คำกล่าวของเยว่หัว ทำให้อวิ๋นซีที่ได้ยินอดหันมองไปยังเด็กน้อยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ นางคิดในใจ หมดกัน เด็กคนนี้คงไม่ใช่ว่าถูกนางสอนจนผิดเพี้ยนไปด้วยอีกคนหรอกนะ เพียงเปิดปากพูดก็บอกให้สังหารคนเลย ทั้งยังจะให้ทิ้งศพไว้สามวันอีก
เมื่อข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวที่ยืนอยู่ด้านล่างได้ยินคำพูดของเยว่หัว ก็หัวเราะฮ่าฮ่า พูดว่า “เ้านับเป็สิ่งใดกันถึงได้คิดจะสังหารข้า ข้าดูแล้ว แม่นางน้อยเยี่ยงเ้าก็หน้าตาไม่เลว หากเป็เด็กดี ยอมมาติดตามข้า ไม่แน่นะ ข้าอาจจะให้เ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปชั่วชีวิตเลยก็เป็ได้”
ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวที่เพิ่งพูดออกมา ‘เว่ยซาน’ ก็ราวกับเป็เงาที่ไปปรากฏอยู่ข้างกายชายขาวอวบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตบเข้าที่ใบหน้าเขาไปหลายที รอกระทั่งหนิงอ๋องจำเป็กลับไปยืนอยู่เคียงข้างอวิ๋นซีอีกครั้ง มุมปากของข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวถึงได้มีเืไหลออกมาไม่หยุด ฟันร่วงหล่นลงบนพื้น
เหล่าราษฎรที่ยืนล้อมอยู่ เมื่อเห็นฉากนี้เข้าต่างก็พากันพึมพำว่าดีอยู่ในใจ อันที่จริงั้แ่ตอนที่ชายร่างกำยำผู้นี้โยนตัวข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวลงไปบนพื้น พวกเขาก็แทบทนไม่ไหว อยากจะขึ้นหน้าไปจัดการฉีกทึ้งคนเป็ชิ้นๆ
คนคนนี้คือผู้ดูแลเมืองของพวกเขา ทว่า ในยามที่โรคระบาดคืบคลานเข้ามากลับไม่ได้สนใจชาวประชา พาภรรยา อนุ และลูกๆ หนีหายไป คนจะหนีไปก็ช่างเถอะ แต่ที่แย่กว่าก็คือ พวกเขานำสมุนไพรสำคัญๆ มากมายพร้อมเงินที่ทางราชสำนักมอบให้จากไปด้วย การที่เขาทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับการพรากชีวิตและความหวังสุดท้ายของราษฎรชาวอวี่โจวไป
“เ้า! บังอาจนักนะ ถึงกับกล้าตบนายท่านของเรา” สตรีในชุดสีชมพูนางหนึ่งชี้หน้าอวิ๋นซี ด่าอย่างเกรี้ยวกราด “คนที่สนมซู่เฟยรักใคร่ที่สุดก็คือนายท่านของเรา ผู้เป็พี่ชายของพระสนม วันนี้เ้าหาญกล้าทำร้ายนายท่านของพวกเรา วันหน้าสนมซู่เฟยจักไม่ปล่อยพวกเ้าไว้แน่”
อวิ๋นซีเม้มปากอย่างนึกสนุก ในสายตามีความเ้าเล่ห์แฝงอยู่ นางยิ้มพร้อมถามคำ “อ้อ ผู้น้อยสงสัยนัก สนมซู่เฟยของพวกเ้าท่านนั้นจะทำเช่นไรกับข้าหรือ? ลองบอกข้ามาหน่อยสิว่า เมื่อก่อนยามที่มีคนมาล่วงเกินนายท่านของพวกเ้า สนมซู่เฟยของพวกเ้าถึงขั้นทรมานคนเ่าั้จนน่าอนาถเลย ใช่หรือไม่”
คนเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คนดีกันทั้งบ้าน ในสายตาที่มองครอบครัวนี้ของเยว่หัว เว่ยซาน และหลัวเซินที่รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของอวิ๋นซีต่างเห็นตรงกัน พวกนางมองคนที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาที่ราวกับกำลังมองศพที่ร่วงหล่นลงบนพื้น
“ครั้งก่อนตอนมีคนล่วงเกินนายท่านของข้า สุดท้ายนายท่านของข้าก็สั่งให้คนสังหารเสีย ครอบครัวของพวกเขาไม่กล้าพูดอะไรเลยสักนิด...”
สตรีนางนั้น เพื่อจะได้อวดอ้างว่านายท่านของตนร้ายกาจมากเพียงใด คนถึงกับหลุดพูดเื่ที่ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวผู้นี้เคยทำไว้ในอดีตออกมา กว่าข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวจะดึงสติกลับมาได้ และรับรู้ถึงความผิดปกติที่แฝงอยู่ในถ้อยคำเ่าั้ ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว เขาห้ามปากนางไว้ไม่ทัน เพราะอนุที่เขาโปรดปรานที่สุดนางนี้ได้บอกเล่าเื่ในอดีตอันน่าภาคภูมิของเขาออกมาหมดแล้ว
อวิ๋นซียิ้มเย็น แสดงสีหน้ารับรู้ “เพื่อแย่งตัวลูกสาวของผู้อื่นมา จึงได้สังหารคนหมดสิ้นทั้งตระกูล บังคับสาวใช้ในจวนให้แขวนคอฆ่าตัวตาย สังหารคนลักเล็กขโมยน้อย เื่ฆ่าล้างตระกูลอะไรเหล่านี้ดูเหมือนว่า ท่านข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวผู้นี้จะเคยทำมาไม่น้อยเลยนะ”
หากยามนี้ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวยังไม่รู้อีกว่าคนตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาก็คงเป็เ้าโง่แล้ว “เ้าคือผู้ใด มาที่นี่คิดจะทำสิ่งใด? ”
เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่เข้ามาในอวี่โจว อวิ๋นซีไม่ได้แสดงตัวกระโตกกระตาก นอกจากจะช่วยพวกเขารักษาโรคระบาดแล้ว ก็ไม่ได้ป่าวประกาศสู่ภายนอกว่าตนเป็ใคร พวกชาวบ้านจึงรู้เพียงว่า กลุ่มคนกลุ่มนี้หาใช่คนธรรมดา เป็ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ที่ช่วยชีวิตพวกเขาให้หลุดพ้นจากน้ำลึกไฟร้อน แต่ไม่ได้รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของอวิ๋นซี อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พอได้เห็นข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวถูกกระทำเช่นนี้ แม้ในใจพวกเขาจะรู้สึกสะใจมาก แต่เมื่อได้ยินการกระทำทั้งหลายของข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวที่อนุของเขาเพิ่งพรั่งพรูออกมา ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเป็กังวล และยังมีบางคนที่ถึงกับคิดอยู่ในใจว่า หากท่านผู้ดูแลผู้นี้ไม่ปล่อยผู้มีพระคุณของพวกเขาไป ต่อให้พวกเขาจะต้องตาย ก็ต้องสังหารข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวคนนี้ให้ตายเสียก่อน เพื่อจะได้มอบทางรอดแก่ผู้มีพระคุณของพวกเขา
ถึงแม้พวกเขาจะเป็เพียงประชาชนธรรมดา ถึงแม้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ก็รู้จักดีว่า สิ่งใดที่เรียกว่า บุญคุณเท่าน้ำหยดเดียว [1]
แน่นอน อวิ๋นซีย่อมสังเกตเห็นสายตาเป็กังวลของประชาชนที่ห้อมล้อม นางมองไปยังทุกคน ก่อนจะมอบรอยยิ้มให้ เพื่อให้ทุกคนได้สงบใจ
‘เว่ยซาน’ หัวเราะหึหึเ็า “ในฐานะที่เป็ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจว ในยามที่โรคระบาดกำลังคืบคลานเข้ามา เ้ากลับละทิ้งราษฎรไป ไม่สนใจในชีวิตความเป็อยู่ เพียงเื่นี้ก็นับเป็โทษตายแล้ว” เขาที่เพิ่งจะพูดจบ องครักษ์ผู้หนึ่งก็ขี่ม้าเข้ามา
องครักษ์ผู้มาใหม่คุกเข่าลงบนพื้น กล่าวรายงาน “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมได้เจอทางลับสายหนึ่งในเรือนพักกลางหุบเขาแห่งนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ด้านในมีเพชรนิลจินดาวางอยู่มากมาย ทั้งยังพบสตรีที่ถูกลักพาตัวไปกว่าสิบชีวิต หลังจากที่กระหม่อมได้สอบถามพวกนาง ก็ได้ความมาว่าสตรีเ่าั้ล้วนถูกตีจนสลบ ก่อนจะถูกพาตัวไปยังที่แห่งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของ ‘เว่ยซาน’ เปลี่ยนไปเล็กน้อย “บังอาจนัก ไม่กลัวตายจริงๆ สินะ”
ในเวลาเดียวกันนั้นข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวเมื่อได้ยินคำว่า ‘ท่านอ๋อง’ เขาก็แทบจะลมจับ ท่านอ๋อง? ท่านอ๋องอันใด? ไม่ ไม่ว่าจะเป็ท่านอ๋ององค์ใดแห่งเมืองหลวงก็ไม่ใช่คนที่เขาจะไปหาเื่ได้ ทว่า เหตุใดเหล่าพระองค์ใหญ่แห่งเมืองหลวงถึงได้ระหกระเหินมายังสถานที่แห่งนี้?
‘เว่ยซาน’ ในเมื่อปลอมตัวเป็หนิงอ๋องแล้วก็ย่อมรู้ดีว่า ถึงคราวที่เขาต้องเปิดปากพูด มิใช่ให้อวิ๋นซีที่เป็ชายาหนิงอ๋องเป็ฝ่ายกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเื่จัดการกับเหล่าขุนนางในราชสำนัก หากให้พระชายาเป็คนตัดสินโทษ เมื่อเื่นี้แพร่ออกไปจักต้องชักนำปัญหามาให้มากมายแน่
“ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจว เฉินเซิ่ง ในยามที่โรคระบาดคืบคลานเข้ามากลับละทิ้ง ไม่เหลียวแลประชาชน ควรสังหาร! นำสมุนไพรและเงินที่ราชสำนักมอบให้มาติดตัวหนีหาย ควรสังหาร! ไม่เคารพอ๋องและชายา ควรสังหาร! เห็นชีวิตราษฎรเป็เพียงใบหญ้า ควรสังหาร! ในฐานะที่เป็ขุนนาง แต่กลับไม่รู้จักแบ่งเบาภาระให้ฝ่าา ซ้ำร้ายยังคิดหาประโยชน์ใส่ตัว ควรสังหาร! ”
เมื่อคำว่า ควรสังหาร! ทั้งห้าครั้งของ ‘เว่ยซาน’ ดังขึ้น คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นต่างเป็ต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน ่เวลาใน ณ ขณะนั้น แม้แต่อวิ๋นซีก็ยังอดมองเขาไม่ได้ สุดท้ายสายตาของนางก็ไปหยุดอยู่ที่มือทั้งสองข้างที่ไพล่หลังอยู่ของ ‘เว่ยซาน’ คนกำลังเล่นแหวนในมือไปมา
ถึงกระนั้นอวิ๋นซีก็กลับมาให้ความสนใจกับข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจว เฉินเซิ่ง ที่ตอนนี้ใจนล้มลงไปนั่งกับพื้นอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง เป็คนที่เกรงกลัวผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยจริงๆ นางพูดเสียงเ็า “พวกเ้าไม่ได้ยินคำสั่งของท่านอ๋องหรืออย่างไร? ห้าควรสังหาร ยังมัวนิ่งเงียบทำอะไรอยู่อีก? ”
องครักษ์ทั้งหมดด้านล่างเพิ่งเร่งรุดมาถึงเมื่อสองวันก่อน อวิ๋นซีเห็นว่า จำเป็ต้องใช้คนพอดี ถึงได้สั่งให้พวกเขารั้งอยู่ก่อน
‘เว่ยซาน’ สาดสายตาเ็าไปยังองครักษ์เ่าั้ พูดเรียบๆ “ลงโทษเสียที่นี่แหละ โบยจนตาย ตายแล้วก็ทิ้งศพไว้สามวัน” ขณะนั้นเฉินเซิ่งก็ได้แต่คุกเข่าขอร้องอยู่บนพื้น คนตระกูลเฉินก็เอาแต่โขกศีรษะไม่หยุด ‘เว่ยซาน’ ไม่แม้แต่จะสนใจ เขาพูดต่อ “ส่วนคนตระกูลเฉิน ให้คุมขังไว้ สืบให้ชัดเจน หากมีหนี้ฆ่าคนอยู่บนตัวก็ให้ ฆ่า แต่หากไม่มี ก็ให้ปล่อยคนไว้ที่นาเกลือจ่าวซีไห่
นาเกลือ?
เมื่อทุกคนได้ยิน ในใจก็สั่นสะท้านน้อยๆ เพราะคนที่ได้ไปนาเกลือแห่งนั้น แปดเก้าส่วนล้วนไม่ได้กลับมา นี่จะต่างอะไรกับการให้โทษตาย เยว่หัวมองอวิ๋นซีด้วยสายตาเคลือบแคลง แต่ก็เห็นเพียงอาจารย์ตนที่ยังคงสีหน้าราบเรียบ
สำหรับการจัดการของ ‘เว่ยซาน’ ั้แ่ต้นจนจบ อวิ๋นซีไม่ได้พูดแทรกแม้แต่คำเดียว นี่นับเป็การสนับสนุนโดยไร้สุ่มเสียง ยามนี้นางพำนักอยู่ที่เรือนพักตากอากาศของจวนอ๋องที่ตั้งอยู่ในอวี่โจวเป็การชั่วคราว เมื่อสะสางเื่ของเฉินเซิ่งเรียบร้อยแล้ว นางก็กลับไปพักยังเรือนพักทันที ที่ผ่านมาต้องต่อสู้กับโรคระบาดมาหนึ่งเดือนกว่า ทำให้นางอ่อนแรงไปทั้งร่าง ยามนี้โรคระบาดสามารถควบคุมไว้ได้แล้ว เมืองที่ถูกปิดอยู่ก็เหลือแค่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อครั้งใหญ่อีกแค่ครั้งเดียวก็จะสามารถเปิดให้เข้าออกได้อย่างปกติ
อย่างไรก็ตาม เื่การฆ่าเชื้ออะไรเหล่านี้ล้วนไม่ใช่หน้าที่ของนางแล้ว ตอนนี้นอกจากนางจะคิดอยากพักผ่อนกายา ก็ยังมีอีกเื่ที่ชวนให้ประหลาดใจมากๆ ให้ขบคิดเช่นกัน
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] บุญคุณเท่าน้ำหยดเดียว(滴水之恩)สำนวนเต็มๆ คือ 滴水之恩 涌泉相报หมายถึง แม้บุญคุณเท่าน้ำหยดเดียว ก็จะตอบแทนดุจสายธาร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้