หลัวจิ่งกลับมาถึงเมืองเจียจิ้นในสองวันให้หลัง
เขาเพิ่งกลับมาถึงลานบ้านล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อย หลัวรุ่ยก็เข้ามา
“ท่านพี่” หลัวจิ่งปรากฏรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
สกุลหลัวเหลือพวกเขาเพียงสองพี่น้องแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับญาติเพียงหนึ่งเดียว หลัวจิ่งที่สีหน้าเ็ามาตลอดก็อ่อนโยนขึ้นทันที
“ยู่เซิง ภารกิจรอบนี้ไปครึ่งค่อนเดือน ลำบากเ้าแล้ว” หลัวรุ่ยเครื่องหน้ามีมิติชัดเจนคิ้วเฉียงและดวงตาเข้มลึก โดยรวมคล้ายกันกับหลัวจิ่ง แต่เพราะใช้ชีวิตอยู่ในกองบัญชาการทหารมาตลอดทั้งปีเลยทำให้ใบหน้าของเขาทื่อๆ เอาจริงเอาจัง มุมปากที่ปิดสนิทมักมีความเข้มงวดและละเอียดรอบคอบ
สองพี่น้องต่างจัดอยู่ในประเภทใบหน้านิ่งเ็าและไร้การแสดงออก ในความเ็าของหลัวรุ่ยมีความน่าเกรงขาม ในความเ็าของหลัวจิ่งมีการเว้นระยะเหินห่าง ล้วนเป็เ้าของใบหน้าเ็ายากแก่การใกล้ชิดทั้งสิ้น
แน่นอนว่าแต่ไหนแต่ไรมาหลัวรุ่ยไม่เคยรู้สึกว่าน้องชายของตนเองนิสัยเ็าเลย ยู่เซิงของเขาั้แ่เด็กคึกคักร่าเริงซุกซนไม่ยอมรับการสั่งสอน ไม่รู้ว่าผู้เป็บิดากับมารดาถอนหายใจไปเพราะเขามากเท่าไร เนื่องด้วยกลัวมากว่าเมื่อเขาเติบใหญ่จะกลายเป็เด็กนิสัยเสียที่รู้จักแต่กินดื่มเล่นสนุก
หลัวรุ่ยก็รู้เช่นกันว่ายู่เซิงแค่ร่าเริง ไม่ชอบเคร่งครัดในกฎระเบียบข้อบังคับ แต่เื่ที่ออกนอกกรอบจนเกินไป เขาไม่เคยทำเลยจริงๆ
ความเ็าของยู่เซิงเกิดขึ้นจากเื่ราวอันขมขื่นที่ผ่านมา เห็นมารดาของตนเองถูกจับไปต่อหน้า ความเ็ปกระทบเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจ ความปวดร้าวไร้กำลังช่วยเหลือต่างๆ เ่าั้ หลัวรุ่ยล้วนััได้อย่างลึกซึ้ง เขาเองก็ตำหนิตัวเองและโศกเศร้าในกลางดึกนับครั้งไม่ถ้วน เ็ปอย่างมีมีดกรีดอยู่ที่หัวใจ จึงทำได้เพียงใช้การแสดงออกภายนอกอย่างเ็าอำพรางไว้
”ท่านพี่ ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ที่ปล่อยให้จากานปาลาหนีไปได้” หลัวจิ่งสายตามืดครึ้มขึ้น ในตอนนั้นหากเขารั้งจากานปาลาไว้ตลอดก็คงจะดี อย่างน้อยจะได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาจัดการได้ก่อน ชายโฉดนั่นจะได้หนีไปไม่ง่ายเช่นนี้
“ไม่เป็ไร จากานปาลาเป็ผู้มีฝีมือที่มีชื่อเสียงของหว่าชื่อ ั้แ่เด็กกำลังแขนเกินคน ฝีมือการใช้มีดมือเดียวยิ่งรุนแรงรวดเร็วและดุดัน พวกเราในกองกำลัง มีนายทหารและเหล่าทหารหาญที่ถูกเขาฟันตายในมีดเดียวก็นับไม่หวาดไม่ไหว เ้าสามารถถอยออกมาได้อย่างร่างกายสมบูรณ์ภายใต้เงื้อมมีดของเขา พี่ก็ปีติยินดีมากแล้ว” หลัวรุ่ยตบแขนของเขาแล้วกล่าวปลอบ
ก่อนหลัวจิ่งอายุสิบสองปี สติปัญญาในการฝึกการต่อสู้ธรรมดา ผนวกกับเล่นซุกซนอยู่ไม่นิ่ง สามวันตกปลาสองวันหว่านแห โดยพื้นฐานแล้วไม่เคยฝึกการต่อสู้ให้ดีเลย เทียบกับเด็กธรรมดาแล้วก็พละกำลังมากกว่าสองส่วนเท่านั้นเอง
ตอนนั้นหลัวรุ่ยเป็กังวลต่อผู้เป็น้องชายที่เร่ร่อนไปต่างบ้านต่างเมืองมาตลอด ่เวลาที่หาเขาไม่พบเ่าั้ วิตกกังวลจนร้อนในช่องปากพุพอง กังวลใจจนนอนไม่หลับอยู่ตลอดทั้งคืน คับแค้นใจตัวเองในเมื่อก่อน ทำไมไม่ทำจิตใจโเี้จับเขามาฝึกการต่อสู้ หากมีทักษะการต่อสู้ติดกายน้องชายของเขาก็ไม่ถึงขนาดว่าหิวตายหรือถูกข่มเหงรังแกแน่
และสามปีก่อน ในที่สุดหลัวจิ่งก็ไล่ตามมาถึงเมืองเจียจิ้นอยู่ร่วมกันกับเขา หลัวรุ่ยถึงได้พบว่าฝีมือของหลัวจิ่งกลับไม่เลวเป็อย่างมาก นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถสู้กับเขาได้ถึงสิบกว่ากระบวนท่าแล้วยังยืนอยู่ได้ไม่พ่ายแพ้
ฝีมือเช่นนี้เมื่ออยู่ในค่ายทหารก็นับได้ว่าฝีมือใกล้เคียงกับคนส่วนใหญ่แล้ว
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีสั้นๆ หลัวจิ่งฝึกการต่อสู้กับคนป่วยผู้หนึ่งก็สามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้
หลัวรุ่ยเต็มไปด้วยความทึ่งต่ออาจารย์ฟางที่ไม่เคยพบหน้าผู้นี้นัก เป็การให้น้องชายของเขาทานโอสถลูกกลอนพิเศษอะไรหรือไม่? ด้วยเหตุนี้เขาจึงตามท่านหมอที่ดีที่สุดของเมืองเจียจิ้นมา
คำวินิจฉัยที่ท่านหมอให้ออกมากลับเป็ว่า ร่างกายของหลัวจิ่งแข็งแรงและกำยำยิ่งกว่าวัวตัวหนึ่ง
หลัวรุ่ยดีใจเหลือคณานับ ทำได้เพียงอุทานอย่างซาบซึ้งว่ากลุ่มยุทธภพปรากฏผู้ที่มีความสามารถออกมาแล้ว ผู้มีฝีมือสูงส่งล้วนหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่ประชาชนทั่วไป ณ หมู่บ้านครอบครัวเกษตรกร
แต่หลัวจิ่งกลับไม่พอใจตัวเองอย่างมาก แม้จากานปาลาผู้นั้นจะกำลังแขนน่าทึ่ง แต่พละกำลังของเขาก็ไม่ได้น้อยเช่นกัน หากทุ่มเทกำลังทั้งหมดก็ไม่แน่ว่าชัยชนะจะตกอยู่ในมือผู้ใด เขากำหมัดแน่นอยู่เงียบๆ
“พวกที่จับมาได้สารภาพแล้วหรือ?”
หลัวรุ่ยส่ายหน้า “คนหว่าชื่อเ่าั้ปากแข็งมากนัก ยังต้องถูกทรมานอยู่”
หลัวจิ่งขมวดคิ้วขึ้น เขามาถึงชายแดนสามปี ค่อนข้างเข้าใจชนเผ่าหว่าชื่อและตาตาร์ที่เร่ร่อนเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง ชาวบ้านที่เลี้ยงสัตว์ทางเหนืออิจฉาอาณาเขตที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ และสินค้ามากมายหลากหลายของอาณาจักรต้าสยา ทุกปีพอเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ชาวหว่าชื่อและตาตาร์จึงเหมือนปรึกษาและตกลงกันมาอย่างดี ต่างหมุนเวียนกันล่วงล้ำชายแดนอาณาจักรต้าสยา ปล้นทรัพย์สินเงินทองชิงเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้า แล้วยังมีที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือใช้กำลังยื้อแย่งคูเมือง ทรมานสตรีและเด็ก สังหารคนทั้งเมืองไปทั่ว
ชาวบ้านที่เลี้ยงสัตว์ขี่ม้ายิงธนู ท่าทางองอาจห้าวหาญ เชี่ยวชาญในการรบ ได้ขึ้นชื่อว่าชนเผ่าบนหลังม้าที่มีชื่อเสียง อาณาจักรต้าสยาเสียเปรียบในด้านการขี่ม้ายิงธนูเป็อย่างมาก แต่คูเมืองขนาดใหญ่ยังรักษาไว้ได้ ส่วนสภาพการณ์ในตำบลและเมืองของบริเวณใกล้เคียงควรค่าให้เป็กังวลอย่างมาก
“พึ่บพั่บๆๆ” เสียงปีกกระพือของนก
หลัวจิ่งมองไปยังเพิงนกพิราบในลานโดยทันที นกพิราบส่งสารสีขาวและสีเทาสองตัวยืนอยู่บนเพิงอย่างสบายอกสบายใจ
“เฮ้ ต้าไป๋กลับมาแล้ว!” หลัวรุ่ยใบหน้าเคร่งขรึมมีรอยยิ้มขึ้น นกพิราบคู่นี้ของน้องชายเป็ของล้ำค่าในกองทัพพวกเขาจริงๆ
ไม่เพียงประสิทธิภาพการทำงานสูง แต่ยังฉลาดเฉียบแหลมเป็พิเศษด้วย
หากไม่ใช่คนคุ้นเคยมาก ย่อมไม่มีโอกาสััขนปีกของพวกมันได้สักเส้น
หลัวรุ่ยเองก็เปลืองเวลาไปเกือบสองปี ถึงอยู่ต่อหน้าพวกมันจนคุ้นหน้าได้
หลัวจิ่งเดินมาถึงข้างเพิงนกพิราบ ล้วงธัญพืชหนึ่งกำออกมาจากในไหด้านข้าง โปรยในรางอาหารของพวกมัน
“กรูๆ” ต้าไป๋ร้องสองทีถึงได้ก้าวมาข้างหน้ากินอาหารช้าๆ แต่กินไม่กี่คำก็หยุดลง
“ต้าไป๋บินไปเอ้อโจวมาอีกแล้วหรือ?” หลัวรุ่ยขมวดคิ้วขึ้น ทุกครั้งที่มันกลับมาจากเอ้อโจว ต้องมีสองสามวันที่ไม่อยากกินอาหาร
“…อื้ม” หลัวจิ่งจะกล่าวอะไรได้ล่ะ เขาก็จนปัญญาเช่นกัน
ต้าไป๋กับต้าฮุยกลับไปถึงหมู่บ้านวั้งหลิน ตื่นเต้นดีใจเหมือนปลาได้น้ำจริงๆ นกพิราบสองตัวต้องหมุนเวียนกันไปบ้านสกุลหูสองรอบทุกเดือน ไม่เช่นนั้นพวกมันจะร้อนใจไม่เป็สุขขึ้นมา แล้วจะสนหน้าที่ของพวกมันเสียที่ไหน กลับสนใจแต่ตัวเองแล้วบินออกไปสองสามวันถึงกลับมา ต่อมาเขาเขียนจดหมายกลับไปถามถึงได้รู้ว่าพวกมันบินกลับไปบ้านสกุลหูเอง
“ชิ ไม่รู้ว่าสกุลหูนั่นเลี้ยงด้วยอะไร ทำไมพวกต้าฮุยถึงได้ชื่นชอบอาหารของที่นั่นเพียงนั้น ไม่ใช่พวกธัญพืชข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวฟ่างทั้งนั้นหรือ หรือนกพิราบจะกินเนื้อได้ด้วย?” หลัวรุ่ยกล่าวอย่างประหลาดใจ
เขายื่นมือออกไปคิดจะลูบหัวเล็กๆ ของต้าไป๋ แต่มันหลบไปอย่างงดงามมีสง่าจนทำให้เขาจับพลาด
“โธ่เอ๋ย ข้าไม่กล่าวอีกแล้วพอใจหรือไม่ เ้านกพิราบนี่เกือบจะกลายเป็ปีศาจแล้ว แค่คำพูดก็ไม่ได้ เช่นนี้ต้องหลบพวกมันพูดแล้วหรือ” หลัวรุ่ยส่ายหน้ากล่าวทอดถอนใจ
หลัวจิ่งยิ้ม แล้วยื่นฝ่ามือออกไป ต้าไป๋เคลื่อนเข้ามาถึงกลางฝ่ามือของเขาอย่างไว้หน้า
หลัวรุ่ยมองแล้วยิ่งทอดถอนใจขึ้นไปอีก ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
...ยามค่ำในฤดูใบไม้ร่วงของชายแดน มีสายลมเย็นพัดโชยอ่อนๆ
หลัวจิ่งนอนอยู่บนเตียง จดหมายในมืออ่านแล้วไม่น้อยกว่าห้ารอบ
นี่เป็ไม่กี่วันก่อน ต้าไป๋นำมาจากหมู่บ้านวั้งหลิน เนื้อหาภายในยังคงเรียบง่ายธรรมดา ข่าวคราวที่เขียนจำกัดอยู่ภายในครอบครัวสกุลหูและในหมู่บ้าน น้อยมากที่จะเผยข่าวเกี่ยวกับตัวของนางเอง
ลายมืองดงามกว่าสามปีก่อน มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถบอกได้ว่าดูดีเพียงใด แต่หน้ากระดาษสะอาดเรียบร้อยแบบตัวอักษรได้สัดส่วนเท่าเทียมกัน ตัวอักษรที่เขียนผิดมีน้อยมาก นี่คือผลที่ได้ของแบบฝึกหัดที่นางฝึกมาสามปี
เขาสามารถจินตนาการออกได้ ท่าทางที่นางเขียนแบบฝึกหัด มือซ้ายเท้าคาง มือขวาคัดแบบฝึกหัด คิ้วขมวดปากมุ่ย ท่าทางทำอย่างไม่ตั้งใจ
นางเฉลียวฉลาดมาก แต่ไม่ยอมสิ้นเปลืองความคิดและกำลังมาคัดตัวหนังสือ ความคิดของนางช่างแปลกประหลาดยิ่ง ให้ความสำคัญกับทุกคนมากนักสำหรับตัวนางเองกลับอย่างไรก็ได้ และอะไรที่ผู้อื่นมองข้ามนางกลับรู้สึกว่าสำคัญ
หลัวจิ่งรู้สึกว่านางราวกับเป็หมอกควันที่มหัศจรรย์หนึ่งกลุ่ม ทำให้คนอดใจไม่ได้ที่จะปัดหมอกหนาทึบออกแล้วค้นหาความจริง จนถึงท้ายสุดต่อให้จมลึกลงไปกลางหมอกหนาทึบ ก็ยินดีจมอยู่ที่นั่นเป็เวลาแสนนาน
...รุ่งอรุณของหมู่บ้านวั้งหลิน เสียงหัวเราะมีความสุขดังไปทั่วทั้งผืนบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน
วันนี้เป็วันที่สกุลหูเก็บผลไม้ และก็เป็วันหยุดทำความสะอาดของโรงเรียนด้วย
นักเรียนสี่สิบกว่าคนหยิบตะกร้าไผ่สานจากบ้านของตนเองมาช่วยแต่เช้า
โรงเรียนวั้งหลินปีนี้เริ่มรับนักเรียนรุ่นที่สามแล้ว เพราะสองรุ่นก่อนหน้ามีเด็กที่อายุเหมาะสมโดยรวมล้วนเข้าเรียนกันหมด ปีนี้เด็กชายอายุเต็มเจ็ดปีจึงมีเพียงหกคน
ซิ่วฉายหยางรู้สึกถึงปัญหาของนักเรียน จึงถามแม่นางสกุลหูว่านักเรียนใหม่น้อยเกินไปแล้วจำเป็ต้องเพิ่มกฎในการรับนักเรียนใหม่เล็กน้อยหรือไม่ เขากล่าวอย่างคลุมเครือว่าสำหรับนักเรียนใหม่จากนอกหมู่บ้าน อาจเก็บค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียน
เจินจูปฏิเสธข้อเสนอไป ทั้งโรงเรียนมีนักเรียนสี่สิบสองคน สอนหนังสือตลอดทั้งวัน ซิ่วฉายหยางก็ดูเหนื่อยจนเหลือจะทนแล้วเช่นกัน
นักเรียนรุ่นแรกเมื่อถึงเดือนหกปีหน้าก็ครบสามปีแล้ว รอให้ผ่านการสอบไป นักเรียนที่มีปัญญาดีเลิศ ก็สามารถศึกษาในระดับขั้นที่สูงต่อไปเป็เวลาอีกสองปีกับหลิงเสี่ยนได้ ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากอาจารย์ฟางก็สามารถเรียนการต่อสู้ได้อีกสองปีเช่นกัน
ถึงเวลานั้นบุคคลที่มีความสามารถก็แยกออกมา ต่างคนต่างศึกษาเฉพาะทางในขอบเขตที่เหมาะสม ภาระหน้าที่บนบ่าของซิ่วฉายหยางจะได้เบาลงหน่อย
“ถู่วั่ง ข้ากับเ้าเก็บผลของต้นสาลี่นี่ เราเก็บที่เตี้ยๆ ข้างล่างให้เสร็จก่อน แล้วค่อยหิ้วม้านั่งมาเก็บที่สูง” ผิงอันอายุสิบเอ็ดปีมีท่าทางชายหนุ่มเล็กน้อยแล้ว สีหน้าฮึกเหิมยิ้มแย้มมีความมั่นใจแจ่มชัด
เขากับถู่วั่งอายุพอๆ กัน พอแบ่งเป็หนึ่งกลุ่มก็เริ่มเก็บผลไม้ที่ต่างคนต่างเก็บถึง
ชีวิตที่ต้องเผชิญอย่างโชกโชนอยู่โรงเรียนสามปี ทำให้ถู่วั่งน้อยที่เมื่อก่อนขี้กลัวหัวหดและขี้ขลาด เติบโตมาเป็หนุ่มน้อยที่สุภาพมีมารยาทเฉพาะตัว ถู่วั่งอยู่ในนักเรียนรุ่นที่หนึ่ง คะแนนแต่ละหัวข้อล้วนมีชื่ออยู่อันดับต้นๆ ตำแหน่งห้าอันดับแรกไว้อย่างมั่นคง ทำให้ชาวบ้านที่ดูถูกเขาเป็จำนวนมากตกตะลึงอ้าปากค้างไม่น้อย
ถู่วั่งอุปนิสัยสุขุมและมั่นคง กระทำการอะไรไม่ใจร้อนหุนหันพลันแล่น เื่ทุกอย่างล้วนตั้งใจจริงและขยันแต่ไหนแต่ไรไม่เคยแอบี้เี ตอนเริ่มแรกคะแนนแต่ละรายการของเขาธรรมดามาก จนเมื่อผ่านหนึ่งปีมานี้ พื้นฐานความแข็งแกร่งและเหนียวแน่นได้แสดงประสิทธิภาพออกมาให้เห็น คะแนนเริ่มไต่ขึ้นมาอย่างมั่นคง ขณะนี้ไล่ตามหลังผิงอัน ผิงซุ่น เอ้อร์หนิว และตงเซิ่งแล้ว
“ทุกคนเก็บระมัดระวังหน่อย อย่าใจร้อนจนเกินไปแล้วทำผลหล่นเสียหายล่ะ ลูกที่หล่นแล้วเสียหายเ่าั้อาจต้องเป็พวกเ้าที่เอากลับไปทานเอง เข้าใจหรือไม่?” เสียงดังกังวานของอาชิงดังขึ้นอย่างชัดเจนไปทั่วทั้งสวนผลไม้
“เข้าใจ” เสียงที่ตอบกลับมา เป็เสียงสะท้อนของทุกคน
“ฮ่าๆ” เจินจูจูงมือเล็กของซิ่วจูดูความคึกคักอยู่ข้างทาง
อาชิงอายุสิบสองปีคิ้วดกหนาดวงตากลมโต เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ช่วยฝึกสอน เขาจัดการดูแลนักเรียนหนึ่งส่วนได้ค่อนข้างมีอำนาจและเด็ดขาดอยู่มาก
“ท่านพี่ พี่ชายอยู่นั่น!” ซิ่วจูดึงมือของนางแล้วเอาแต่เขย่าไปมา
“อื้ม เขากำลังเก็บสาลี่ อีกเดี๋ยวซิ่วจูจะมีสาลี่ทานแล้ว” เจินจูมองไปรอบๆ คาดเดาปริมาณของผลไม้ที่จะเก็บได้
ผลไม้ชุดนี้ปีที่แล้วก็เริ่มออกผลแล้วเช่นกัน แต่ปีที่แล้วออกผลไม่มาก ดังนั้นผลไม้ที่เก็บได้ หลังแบ่งให้พวกนักเรียนไปแล้วก็เหลืออยู่ไม่เท่าไร ผลไม้ของปีนี้โดยรวมล้วนสามารถเก็บได้ทั้งหมดแล้ว คิดๆ ดูปริมาณไม่มีทางน้อยเกินไปอย่างแน่นอน
เจินจูวางแผนวิธีจัดการผลไม้ แบ่งผลที่เก็บไว้ได้ไม่นานให้พวกเด็กๆ ไปก่อน ส่วนพวกที่เก็บไว้ได้เ่าั้ก็วางพักไว้ จะนำไปมอบเป็ของขวัญหรือเอาไปขาย รอให้เก็บเสร็จแล้วค่อยว่ากัน
“จ้าวขุย ทำไมเ้าทานเข้าไปแล้วล่ะ รีบทำงานก่อนเลยนะ เ้าดูสิ ผู้อื่นเก็บได้เร็วตั้งเท่าไร กลุ่มของพวกเ้าช้าไปแล้ว” จากการออกสำรวจของอาชิงพบว่าจ้าวขุยแอบขโมยทาน
“แหะๆ ผู้ช่วยของอาจารย์ฟาง ไม่ใช่ว่าข้าคอแห้งหรือ เลยทานหนึ่งผลดับกระหาย” จ้าวขุยกัดสาลี่ และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแบบมีเล่ห์เหลี่ยม
“พอแล้ว ผู้อื่นล้วนรีบเร่งเก็บกัน มีแค่เ้าที่ปากตะกละ หากเ้าเป็เช่นนี้อีก อีกเดี๋ยวเ้าก็เอาผลไม้กลับบ้านไปน้อยหน่อยเถอะ” อยู่ร่วมกันมาสามปี อาชิงย่อมเข้าใจการปฏิบัติตัวของจ้าวขุยได้อย่างดีโดยไม่ต้องสงสัย
เป็ไปตามคาด พอคำพูดออกจากปาก จ้าวขุยก็ท่าทางเรียบร้อยขึ้นทันใด “อย่านะ ข้าจะเก็บเดี๋ยวนี้ ต้องเก็บได้ไม่น้อยกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน ท่านวางใจ”
จ้าวขุยเป็คนที่อุปนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบ บวกกับผลไม้ที่สกุลหูเพาะปลูกทั้งหวานทั้งกรอบ รสชาติล้วนดีกว่าที่ขายอยู่ข้างนอกสองสามส่วน หากได้มาน้อยไปหน่อย เช่นนั้นก็ขาดทุนแล้ว
เจินจูมองความน่าขันแล้วพาซิ่วจูเดินไปรอบๆ
ทันใดนั้นรถม้าม่านดำหนึ่งเกวียนก็เลี้ยวเข้ามาในพื้นที่บ้านสกุลหูจากทางเข้าหมู่บ้าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้