ฝูเอ๋อร์พูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ ดวงตาที่กลมอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นไปอีก
“คุณหนูหมายความว่า...”
จิ่วหานเห็นคางของฝูเอ๋อร์แทบจะหล่นลงพื้นก็หัวเราะลั่นทันที ไม่เหลือภาพลักษณ์ของมือสังหารสิบอันดับแรกของการจัดอันดับในยุทธภพแม้แต่น้อย
“นายท่านหมายความว่า บ่อนพนันว่านก้วนคือกิจการของนายท่านอย่างไรเล่า!”
ระหว่างที่จิ่วหานหัวเราะ เขาก็ยกม้านั่งมาก่อนจะนั่งลง จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นสูงอย่างรู้สึกเป็เกียรติ
ฝูเอ๋อร์ที่ถูกหัวเราะใส่มีสีหน้าแดงก่ำ นางกัดริมฝีปากล่างและไม่กล่าวอะไรสักคำ
ไป๋เซี่ยเหอถลึงตามองจิ่วหาน
คนหลังเงียบเสียงทันที ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนตัวตรงอย่างเงียบงัน
เซี่ยถิงเดินออกมาจากด้านข้าง เขาเอาตัวบังฝูเอ๋อร์ไว้ด้านหลังอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เอ่ยกับไป๋เซี่ยเหอ “นายท่าน เราเข้าพักในเรือนหลังนี้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำป้ายติดที่ประตูเลยขอรับ”
คำกล่าวนี้กระตุ้นความสนใจของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
“ใช่แล้วๆ นายท่านคิดว่าเรือนของเราควรใช้ชื่ออะไรดีขอรับ?”
จิ่วหานกระตือรือร้นขึ้นมาทันที นับั้แ่ได้ติดตามไป๋เซี่ยเหอ เขารู้สึกราวกับมีชีวิตชีวาไม่รู้จบ
เมื่อจิ่วหานยืนคู่กับเซี่ยถิง ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองดูแตกต่างกันอย่างชัดเจน
“ใช้ชื่อว่าเรือนเมี่ยวโส่ว[1]แล้วกัน”
“เรือนเมี่ยวโส่ว?”
จิ่วหานไม่ทราบว่าเหตุใดไป๋เซี่ยเหอถึงใช้ชื่อนี้ ทว่าเซี่ยถิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
“นายท่านคิดจะให้ฮูหยินพักฟื้นที่เรือนหลังนี้หรือขอรับ?”
“ถูกต้อง” ไป๋เซี่ยเหอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“นี่เป็ตัวเลือกที่ไม่เลว เพียงแต่หากฮูหยินอาศัยอยู่ที่นี่ พวกเราก็ไม่อาจฝึกซ้อมที่นี่ได้ จะให้รบกวนฮูหยินก็คงไม่ดีกระมังขอรับ”
เซี่ยถิงพิจารณาคำกล่าวของไป๋เซี่ยเหออย่างถี่ถ้วน ในขณะเดียวกันก็พยายามเสาะหาหนทางอื่น
“ผู้ใดบอกพวกเ้าว่าข้าจะสร้างฐานทัพใหญ่ที่นี่เล่า?”
ไป๋เซี่ยเหอส่ายหน้าด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่ เพราะมันสะดุดตาเกินไป”
เมื่อกล่าวจบ
จิ่วหานก็ถลาเข้ามาใกล้ แววตาของเขาเป็ประกาย “นายท่าน ข้ารู้จักสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่งขอรับ”
จากนั้นเขากระซิบที่ข้างหูของไป๋เซี่ยเหอประมาณสองสามประโยคด้วยน้ำเสียงแ่เบา
ไป๋เซี่ยเหอตาเป็ประกาย ริมฝีปากสีชมพูมีรอยยิ้มเล็กน้อย “สถานที่แห่งนั้นไม่ได้สร้างมาเพื่อพวกเราหรอกหรือ?”
เมื่อทุกคนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า แม้ว่าในใจจะเกิดความสงสัย ทว่าไม่มีผู้ใดถามให้มากความ เพราะรู้ว่าหากถึงเวลาที่สมควร นายท่านย่อมบอกเอง
“เด็กๆ เมื่อครั้งก่อนเป็อย่างไรบ้าง?”
จิ่วหานเกาศีรษะ ใบหน้ามีรอยยิ้มเจื่อนๆ “เหลือเพียงสองคนแล้วขอรับ”
“ก็ไม่เลว”
เดิมทีนางคิดว่าจะไม่เหลือเลยสักคน ดังนั้นแม้จะมาถึงที่นี่แล้ว นางจึงไม่ได้รีบถามในทันทีว่าเด็กเ่าั้ยังอยู่หรือไม่
นางไม่คิดว่าจะยังเหลืออยู่สองคน
นี่นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของนาง
“จิ่วหาน เ้าทำตัวตามปกติ ข้าจะคอยดูอยู่ด้านข้าง”
เมื่อสบตากัน จิ่วหานก็เข้าใจทันทีว่าไป๋เซี่ยเหอ้าจะทำอะไร
“เซี่ยถิง เ้าพาฝูเอ๋อร์ไปกินข้าวก่อน ข้าจะตามไปทีหลัง”
“ขอรับ”
เซี่ยถิงเดินนำฝูเอ๋อร์ที่ยังคงมีท่าทีงุนงงเดินไปอีกทาง
ตอนนี้เป็เวลาอาหารกลางวัน และแน่นอนว่าย่อมเป็เวลาที่ผู้คนลดการป้องกันของตนเองลง
เป็อย่างที่ไป๋เซี่ยเหอคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ในเรือนปีกข้าง หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีกำลังกินข้าวด้วยท่าทีไร้ซึ่งความกังวล ดูไม่เหมือนศัตรูที่แข็งแกร่งแม้แต่น้อย
แววตาของไป๋เซี่ยเหอมืดครึ้ม นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
‘เพล้ง’
เงาร่างสีดำสายหนึ่งกระโจนเข้ามาทางหน้าต่างอย่างกะทันหัน โต๊ะอาหารตั้งอยู่ใต้หน้าต่างพอดี
แสงสีเงินพาดผ่าน ผ้าปูโต๊ะเลิกขึ้น อาหารและจานกระเบื้องบนโต๊ะลอยอยู่กลางอากาศอย่างพร้อมเพรียง
จานกระเบื้องมากมายหล่นลงมากระแทกตัวคน แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต ทว่าศีรษะย่อมมี ‘เนินเขาเล็กๆ’ ปูดออกมาสักสองสามลูกอย่างแน่นอน
เป็ภาพที่ไม่ได้สวยงามนัก
ทว่าสิ่งที่ไป๋เซี่ยเหอคาดการณ์ไว้กลับไม่เกิดขึ้น
สีหน้าของคนสองคนที่นั่งกินข้าวอย่างไร้ความกังวลอยู่ตรงนั้นไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงลุกขึ้นและถอยหลังอย่างเงียบเชียบ
จานและอาหารทั้งหมดร่วงลงบนพื้น เสียงแตกของกระเบื้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟังแล้วบาดหูยิ่งนัก
สตรีนางนั้นหลบออกไปด้านหนึ่ง ก่อนจะสะบัดปลายเท้า เก้าอี้ที่นางนั่งอยู่เมื่อครู่ถูกนางตวัดลอยไปทางจิ่วหาน
ดาบในมือของจิ่วหานเคลื่อนไหวอย่างดุดัน ก่อนจะฟันลงตรงหน้าอย่างเร็วรี่
เก้าอี้ตัวนั้นถูกฟันออกเป็สองซีก
จากนั้นการเคลื่อนที่ของดาบก็เลี้ยวโค้ง ไล่ตามด้านหลังของบุรุษไป
บุรุษพยายามหลบหลีก ทว่าเขาไม่ได้คล่องแคล่วเท่าสตรีนางนั้น กระทั่งหลบช้าไปหลายครั้ง แม้แต่เสื้อผ้ายังถูกคมดาบอันดุดันฟันจนขาด
แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปหาจิ่วหานด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
‘ติ๊ง’
แสงสีขาวกระทบกับดาบ จิ่วหานรู้สึกเพียงง่ามนิ้วของตนเองสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แทบไม่อาจจับดาบไว้ในมืออย่างมั่นคง
หากมองให้ดีจะพบว่า
แสงสีขาวสายนั้นคือจานที่แตกครึ่งซีก
ทว่าตอนนี้มันได้แตกเป็ผุยผงเรียบร้อยแล้ว
“ดี!”
ไป๋เซี่ยเหอเดินเยื้องย่างเข้ามาพร้อมกับปรบมือ
ทั้งสามคนหยุดต่อสู้ทันที ก่อนจะทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
“นายท่าน”
“อืม” ไป๋เซี่ยเหอชี้ไปที่สตรีนางนั้น “เ้าชื่ออะไร?”
“ข้าน้อยเจี่ยงอิงเอ๋อร์เ้าค่ะ”
“เคยเรียนวรยุทธ์มาก่อนหรือ?”
เพื่อความคล่องแคล่ว เจี่ยงอิงเอ๋อร์จึงไม่ได้สวมชุดกระโปรงที่งดงามเช่นสตรีทั่วไป ทว่าสวมชุดจิ้นจวงรัดรูปสีเหลืองขมิ้น ขับให้ใบหน้าเล็กดูกล้าหาญไม่น้อย
“ไม่เคยเรียนมาก่อนเ้าค่ะ ข้าน้อยเป็เด็กกำพร้า ร่อนเร่พเนจรเพียงลำพัง เคยติดตามคณะละคร ร่ำเรียนการร่ายรำมาเล็กน้อยเท่านั้นเ้าค่ะ”
แม้ว่าวรยุทธ์ของนางจะไม่เป็ระเบียบนัก ทว่ากลับตอบสนองได้อย่างว่องไว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว บุรุษผู้นั้นกลับดูด้อยกว่ามาก
อย่างไรก็ตาม ยามที่ถูกโจมตี ในตอนแรกการตอบสนองของนางยังดูตื่นตระหนกอยู่บ้าง
“แล้วเ้าเล่า?”
ไป๋เซี่ยเหอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วชี้ไปยังบุรุษผู้นั้น
เขาก้มหน้าลง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน “ข้าน้อยต้วนจั่นขอรับ”
“เงยหน้าขึ้น”
ร่างกายสูงใหญ่สั่นสะท้าน ทว่ายังคงเงยหน้าขึ้น
ก่อนหน้านี้ต้วนจั่นยืนหันหลังให้ไป๋เซี่ยเหอ นางเองก็ไม่ได้สนใจที่จะมองหน้าเขา ตอนนี้จึงเห็นว่าต้วนจั่นดูเคร่งขรึม เ็า และหยาบกระด้างเล็กน้อย ส่วนใบหน้ามีรอยแผลเป็ทั่วหน้า ทว่าก็ไม่ได้ขี้เหร่
ต้วนจั่นเงยหน้าขึ้นตามคำกล่าวของไป๋เซี่ยเหอ เมื่อสบตากับดวงตาอันใสกระจ่างคู่นั้นของนาง เบ้าตาก็แดงก่ำทันที
หลายปีมานี้ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใด ล้วนถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เพราะรอยแผลเป็อัปลักษณ์บนใบหน้า ทุกคนล้วนคิดว่าเขาไม่ใช่คนดี ตอนเป็ขอทานก็ยังถูกผลักไส ถูกพวกขอทานด้วยกันเพ่งเล็ง
แม้กระทั่งตอนที่จิ่วหานเห็นเขาครั้งแรก ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้วเล็กน้อย
ทว่าสตรีที่เพิ่งจะมีอายุสิบสองปีตรงหน้านี้ กลับมอบความมั่นใจและกำลังใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับเขา
แววตาของนางสุกใส ไม่มีร่องรอยการดูแคลนแม้แต่น้อย นางพยักหน้าให้เขา
“เ้าถนัดอะไร?”
ต้วนจั่นตัวสั่น ความเยือกเย็นคืบคลานไปบนแผ่นหลัง
เขาเริ่มคาดเดาคร่าวๆ เจี่ยงอิงเอ๋อร์ที่วรยุทธ์โดดเด่นถูกนายท่านเก็บเอาไว้ ทว่าเขา...
นายท่านเคยพูดไว้ในตอนแรกว่านางไม่เก็บคนไร้ประโยชน์ไว้ข้างกาย
สองมือของต้วนจั่นที่ห้อยอยู่ข้างตัวค่อยๆ กำแน่น เล็บจิกฝ่ามือจนเป็แผลรูปจันทร์เสี้ยว “ข้าน้อย...ข้าน้อยถนัดทำบัญชีขอรับ”
หลายวันมานี้ ต้วนจั่นตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า พร์ด้านวรยุทธ์ของตนเองนั้นแทบจะเป็ศูนย์
“ทำบัญชีหรือ? เ้าเคยเรียนมาก่อนหรือไม่?”
ต้วนจั่นผงกศีรษะ แววตาเผยความไม่ยินยอมและดุดัน เปลวเพลิงแห่งความแค้นเผาไหม้ไปทั่วสรรพางค์กาย
“ข้าน้อยเกิดในตระกูลพ่อค้า เป็บุตรคนเดียวของตระกูล ได้เรียนบัญชีกับบิดามาั้แ่เล็ก เพียงแต่ภายหลังถูกคนคิดบัญชี จึงตายยกตระกูลในชั่วข้ามคืน เหลือเพียงข้าน้อยคนเดียวเท่านั้น”
------------------------
[1] เมี่ยวโส่ว หมายถึง มือฉมัง