ตอนนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากห้องทำงานที่อยู่สุดทางเดินพลางพูดคุยกัน จนทำให้ทางเดินดูพลุกพล่านขึ้นมาทันที
เซียวอิงเสียจึงเอ่ยกับคังอิงว่า “แขกของผู้จัดการหลี่กลับไปแล้ว เดี๋ยวฉันไปดูให้ว่าเขาว่างหรือเปล่า ถ้าว่าง คุณก็สามารถเข้าพบได้”
หลังจากพูดคุยกันสักพัก เซียวอิงเสียก็รู้สึกชื่นชอบคังอิงโดยไม่รู้ตัว จึงเต็มใจช่วยเหลือเธอ
เมื่อแขกทยอยกันออกไปหมด เซียวอิงเสียจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้จัดการหลี่ จากนั้นออกมาบอกกับคังอิงว่า
“ผู้จัดการหลี่ว่างแล้ว คุณสามารถเข้าพบได้เลย”
คังอิงกล่าวขอบคุณเซียวอิงเสียก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานของผู้จัดการ ทว่าเซียวอิงเสียกลับเดินตามมา ที่แท้แล้วอีกฝ่าย้าพาคังอิงไปพบกับผู้จัดการหลี่
เซียวอิงเสียเคาะประตูห้องทำงานอย่างสุภาพ คังอิงพลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็ ‘ธุรกิจใหญ่’ ครั้งแรกที่เธอต้องเจรจาหลังจากกลับมาเกิดใหม่ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวอยู่ที่การเจรจาครั้งนี้
ว่ากันว่าเธอเป็ ‘ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ [1]’ ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยขี้ขลาดของคังอิงตัวจริงที่หวาดกลัวฟู่ซินหลางมาก หากในเวลานี้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของผู้จัดการหลี่คือคังอิงคนเก่า คงจะตัวสั่นเป็เ้าเข้าไปแล้ว
ไม่สิ คังอิงตัวจริงไม่มีทางคิดที่จะมาพบกับผู้จัดการหลี่เพียงลำพังแน่ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมาคุย ‘ธุรกิจ’ กับผู้จัดการหลี่เลย
คังอิงไม่ได้มาเจรจาธุรกิจธรรมดาๆ กับผู้จัดการหลี่ เธอกำลังจะทำธุรกิจที่สามารถ ‘เปลี่ยนแปลงการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเชิงพาณิชย์ของอำเภอหลี่ว์’ ซึ่งถือว่ามีความยากลำบากมาก ตอนนี้สิ่งที่คังอิงพึ่งพาได้ก็มีแค่บทความที่ผู้จัดการหลี่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ ‘ฉวี่เจียงรายวัน’ เท่านั้น
คังอิงแอบสูดลมหายใจลึกๆ แล้วให้กำลังใจตนเองว่า ‘เธอทำได้! เธอจะต้องใช้คารมคมคายของเธอเกลี้ยกล่อมผู้จัดการหลี่ให้ได้’
“เข้ามาได้” หลังจากที่เซียวอิงเสียเคาะประตูแล้ว เสียงอันน่าครั่นคร้ามก็ดังมาจากด้านใน
เซียวอิงเสียเปิดประตูเบาๆ แล้วพาคังอิงเข้าไป เธอกล่าวกับชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานว่า “ผู้จัดการหลี่ นี่คือคุณคังอิงที่้ามาพบคุณ เสี่ยวคังค่ะ”
เซียวอิงเสียพาคังอิงมาที่ห้องทำงานของผู้จัดการหลี่ แถมยังแนะนำคังอิงให้เขารู้จักอีกด้วย เซียวอิงเสียเป็รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรการ ปกติต้องติดต่อกับผู้จัดการหลี่อยู่แล้ว
เป็เื่ยากที่เซียวอิงเสียจะแนะนำใครให้กับผู้จัดการหลี่ ทำให้ผู้จัดการหลี่อดไม่ได้ที่จะคาดเดาตัวตนของคังอิง รวมไปถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเซียวอิงเสีย
คังอิงที่เห็นผู้จัดการหลี่มองเธออย่างจดจ่อมากขึ้นก็รู้ได้ทันที ว่าการแนะนำของเซียวอิงเสียคงมีผลมากพอสมควร
ดูท่าการพูดคุยกับเซียวอิงเสียก่อนหน้านี้คงไม่ได้สูญเปล่า มันทำให้เซียวอิงเสียรู้สึกดีกับเธอ และเต็มใจแนะนำเธอให้กับผู้จัดการหลี่ นี่คือผลกำไรที่ดีจากการที่เธอใช้เวลาไปกับการเข้าสังคมกับคนอื่น
ดังนั้นคังอิงจึงแนะนำตนเองว่า “สวัสดีค่ะผู้จัดการหลี่ ฉันชื่อคังอิง ฉันได้ยินมาว่าสำนักงานใหญ่ธุรกิจของพวกคุณกำลังทดลองดำเนินการปฏิรูปรูปแบบใหม่ ในฐานะนักธุรกิจคนหนึ่ง ฉันจึงอยากพบกับคุณโดยตรง เพราะนี่เป็โอกาสดีที่เป็ประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”
คำกล่าวเปิดที่ไม่เหมือนใครนี้ดึงดูดความสนใจของผู้จัดการหลี่ทันที เขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง นี่เป็่เวลาที่จะต้องแสดงความสามารถของตนเอง
ตอนนี้การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศจีนกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก ผู้จัดการหลี่ก็อยากสร้างผลงานด้านนี้ขึ้นมา เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน พอคังอิงเอ่ยประโยคเปิดก็ตรงกับความคิดในใจ ทำให้เขารู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที
เขาลุกขึ้นยืนจากหลังโต๊ะทำงานแล้วกล่าวกับคังอิงอย่างกระตือรือร้นว่า “เสี่ยวคังสินะ เชิญนั่งตรงนี้เลย พวกเรามาจิบชาไปคุยกันไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าคังอิงกับผู้จัดการหลี่เริ่มพูดคุยกัน เซียวอิงเสียจึงขอตัวออกไปอย่างสุภาพ แน่นอนว่าเธอยังไม่ปิดประตู เพราะพวกเขามีกันแค่ผู้ชายกับผู้หญิงสองคน จำเป็ต้องระมัดระวังเื่ภาพลักษณ์ นี่คือรายละเอียดที่ผู้อำนวยการสำนักงานต้องให้ความสำคัญ
ผู้จัดการหลี่รินน้ำร้อนจากกระติกน้ำร้อน แล้วชงชาเขียวอย่างดีให้สองถ้วย จากนั้นเขาก็ยื่นถ้วยหนึ่งไปวางบนโต๊ะน้ำชาข้างหน้าคังอิง
การต้อนรับแขกด้วยการชงชานั้นเป็มารยาทของคนทางตอนใต้ และยังแสดงให้เห็นว่าเ้าบ้านให้ความสำคัญกับแขกมากแค่ไหน
คังอิงใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะสามครั้งต่อหน้าถ้วยชา [2] เพื่อแสดงความขอบคุณ ผู้จัดการหลี่จึงถามขึ้นว่า
“ดูคุณยังอายุไม่มากเท่าไหร่ ทำธุรกิจมากี่ปีแล้ว? มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างเกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ?”
คังอิงยิ้มพลางกล่าว “ฉันทำธุรกิจมาได้ไม่นานค่ะ แต่ที่ฉันกล้ามาที่นี่ก็เพราะได้อ่านบทความที่คุณผู้จัดการเขียนลงในหนังสือพิมพ์ ‘ฉวี่เจียงรายวัน’ ค่ะ”
คังอิงกล่าวพลางหยิบหนังสือพิมพ์ ‘ฉวี่เจียงรายวัน’ ที่ลงบทความของบริษัทฯ ยื่นให้ผู้จัดการหลี่ดู เพื่อพิสูจน์ว่าเธอได้อ่านมันจริงๆ
จริงๆ แล้วเธอเพิ่งจะได้อ่านบทความนี้ตอนที่อยู่ที่ห้องทำงานต่างหาก อย่างไรเสียผู้จัดการหลี่ก็ไม่รู้เื่นี้ ส่วนเซียวอิงเสียรู้เื่นี้ แต่ผู้จัดการหลี่คงไม่ไปคุยกับเธอเื่รายละเอียดว่าคังอิงได้อ่านบทความนี้ั้แ่เมื่อไหร่
“อ้อ? พอคุณได้อ่านบทความนี้แล้วมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
ผู้จัดการหลี่เริ่มสนใจมากขึ้น บทความนี้เป็บทความที่เขาใช้เวลานานในการเขียนขึ้นมา และได้รับการยอมรับจากเบื้องบนจนได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ การที่ได้รับคำชื่นชมจากผู้อ่านที่สะสวยเช่นนี้ ทำให้เขาภาคภูมิใจเป็อย่างยิ่ง
“ฉันคิดว่ามุมมองที่คุณเขียนไว้ในบทความนั้นล้วนสอดคล้องกับกระแสของยุคสมัย แต่ทฤษฎีก็คือทฤษฎี สิ่งที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนทฤษฎีให้กลายเป็การปฏิบัติจริง เริ่มต้นจากการปฏิรูปบริษัทที่อยู่ภายใต้การดูแลของคุณอย่างแน่วแน่ และปฏิบัติตามแิที่คุณได้นำเสนอไว้ในบทความ
ฉันเคยไปดูงานที่ห้างสรรพสินค้ามิตรภาพ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของคุณ กำไรจากการดำเนินงานในปีนี้อยู่ที่สี่แสนห้าหมื่นหยวน ฉันเลยคิดจะขอรับ่ต่อห้างสรรพสินค้าแห่งนี้จากคุณ และจะทำให้กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็สองเท่า ฉันคิดว่านี่คือวิธีที่ทำให้เราทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน”
ผู้จัดการหลี่ไม่ได้คาดคิดเลยว่า หญิงสาวผู้นี้จะเอ่ยปากขอรับ่ต่อรัฐวิสาหกิจแบบนี้ เขาจึงมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
ห้างสรรพสินค้ามิตรภาพเปิดกิจการในอำเภอหลี่ว์มานานหลายปี ในยุคเศรษฐกิจแบบวางแผนนั้น ห้างสรรพสินค้ามิตรภาพถือว่าเป็หน่วยงานที่ได้รับความนิยมมาก เพราะใครๆ ก็อยากจะเข้ามาทำงานที่นี่...
จนกระทั่งตอนนี้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีพนักงานมาแล้วทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดคน พนักงานที่เกษียณแล้วมีหกสิบแปดคน ซึ่งมีมากกว่าจำนวนพนักงานที่ทำงานอยู่
เงินเดือน สวัสดิการ และค่ารักษาพยาบาลของพนักงานหนึ่งร้อยแปดคนนี้ ถือเป็ภาระหนัก ซึ่งกำไรที่ห้างสรรพสินค้าทำได้ในแต่ละปีนั้นยังไม่เพียงพอที่จะจ่ายเงินเดือน ผู้จัดการหลี่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ก็เจอปัญหาพวกนี้จนเขารู้สึกปวดหัวอย่างมาก
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนแรกที่จะเอ่ยปากขอ ‘ผ่าตัด’ ห้างสรรพสินค้ามิตรภาพจะเป็หญิงสาวที่ชื่อคังอิงตรงหน้า
ในใจผู้จัดการหลี่รู้สึกยินดี แต่พอเห็นว่าคังอิงยังดูอายุไม่มาก อีกทั้งเขายังไม่รู้ภูมิหลังของเธอ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมา เขาจึงถามคังอิงต่อว่า
“ถ้าคุณอยากจะรับ่ต่อห้างสรรพสินค้ามิตรภาพ คุณวางแผนอะไรไว้บ้าง? คุณจะจ่ายค่าเช่าเท่าไหร่?” ผู้จัดการหลี่เอ่ยถามเพื่อลองเชิง
“คุณให้ฉันเช่าห้างสรรพสินค้าเป็เวลาสิบปี ในปีแรกฉันจะจ่ายค่าเช่าห้าแสนหยวน ปีต่อๆ ไปก็เพิ่มขึ้นปีละห้าหมื่นหยวน คุณเห็นว่าเป็อย่างไรบ้างคะ?”
ท่าทางที่ดูสุขุมของคังอิงดูขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ แต่ความใจเย็นสุขุมนี้กลับทำให้เธอดูน่าเชื่อถือ บุคลิกโดยรวมของเธอช่วยส่งเสริมให้เธอดูน่าเชื่อถือมากขึ้นอีก ทำให้ผู้จัดการหลี่รู้สึกว่าเขาเชื่อใจเธอได้โดยไม่รู้ตัว
“พวกเราต้องประชุมเื่นี้กันก่อน การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเป็เื่ใหญ่ มันเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ผมคงตัดสินใจคนเดียวไม่ได้หรอก”
เชิงอรรถ
[1] ลูกวัวเพิ่งคลอดไม่กลัวเสือ เพราะไม่รู้ว่าเสือดุร้ายแค่ไหน อุปมาถึง คนหนุ่มสาวที่มีความมุ่งมั่นไร้ความกังวลใจจึงกล้าทำกล้าแสดงออก แต่ความกล้าหาญไม่เกรงกลัวนี้อาจนำภัยมาสู่ตนไม่รู้ตัว
[2] ที่มาของธรรมเนียมนี้มาจากเื่เล่าของจักรพรรดิเฉียนหลง ที่ครั้งหนึ่งปลอมเป็สามัญชน และพักที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง แล้วได้ลองรินน้ำชาให้ผู้ติดตาม ทำให้ผู้ติดตามใมาก ตามธรรมเนียมเมื่อได้รับพระราชทานสิ่งใดจะต้องคุกเข่าขอบพระทัย แต่ตอนนั้นอยู่ระหว่างปิดบังสถานะจึงงอนิ้วชี้และนิ้วกลางแล้วเคาะลงบนโต๊ะสองสามครั้งแทนการคุกเข่าลงขอบพระทัย พนักงานของร้านน้ำชาเห็นผู้ติดตามเคาะโต๊ะ จึงถามด้วยความสงสัย ผู้ติดตามรีบตอบว่า “นี่คือการเคาะโต๊ะเพื่อแสดงความขอบคุณ” แรกเริ่มการเคาะโต๊ะเพื่อขอบคุณนี้มีวิธีเคร่งครัดคือต้องงอนิ้วเป็หมัดหลวมๆ เคาะลงบนโต๊ะ ภายหลังเหลือเพียงใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางเคาะโต๊ะเบาๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้