ผู้ดูแลสกุลจางย่อมเชื่อมั่นในนิสัยของอวี๋เจียว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รีบร้อนมาบอกกล่าวนาง แรกเริ่มเดิมทีเขาก็เป็คนแนะนำอวี๋เจียวให้กับนายท่านและฮูหยิน เมื่อเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นมา ภายในใจของเขาย่อมรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
“แม่นางเมิ่งยังคงไม่ทราบ คุณหนูในจวนของข้าชื่นชมคุณชายเฉินมานาน นายท่านเคยรับปากว่าจะยกร้านธัญญาหารในเมืองทั้งสองหลังเป็สินเดิม สกุลเฉินจึงตกลงหมั้นหมายในครั้งนี้ ครั้นจู่ๆ ได้ยินว่าสกุลเฉินจะถอนหมั้น อีกทั้งยังกล่าววาจาไม่น่าฟังเ่าั้ คุณหนูของข้าแทบจะผูกคอตายเสียแล้ว เพราะนายท่านกับฮูหยินร้อนใจจึงได้นึกสงสัยเ้า”
เพราะผู้ดูแลจวนสกุลจางกลัวว่าคนสกุลจางจะมาหาเื่อวี๋เจียวเข้าจริงๆ เขาจึงเอ่ยเตือนด้วยความจริงใจว่า “นายท่านกับฮูหยินของข้ากำลังโมโห ยากที่จะรับรองได้ว่าจะไม่ทำให้เ้าลำบากใจ ยังต้องขอให้แม่นางเมิ่งอภัยสักหน่อย เพียงแต่วาจาคนต่ำต้อยเช่นข้าช่างไร้น้ำหนักนัก...”
เขาเป็ข้ารับใช้เพียงผู้หนึ่งย่อมไม่มีสิทธิ์เอ่ยสิ่งใดต่อหน้านายท่าน แต่เพราะเห็นแก่บุญคุณที่อวี๋เจียวช่วยรักษาฉีเกอเอ๋อร์ ระหว่างที่นายท่านจางกับฮูหยินกำลังโมโหอยู่ในจวน เขาจึงรีบร้อนมาแจ้งอวี๋เจียว
“ข้าไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่นานนัก จะต้องกลับไปเดี๋ยวนี้แล้ว” ครั้นจางเหล่าซานเห็นอวี๋เจียวสีหน้าไม่ดี เขานึกเกลียดที่ตนช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เพียงหยัดกายลุกขึ้นกล่าวลา
อวี๋เจียวลุกขึ้นตามเขา ถึงนางจะไม่พอใจที่สกุลจางพาลโมโหนาง แต่การที่จางเหล่าซานรีบร้อนมาบอกกล่าวนางก็นับว่ามีคุณธรรมแล้ว
“ยังต้องขอบคุณท่านที่มาบอกข้าเื่สกุลจางเ้าค่ะ” อวี๋เจียวกล่าวขอบคุณ จากนั้นส่งจางเหล่าซานออกจากประตูจวน
เมื่อกลับเข้ามาในห้อง ในใจของอวี๋เจียวรู้สึกกลัดกลุ้มอย่างไม่อาจเลี่ยง นางไม่อาจสงบใจแล้วกลับไปนั่งปักลายดอกไม้กับอวี๋ฝูหลิงต่อได้ จึงโยนผ้าทิ้งไปด้านข้าง
อวี๋ฝูหลิงปักผ้าเช็ดหน้าเพียงลำพังอีกครู่หนึ่งก่อนจะวางเข็มและด้ายลง จากนั้นเดินไปห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อ
“เมื่อครู่ผู้ดูแลจวนสกุลจางเดินทางมา ไม่รู้ว่ามาหาอวี๋เจียวด้วยเื่ใด ข้าเห็นว่าหลังพบกับผู้ดูแลจวนสกุลจาง อารมณ์ของนางไม่สู้ดีนัก” อวี๋ฝูหลิงเอ่ยเสียงเบากับอวี๋ฉี่เจ๋อ
อวี๋ฉี่เจ๋อได้ฟังสายตาที่กำลังจดจ่ออยู่บนตำราชะงักไปชั่วครู่ เอ่ยขึ้นว่า “ยามเย็นข้าจะลองถามดู”
ที่อวี๋ฝูหลิงมาบอกเขาก็เพราะอยากให้เขาเอาใจใส่อวี๋เจียวสักหน่อย
ครั้นเห็นเขาตอบรับจึงแอบกลับเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ
วันนี้ทั้งวันอวี๋ฮั่นซานเอาแต่วนเวียนรอบกายอวี๋เมิ่งซาน เรียกได้ว่าสาธยายผลประโยชน์จากการเปิดร้านขายเนื้อเสียจนฟังดูเลิศเลอ เดิมทีเขากับสตรีแซ่จ้าวคิดว่าหลังอวี๋เมิ่งซานขาขาด ทั้งยังมีนิสัยไม่อยู่นิ่งจะต้องหวั่นไหวกับกิจการร้านขายเนื้ออย่างแน่นอน แต่นึกไม่ถึงว่าพูดจนปากแทบฉีก อวี๋เมิ่งซานก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน
“พี่ใหญ่เป็นักล่ามือดี จะให้ฆ่าหมูหรือเลาะกระดูกล้วนไม่ใช่เื่ยาก เื่กิจการนี้ เ้าไปหาพี่ใหญ่จะเหมาะสมกว่า ข้าคงไม่ร่วมด้วย” อวี๋เมิ่งซานพลิกสมุนไพรตากแห้งในตะกร้าพลางเอ่ยปฏิเสธ
อวี๋ฮั่นซานลอบคิดในใจว่า หากเมิ่งอวี๋เจียวเป็คนของครอบครัวใหญ่ เขาย่อมไปหาพี่ใหญ่แล้ว มีหรือมาพูดจาอ้อมค้อมกับเ้า ทว่าปากยังคงเอ่ยออกไปว่า “ถึงแม้พี่ใหญ่จะเหมาะสม แต่พวกเราสองพี่น้องสนิทกันมากกว่า อีกอย่างท่านขาขาดแล้ว หากมีกิจการร้านค้าไว้ ภายหน้าก็จะได้เลี้ยงดูปากท้องคนในครอบครัวมิใช่หรือ? เพราะน้องคิดเผื่อท่านจึงอยากให้ท่านมาร่วมทำด้วยกันขอรับ”
อวี๋เมิ่งซานเป็คนไร้แผนการ ถึงแม้จะดูไม่ออกว่าอวี๋ฮั่นซานมีแผนการอะไร ทว่าเขารู้จักนิสัยใจคอของครอบครัวสามทั้งสองคนเป็อย่างดี เขากับอวี๋เฉียวซานที่เกิดจากมารดาคนเดียวกันต่างหากจึงจะสนิทชิดเชื้อกันอย่างแท้จริง ในยามนั้นที่เขาเพิ่งจะขาขาด ครอบครัวสามด่าทอครอบครัวรองของเขาว่าล้วนแต่เป็พวกหม้อต้มยาเปลืองเงิน คอยดูถูกเหยียดหยามอยู่ไม่น้อย เหตุใดยามนี้ถึงเปลี่ยนท่าทีมาชักจูงเขา
“งานฆ่าหมูเลาะกระดูกสัตว์เหล่านี้ข้าไม่เคยทำมาก่อน กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี” อวี๋เมิ่งซานเอ่ย “กิจการร้านขายเนื้อนี้ น้องสามมีความสามารถย่อมทำคนเดียวไหว หากภายหน้ากิจการรุ่งเรืองจนทำไม่ไหว ข้ากับพี่ใหญ่ค่อยไปช่วยก็ยังไม่สาย”
ครั้นอวี๋ฮั่นซานเห็นว่าเขายังไม่ยอมติดเบ็ดก็ถึงกับหมดความอดทนอย่างไม่อาจเลี่ยง เอ่ยวาจาบีบบังคับว่า “พี่รอง ท่านจะไม่ทำก็ได้ แต่ในมือข้ามีเงินทุนทำร้านขายเนื้อไม่มากพอ อีกทั้งท่านพ่อท่านแม่ก็ยังมีเงินไม่มาก ครอบครัวรองของพวกท่านมีเงิน เช่นนั้นก็ออกเงินทุนมาเสีย”
อวี๋เมิ่งซานพลันล่วงรู้ถึงจุดประสงค์ที่เ้าสามคอยวนเวียนรอบกายเขา นึกไม่ถึงว่าคิดจะเอาเงิน เขาเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองว่า “ครอบครัวสามของพวกเ้าจะเปิดกิจการ มีสิทธิ์อะไรมาให้ครอบครัวรองของข้าออกเงิน อีกอย่างครอบครัวรองของพวกเราก็ไม่ได้มีเงินเก็บส่วนตัว”
เขารู้แล้วว่าอวี๋ฮั่นซานคิดจะเอาเงินในมือของอวี๋เจียว อวี๋เจียวไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของพวกเขา เงินส่วนตัวที่นางหามาด้วยตัวเอง เขาย่อมไม่อาจตัดสินใจ
“ในมือเมิ่งอวี๋เจียวมีเงิน นางมีเงินก็เท่ากับครอบครัวรองมีเงิน แม่นางน้อยผู้หนึ่งเช่นนางจะเอาเงินมากมายเช่นนั้นไปทำสิ่งใด ท่านให้นางเอาเงินออกมาแบ่งทุกคนในจวนเท่าๆ กันดีกว่าหรือไม่” อวี๋ฮั่นซานเอ่ยด้วยสีหน้ามีเหตุมีผลราวกับควรจะต้องเป็เช่นนั้น
อวี๋เมิ่งซานใบหน้านิ่งขรึม เขาไม่อยากอธิบายอะไรกับอวี๋ฮั่นซาน เพราะอธิบายไปก็คงไม่เข้าใจ พลันหันหลังเดินกลับเข้าเรือนฝั่งตะวันออก
อวี๋ฮั่นซานจะยอมรามือทั้งที่ยังไม่เห็นเงินได้อย่างไร เขาก้าวเข้าไปดึงอวี๋เมิ่งซานเอาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าไม่น่ามองและร้อนรนกระวนกระวาย “พี่รอง หากท่านไม่เอาเงินออกมา ข้าก็จะไปค้นเรือนครอบครัวรองของท่าน!”
ขาข้างซ้ายของอวี๋เมิ่งซานไม่ดีเป็ทุนเดิม เพราะการกระทำของอวี๋ฮั่นซานไม่ระมัดระวังแม้แต่นิด นึกไม่ถึงว่าจะกระชากจนเขาล้มลงบนพื้น
สตรีแซ่ซ่งที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงพูดคุยของอวี๋ฮั่นซานที่เอาแต่วนเวียนรอบกายอวี๋เมิ่งซาน ครั้นเห็นอวี๋เมิ่งซานล้มลงผ่านม่านประตู นางจึงรีบเลิกม่านไม้ไผ่ออกมาทันที พยุงอวี๋เมิ่งซานลุกขึ้นพลางเอ่ยด้วยสีหน้าไม่น่ามองว่า “เ้าสาม นี่เ้าทำอะไร? ทั้งๆ ที่รู้ว่าขาพี่สามของเ้าไม่ดี เหตุใดถึงยังผลักผู้อื่น?”
สตรีแซ่จ้าวลอบมองผ่านหน้าต่างเรือนอยู่ตลอด ครั้นเห็นสตรีแซ่ซ่งเอ่ยวาจาตำหนิอวี๋ฮั่นซาน นางจึงเดินออกมาจากในห้อง
อวี๋ฮั่นซานเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าผลักพี่รองที่ใดกัน เขาล้มลงไปเอง ท่านอย่าได้ปัดความผิดให้ข้าซี้ซั้ว!” จากนั้นเอ่ยพลางจดจ้องไปที่ซ่งชุน “พี่สะใภ้รอง ข้าอยากจะเปิดกิจการ ในมือไม่มีเงิน ครอบครัวรองของพวกท่านมีเงินมาก เอาเงินทุนมาให้ข้าจำนวนหนึ่ง!”
“เงินทุนอะไร? ครอบครัวของพวกเรามีเงินเสียเมื่อใดกัน?” ซ่งชุนค่อนข้างงุนงง อวี๋เมิ่งซานปัดฝุ่นบนกาย ตามด้วยบอกเื่ที่อวี๋ฮั่นซานจะเปิดร้านขายเนื้อกับซ่งชุนเสียงเบา
สตรีแซ่จ้าวฟังจากน้ำเสียงของอวี๋ฮั่นซานก็รู้แล้วว่าเขาโน้มน้าวพี่รองไม่สำเร็จ นางจึงชักสีหน้าบึ้งตึงทันใด “สะใภ้รอง เ้าจะไม่มีเงินได้อย่างไร? เมิ่งอวี๋เจียวคือลูกสาวของเ้า เงินในมือของนางก็คือเงินของครอบครัวรอง พี่น้องของเ้าอยากเปิดกิจการ ในฐานะที่พวกเ้าเป็พี่ชายกับพี่สะใภ้ หากจะออกเงินทุนสักเล็กน้อยย่อมเป็เื่สมควร”
ซ่งชุนโมโหจนถึงกับหลุดหัวเราะเพราะวาจาไร้ยางอายของสตรีแซ่จ้าว ในตอนแรกที่อวี๋เมิ่งซานขาขาดจนต้องนอนติดเตียง ครอบครัวสามทั้งสองคนชักสีหน้าให้นางดูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รังเกียจที่ครอบครัวรองของพวกนางไม่มีคนที่สามารถลงแรงทำงาน ยามนั้นไม่นึกว่าพวกนางเป็พี่ชายกับพี่สะใภ้สักนิด ยามนี้กลับนึกถึงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องขึ้นมาเสียได้
“พวกเ้าอยากเปิดกิจการก็เปิดไป ท่านพ่อท่านแม่ออกเงินให้พวกเ้า ครอบครัวรองของพวกเราก็ไม่นึกอิจฉา แต่พวกเ้าอย่าได้คิดจะเอาเงินในมือของอวี๋เจียว เงินที่นางหามาด้วยความสามารถของตนล้วนแต่เป็สินเดิมของนาง พ่อแม่ที่ด้อยค่าอย่างพวกเราไร้ความสามารถ ไม่อาจเพิ่มสินเดิมให้นางได้ แต่พวกเราก็ไม่มีทางคิดจะเอาเงินส่วนตัวที่นางหามาด้วยความยากลำบากแน่นอน” นิสัยใจคอของซ่งชุนไม่ได้อ่อนแอง่ายต่อการกดขี่เช่นแต่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นสตรีแซ่จ้าวยังเป็คนไร้ยางอาย นางจึงเอ่ยออกไปอย่างชัดเจนด้วยใบหน้าเ็า
แต่มีหรือจะไล่สตรีแซ่จ้าวได้ง่ายดายเพียงนี้ เงินไม่อยู่ในกำมือ นางย่อมไม่มีทางรามืออย่างแน่นอน โก่งคอร้องตะคอกเสียงดังอย่างหยาบคายว่า “ข้าไม่เคยพบเจอผู้ใดที่เห็นคนอื่นดีกว่าญาติพี่น้องเช่นนี้! นึกไม่ถึงว่าเ้าคิดจะให้เมิ่งอวี๋เจียวออกเรือนแล้วหอบเงินไปจนหมด? แค่คิดก็อย่าได้คิด ไม่มีทาง! หากไม่ให้อวี๋เจียวเอาเงินออกมาแบ่งให้ครอบครัวสามของพวกเรา เช่นนั้นวันนี้ก็ต้องเอาเงินทุนร้านขายเนื้อออกมา!”
ภายในลานเรือนอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่ง อวี๋เจียวเลิกม่านเดินออกมาจากเรือนฝั่งตะวันออก ดวงตาดำขลับฉายแววเ็า จดจ้องสตรีแซ่จ้าวสองสามีภรรยาแล้วปริปากเอ่ยพลางยิ้มหยัน “อยากได้เงินใช่หรือไม่? พวกท่านก็มาบอกข้าสิ”
