะตีขาของข้าจนหักบ้างเล่า?”
ชาวบ้านที่ถือจอบถือเสียมก็ยกอาวุธในมือขึ้นมา
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปข้างๆ หูของกู้ชิงฮั่น แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “มีคนไปร้องเรียนที่เมืองหลวงด้วยหรือ?”
กู้ชิงฮั่นหน้านิ่ง และยังคงส่ายหน้าเช่นเคย
“หานอี้ไม่คิดจะส่งมอบผลผลิตมา พวกเ้าก็เหมือนกันใช่หรือไม่?” ผู้ดูแลหลัวกวาดสายตาไปรอบๆ “เขาคงไม่อยากเป็หัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่แล้วกระมัง พวกเ้าไม่อยากมีชีวิตกันแล้วใช่หรือไม่?”
“พวกข้าจะไม่ยอมไม่ส่งให้” คนที่อยู่ข้างๆ ะโขึ้นมา “ครั้งนี้แม้แต่ข้าวเม็ดเดียวพวกข้าก็จะไม่ส่งให้”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ร้องะโขึ้นมาเช่นกัน
ผู้ดูแลหลัวยิ้มเจื่อนๆ ชี้ไปที่คนคนหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงเข้มๆ ว่า “เ้าออกมานี่ซิ เมื่อครู่นี้เ้าพูดว่าอย่างไรนะ?”
คนผู้นั้นถูกผู้ดูแลหลัวชี้ จึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ยังคงรวบรวมความกล้าแล้วเดินออกมาพูดว่า “ข้า... ข้าบอกว่าข้าไม่ให้ผลผลิต ผลผลิตที่ควรให้...” เขาพูดยังไม่ทันจบ ด้านหลังของผู้ดูแลหลัวก็มีชายผู้หนึ่งเดินออกมา แล้วกระชากคอเสื้อของชายคนนั้นเอาไว้
ชายผู้นั้นใยิ่งนัก เขาร่างกายบอบบาง เมื่อเทียบกับชายฉกรรจ์ยังห่างชั้นกันมากนัก ชาวบ้านจับเอาไม้คานยกขึ้นมาฟาด แต่ชายฉกรรจ์เหมือนจะผ่านการฝึกมานักต่อนักแล้ว ใช้มือกระชากไม้คานมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไร ยกไม้คานขึ้นมาแล้วฟาดไปที่ศีรษะของชาวบ้านผู้นั้นอย่างแรง
เสียงร้องอันเ็ปดังขึ้น ไม้คานกระแทกไปที่ศีรษะ ชาวบ้านคนนั้นดูมึนงง จากนั้นจึงล้มลง เืไหลซิบๆ ออกมา ชาวบ้านคนอื่นต่างใ บางคนเริ่มโกรธ แต่คนส่วนมากจะใเสียมากกว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หานอี้ตะคอก “พวกเ้าคิดจะทำสิ่งใดกัน?” จากนั้นก็พุ่งเข้าไป คิดจะไปดูแผลของชาวบ้านคนที่าเ็ผู้นั้น ชาวบ้านอายุน้อยหลายคนคิดว่าหานอี้จะบุกเข้าไป เืในตัวก็พลุ่งพล่าน ต่างะโโห่ร้องตามหานอี้ไป ชายฉกรรจ์ด้านหลังของผู้ดูแลหลัวต่างพากันบุกเข้ามา
หยางหนิงขมวดคิ้ว เขามองออกเลยว่าคนของผู้ดูแลหลัว อย่างไรเสียก็ผ่านการฝึกมาแล้ว ถึงแม้ศิลปะการต่อสู้จะไม่สูงนัก แต่ก็ชำนาญการต่อสู้อยู่บ้าง ชาวบ้านเหล่านี้ไม่สามารถเป็คู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างแน่นอน
ชาวบ้านคนอื่นต่างโกรธแค้น แต่ว่าเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ร่างั์ท่าทางดุดัน ก็ไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้าไป ต่างก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน
หานอี้ร่างกายสูงใหญ่ แรงก็มีไม่น้อย เขาไม่ได้คิดจะลงมือกับคนเหล่านี้แต่แรก แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มลงมือกันไปแล้ว เขาเองก็จนปัญญา เห็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหาตน จึงทำได้เพียงตั้งรับ จากนั้นก็จับไปที่มือของอีกฝ่าย พัลวันกันอยู่ครู่หนึ่ง ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งโยนชาวบ้านสองคนลงกับพื้น เห็นหานอี้ยังสู้อยู่ จึงหยิบไม้คานขึ้นมา แล้วตั้งใจเดินไปฟาดใส่หลังศีรษะของหานอี้อย่างแรง
เขายกไม้คานขึ้นมา ยังไม่ทันได้ฟาด ก็รู้สึกว่าไม้คานมันถูกรั้งเอาไว้ ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ไม้คานในมือก็ถูกกระชากออกจากมือไป
ชายผู้นั้นจึงสะดุ้งใ ยังคิดว่าเป็ชาวบ้านคนอื่นที่เข้ามาขวาง เมื่อหันหลังไปดู เห็นแค่เพียงเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น เสื้อผ้าไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ไม้คานถูกเขาแย่งเอาไป ชายฉกรรจ์ใยิ่งนัก เห็นชายหนุ่มเหมือนจะอ่อนแอบอบบาง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะมีแรงกระชากไม้คานออกไปจากมือของเขาได้