บนเรือเหาะ
กู่ไห่เล่ารายละเอียดต่างๆ ให้ไต้ซือหลิวเหนียนฟัง เมื่อทราบเื่ราวทั้งหมด คิ้วของผู้ทรงศีลพลันขมวดแน่น
แครกๆๆ!
ทันใดนั้น ก็มีเสียงบางอย่าง ดังมาจากบริเวณที่วางรูปปั้นหินสามพันตัว
“หืม?” ทั้งสองหันไปมอง
ก็พบว่ารูปปั้นตัวหนึ่งกำลังสั่นะเื และรูปปั้นหินสีเทานั้น ก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพ
“ซ่างกวนเหิน?” ชายหนุ่มเอ่ย พลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกจากรูปปั้นหิน ตัวที่กำลังสั่นไหว
“ฟู่!”
ซ่างกวนเหินซึ่งเพิ่งฟื้นคืนสภาพ สูดลมหายใจลึก
“ซ่างกวนเหิน เ้ากลับมาเป็ปกติแล้วอย่างนั้นหรือ?” กู่ไห่กล่าวอย่างประหลาดใจ
“นายท่าน ข้าไม่เป็ไรแล้ว พวกเราอยู่ที่ไหนกัน?” ซ่างกวนเหินพยักหน้า พลางเอ่ยถาม
“พวกเราออกจากสำนักชิงเหอมาแล้ว ท่านผู้นี้คือไต้ซือหลิวเหนียน” ชายหนุ่มตอบ ขณะผายมือไปยังผู้ทรงศีล
“คารวะไต้ซือหลิวเหนียน”
ไต้ซือจ้องมองซ่างกวนเหิน ก่อนขมวดคิ้วแน่น “เ้าพ้นจากคำสาปได้อย่างไร เหตุใดเ้าถึงสามารถแก้มันได้?”
ซ่างกวนเหินขมวดคิ้ว และไม่ได้อธิบายอะไร
กู่ไห่ที่อยู่ข้างๆ กัน เอ่ยถาม “ซ่างกวนเหิน เ้ามีวิธีที่จะแก้คำสาปให้คนอื่นหรือไม่”
ซ่างกวนเหินส่ายหน้า ก่อนยกยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบกลับ “นายท่าน ข้านั้นต่างจากผู้อื่น ที่ข้าสามารถคลายคำสาปได้ ล้วนเป็เพราะพลังของข้าในตอนนี้”
“ดี! แค่เ้าสามารถฟื้นคืนมาได้ ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ต่อไปคนเหล่านี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของเ้า ดูแลให้ดี อย่าให้เกิดเื่อันใดขึ้นกับพวกเขาได้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“ขอรับ!” ซ่างกวนเหินตอบ
แม้ในใจของไต้ซือหลิวเหนียนจะเต็มไปด้วยความสงสัย เกี่ยวกับชายผู้นี้ แต่เพราะกู่ไห่มิได้ซักไซ้อันใด เขาจึงทำได้เพียงเก็บงำความอยากรู้เอาไว้เท่านั้น
ฟู่!
ด้วยความที่เรือเหาะเคลื่อนที่เร็วมาก จึงทำให้พวกเขามาถึงจวนสกุลกู่ในครึ่งชั่วยามเท่านั้น
บัดนี้ ที่ด้านนอกจวนสกุลเกิดความวุ่นวายขึ้น เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบกำลังจะต่อสู้กัน
“เศษสวะอย่างพวกเ้า จะมาขัดขวางเราทำไม? ลูกท้อร้อยปีอยู่ตรงนั้น หากเ้าไม่เอา ก็จงอย่าขวางทางข้า!”
“ไสหัวไป! หากข้าปล่อยให้เ้าแย่งลูกท้อร้อยปีไป แล้วหินิญญาของข้า จะทำอย่างไรเล่า? ข้าให้ยืมหินิญญาระดับสูงไปก้อนหนึ่ง หากยอมให้เ้าเอาลูกท้อไป ข้าก็ไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ?”
”ข้าจะให้หินิญญาระดับสูงแก่เ้าสองก้อน... ไสหัวไปเสีย!”
“อย่าได้คิดเลย หินิญญาระดับสูงสองก้อน แลกกับลูกท้อร้อยปี... ฝันไปเถอะ!”
ความวุ่นวายซึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณเบื้องล่างนั้น ล้วนอยู่ในสายตาของคนทั้งสาม
“พวกเขาทะเลาะกันเองอย่างนั้นหรือ?” ไต้ซือหลิวเหนียนเอ่ยพลางขมวดคิ้วแน่น
“คงจะเป็การขัดแย้งกัน ระหว่างกลุ่มคนที่ให้ข้ายืมหินิญญา กับพวกที่ไม่ให้ยืม การทะเลาะวิวาทเพื่อชิงผลประโยชน์ ก็เป็เช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” กู่ไห่กล่าวเสียงเรียบ
ตูม!
กล่าวจบ เขาได้ะโลงมาจากเรือเหาะ ร่อนลงสู่แท่นวางลูกท้อร้อยปีที่อยู่ด้านล่างทันที
“ใครน่ะ?”
“กู่ไห่?”
เหล่าผู้ฝึกตนที่เห็นเช่นนั้น ต่างเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ พลางมองดูชายหนุ่ม ที่ตอนนี้หยิบลูกท้อร้อยปี เก็บลงไปในกล่องเช่นเดิม เพียงพลิกมือแกร่ง กล่องลูกท้อร้อยปีก็หายวับ
“กู่ไห่ เ้าจะทำอะไร?” เมื่อเห็นเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนพลันชักสีหน้าอย่างไม่ชอบใจ
“ทุกคน ขอบพระคุณที่ให้ข้ายืมหินิญญา ตอนนี้ข้าจะนำมันมาคืนให้พวกเ้าแล้ว” ชายหนุ่มะโบอก
“จะคืนแล้วหรือ?” เหล่าผู้ฝึกตนต่างมองกู่ไห่ ด้วยแววตาเป็ประกาย
ฟุ่บ!
ทันใดนั้น เรือเหาะขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ร่อนลงจอดภายในค่ายกลของจวนสกุลกู่
“เรือเหาะ? เรือเหาะของหออี้ผิน?“
“ยังดีที่ข้าไม่ได้ก่อเื่วุ่นวาย”
“คนของหออี้ผิน? มาเยือนจวนสกุลกู่หรือ?”
ผู้คนทั้งหลายเริ่มแสดงท่าทีตื่นเต้นยินดี
ไม่นานนัก เถ้าแก่ของสกุลกู่ก็ได้จัดเตรียมพื้นที่ เพื่อทำการคืนหินิญญาให้แก่ผู้ฝึกตนทันที
“เ้าให้พวกเรายืมหินิญญาระดับสูงหนึ่งก้อน นี่คือหินิญญาระดับสูงสองก้อน กำไรดีๆ เช่นนี้ จะหาได้จากที่ไหนอีก” เถ้าแก่ยื่นหินิญญาชั้นสูงสองก้อน ให้แก่หนึ่งในผู้ฝึกตนที่ยืนต่อแถวอยู่
“ดีๆ จริงหรือเนี่ย? ฮ่าๆๆๆ!”
นอกจวนสกุลกู่ มีเสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วบริเวณ คนที่ไม่ได้ลงทะเบียนให้กู้ยืม ต่างทำได้เพียงมองดูกลุ่มคนตรงหน้าด้วยความอิจฉา ให้ยืมไป ไม่กี่วันก็ได้คืน ทั้งยังเพิ่มมาเป็สองเท่า? คิดแล้วก็น่าเสียดายไม่น้อย
พวกเขามองดูจวนสกุลกู่ ราวกับคาดหวังให้กู่ไห่มายืมหินิญญาอีกครั้ง
...
ภายในจวนสกุลกู่ กู่ไห่ยืนนิ่งอยู่บนหอคอยทะยาน์ พร้อมเหลือบมองกลุ่มคนใต้อาณัติ ที่กำลังเร่งฝังหินิญญาไปทั่วทุกบริเวณภายในจวน
“นายท่าน เรียบร้อยแล้วขอรับ!”
“นายท่าน ทางข้าก็เรียบร้อยขอรับ!”
“นายท่าน ทางนี้ก็เช่นกันขอรับ!”
เสียงะโของคนสกุลกู่ดังขึ้นจากทั่วสารทิศ
“ก่อตัว!” กู่ไห่เอื้อมมือไปจับกระดานหมากล้อมหินิญญา ก่อนจะสั่งเสียงดังลั่น
ตูม!
ทันใดนั้น หมอกหนาก็ลอยขึ้นจากทั้งสี่ทิศรอบจวนสกุลกู่
“กู่ฉิน เ้าลองควบคุมดู” กู่ไห่หันไปยังกู่ฉิน
ได้ยินเช่นนั้น กู่ฉินจึงเข้ามาควบคุมกระดานหมากล้อมหินิญญาเอาไว้
“พ่อบุญธรรม นี่คือค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้นอย่างนั้นหรือ? ช่างทรงพลังนัก ท่านจะให้ข้าควบคุมมันหรือขอรับ?” กู่ฉินเบิกตากว้าง
“ใช่! เ้าควบคุมไว้ก็พอ ข้ากับไต้ซือหลิวเหนียนจะออกเดินทางกันแล้ว ดังนั้นเ้าจะต้องเฝ้าจวนเอาไว้ มีเื่อะไรก็ถามซ่างกวนเหินได้” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“ขอรับ!” กู่ฉินตอบ
“ซ่างกวนเหิน ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ รูปปั้นหินเหล่านี้ เ้าจะต้องดูแลให้ดี” กู่ไห่มองซ่างกวนเหิน พร้อมเอ่ยเสียงต่ำ
“ขอรับ! นายท่าน” ซ่างกวนเหินตอบ
หลังจากอธิบายทุกอย่างแล้ว กู่ไห่ก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ก็เห็นว่าบัดนี้ เรือเหาะกำลังลอยลำอยู่กลางเวหา
เขาจึงก้าวเท้าของตนออกมา ก่อนะโขึ้นไปบนเรือเหาะทันที
ฟิ้ว!
ไต้ซือหลิวเหนียนมองดูค่ายกลเบื้องล่างอย่างสนใจ พลางกล่าว “ท่านหัวหน้าสังกัดกู่ นี่เป็ค่ายกลที่ทรงพลังมาก”
“ไต้ซือ ไปกันเถอะ พวกเราต้องรีบช่วยถังจู่ออกมาให้เร็วที่สุด และตามหาหลี่ชิงเหอให้เจอ เพื่อช่วยลูกน้องของข้า” กู่ไห่กล่าว น้ำเสียงจริงจัง
ไต้ซือได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้ารับ ก่อนสะบัดมือครั้งหนึ่ง
ฟิ้ว!
เรือเหาะจึงบินตรงไปยังทิศที่ตั้งของสำนักซ่งเจี่ยอย่างรวดเร็ว
...
สองชั่วยามต่อมา พวกเขาก็มาถึงพื้นที่รอบนอกของสำนักซ่งเจี่ย
“นี่คือสำนักซ่งเจี่ยหรือ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย
ภาพตรงหน้าเขาในตอนนี้... สำนักซ่งเจี่ยช่างต่างจากเดือนก่อนลิบลับ
รอบด้านไม่ใช่ภูผาสูงชันอีกต่อไป แต่กลับเป็ูเาที่ใหญ่โตสูงตระหง่าน
ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยธารน้ำมากมาย
“นี่? ฟู่เสวี่ยคิดที่จะขุดแม่น้ำใหญ่กี่สายกัน? เขาคิดที่จะรวบรวมมวลน้ำอย่างนั้นหรือ?” กู่ไห่เอ่ย
“ไม่ใช่แม่น้ำใหญ่ แต่เป็ทะเล ที่นี่ไม่ไกลจากทะเลมากนัก ฟู่เสวี่ยจึงขุดอุโมงค์ เพื่อดึงน้ำทะเลเข้ามา” ไต้ซือหลิวเหนียนกล่าว พลางเลิกคิ้วขึ้น
“น้ำทะเล? เพราะเหตุใด?” ชายหนุ่มถามกลับอย่างกังขา
“เขาเป็เจียวหลง จึงแข็งแกร่งเมื่ออยู่ในน้ำ ครั้งก่อน ค่ายกลใหญ่ของเ้าเกือบที่จะเอาชนะเขาได้ แต่คราวนี้ ค่ายกลแบบเดียวกันนั้น ใช้ไม่ได้ผลแล้ว
ขอแค่มีน้ำ เจียวหลงก็สามารถสร้างคลื่นลมได้ เขาจึงดึงน้ำทะเลมาที่นี่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ น้ำทะเลคือขุมพลัง และเป็ดั่งอาวุธของเขา แค่สะบัดหาง คลื่นนับหมื่นก็พุ่งเข้ามา เช่นนี้แล้ว ค่ายกลใหญ่ของเ้าจะสามารถต้านเอาไว้ได้หรือ?” ไต้ซือกล่าว
“ไต้ซือ ท่านสามารถจับเขาได้หรือไม่?” กู่ไห่ถาม ขณะมองอีกฝ่าย
“ข้าไม่แน่ใจ หากไม่มีน้ำทะเล ข้าสามารถจับเขาได้ แต่พอเป็แบบนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด” ผู้ทรง
ศีลบอก พลางขมวดคิ้วแน่น
“เอ๋? ดูเหมือนซ่งเซิงผิงและหลี่ชิงเหอ ยังไม่กลับมา?” ชายหนุ่มหรี่ตาลง
ไต้ซือหลิวเหนียนมองตามสายตากู่ไห่ พบว่าค่ายกลผลึกเกราะทองของสำนักซ่งเจี่ย ถูกมวลน้ำก้อนใหญ่โอบล้อม ส่วนทางเข้า ก็มีก้อนหินขนาดใหญ่ปิดปากทางเอาไว้เสียสนิท เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าไปภายใน
ที่บริเวณหินก้อนนั้น ยังมีผู้คนราวสองหมื่นคนถูกมัดไว้ และกำลังพากันร้องไห้คร่ำครวญอย่างหวาดกลัว
“นายท่าน โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย!”
“มารๆ... พวกเ้ามันเป็มารกินคน!”
“ช่วยด้วยๆ!”
ชาวบ้านที่ถูกจับมา ต่างแผดเสียงร้องด้วยความหวาดผวา บริเวณโดยรอบ รายล้อมไปด้วยศิษย์ครึ่งอสูรราวยี่สิบคน ที่ยามนี้กำลังดื่มด่ำสำราญใจ กับรสชาติของสุราและหัวใจมนุษย์
“ฮ่าๆๆ! เมื่อครู่ใครด่าข้า ข้าจะได้กินเสีย... ฮ่าๆๆๆ!” คนครึ่งอสูรผู้หนึ่งที่อยู่ในอาการมึนเมาเอ่ยขึ้น พลางชี้ไปยังคนที่ด่าตน ก่อนะเิเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ
ท่าทีของชาวบ้านพลันแปรเปลี่ยน ต่างตื่นตระหนกและดิ้นพล่านด้วยความพรั่นพรึง
แควก!
กล่าวจบ อสรพิษกลุ่มหนึ่งบนศีรษะ ก็ยืดตัวไปแหวกหน้าอกของคนผู้นั้น แล้วอ้าปากงับหัวใจของผู้โชคร้ายทันที
“อ๊าก!” ชายคนนั้นร้องโหยหวน
“ไม่ๆ!” ผู้คนรอบตัว เริ่มพากันกรีดร้องอย่างสะพรึงกลัว
แต่กลุ่มศิษย์ครึ่งอสูรกลับกลืนกินมันอย่างสบายใจ เพราะรู้ว่าในตอนนี้ ท่านหัวหน้าสำนักยังไม่กลับมาแต่อย่างใด
“เหล่ามารก่อจลาจล พากันกินคนอย่างนั้นหรือ? ฮึ่ม!” ไต้ซือหลิวเหยียนเอ่ย พลางถลึงตา
“ไต้ซือ… โปรดระงับโทสะ!” กู่ไห่มาอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายทันที
“หืม?” ไต้ซือชะงัก พลางมองชายหนุ่ม
“คนครึ่งอสูรทั้งยี่สิบคนนี้ ข้าจะจัดการเอง ท่านอย่าเพิ่งเผยตัว เพียงรออยู่ที่นี่เพื่อสร้างค่ายกลเถอะ หลอกให้พวกมันคิดว่าข้าพากองกำลังสามพันคนมาด้วย เพื่อล่อฟู่เสวี่ยออกมา” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
ไต้ซือหลิวเหนียนได้ยินเช่นนั้น จึงได้พยักหน้าตอบรับ “เช่นนั้น ข้าจะส่งท่านไปเอง”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังผงกศีรษะ ไต้ซือก็ใช้คลื่นพลังบางๆ ปกคลุมร่างอีกฝ่าย ส่งเขาไปยังหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป ก่อนจะหันหัวเรือเหาะมารวบรวมหมอกหนา ให้ปกคลุมูเาที่อยู่เหนือน้ำ
“เมื่อครู่ ใครกันที่ด่าข้า? เ้าหรือ?” ศิษย์ครึ่งอสูรคนหนึ่งถาม ก่อนหัวเราะร่า
“ไม่ใช่! ข้าไม่ได้เอ่ยอะไรเลย… ไม่ได้พูด!” ชายที่ถูกมัดกล่าวอย่างขวัญผวา
“เป็เ้านี่เอง!”
ฟ่อๆๆๆ!
หัวงูยืดขึ้น จะพุ่งไปกัดชายคนนั้นทันที
“อ๊าก! ช่วยด้วย!” ชายคนนั้นะโด้วยความกลัวสุดขีด
“ไม่มีใครช่วยเ้าได้หรอก... ฮ่าๆๆ!”
ขณะที่คนผู้นั้นกำลังหัวเราะ กู่ไห่ที่เพิ่งะโลงมาจากข้างบน ก็ปราดเข้าไปชกหมัดใส่ศีรษะของศิษย์ครึ่งอสูรตรงหน้าทันที
ตูม!
หัวงูของศิษย์ครึ่งอสูระเิออกเป็เสี่ยงๆ โลหิตสีแดงสดสาดกระจายไปทั่ว น่าสังเวชเหลือเกิน
“อะไรกัน?” ท่าทีของทุกคนพลันเปลี่ยนไป
ฉึกๆ!
ชายหนุ่มดึงกระบี่ยาวที่เหน็บเอวของครึ่งอสูรคนหนึ่งออกมา ก่อนชี้มันไปยังกลุ่มศิษย์ที่เหลืออีกสิบเก้าคน ด้วยแววตาเย็นะเื
“กู่... กู่ไห่?” ศิษย์สำนักซ่งเจี่ย พลันเบิกตากว้างอย่างใ
ฉึกๆ!
กระบี่ยาวในมือกู่ไห่ ฟันไปยังชายขี้เมาอีกผู้หนึ่ง พลัน คลื่นกระบี่ก็พุ่งออกไป ตัดศีรษะของชายคนนั้นในชั่วพริบตา
และตอนนั้นเอง เหล่าศิษย์สำนักซ่งเจี่ยจึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้
“กู่ไห่มาแล้วๆ... รีบไปแจ้งผู้าุโเร็วเข้า!”
“กู่ไห่อยู่นี่ แล้วคนโฉดสามพันคนก็มาด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่... อย่าสังหารข้า!”
จากสิบแปดคนที่เหลืออยู่ในตอนนี้ เกินครึ่งได้วิ่งหนีเข้าไปในสำนัก เหลือเพียงห้าหกคนเท่านั้น ที่ทะยานร่างเข้าต่อกรกับกู่ไห่
ตอนนี้ แม้ชายหนุ่มจะมีพลังอยู่ในระดับก่อ์ขั้นที่แปด แต่พลังทางกายภาพที่ะเิออกมานั้น ก็เทียบได้กับระดับแก่นทองคำเลยทีเดียว ดังนั้น ถึงจะไม่ใช้กระบี่เจวี๋ยเซิง ทว่า ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้ก็หาใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ตูม!
เมื่อปะทะกัน กลุ่มศิษย์ครึ่งอสูรต่างถูกกู่ไห่ไล่ฟาดฟัน จนาเ็สาหัสคนแล้วคนเล่า เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ พวกเขาจึงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในสำนักด้วยความหวาดหวั่น
“ช่วยด้วย... กู่ไห่ ช่วยด้วย!” ผู้คนที่ถูกมัดอยู่ พากันร้องะโ
คนสองหมื่นคนที่ถูกจับตัวมาเหล่านี้ ใช่ว่าจะเป็ชาวบ้านไปเสียทั้งหมด บางคนก็เป็ผู้ฝึกตนซึ่งมาเสี่ยงโชคที่เกาะจิ๋วหวู่ บ้างก็เป็ผู้ฝึกตนจากแคว้นอื่นๆ
เพราะหัวใจของผู้ฝึกตนนั้น รสชาติดียิ่งกว่าสิ่งใด แล้วศิษย์สำนักซ่งเจี่ยจะตัดใจปล่อยไปได้อย่างไร? จึงจับมาเสียทั้งหมดนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้