“ตกลงเ้ามาทำอะไรที่บ้านข้ากันแน่?” เสิ่นม่านถือทัพพีในมือและยืนเท้าสะเอวหนึ่งข้างอยู่หน้าประตูครัว จากนั้นมองนางเหมือนกำลังดูเื่สนุก
เมื่อถูกเตือน หญิงหม้ายเพิ่งรู้ว่าตนเองเสียมารยาท จากนั้นรีบเก็บข้าวของที่หล่นบนพื้นและบิดเรือนร่างอรชรเดินเข้ามาในตัวบ้าน
“ข้าเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านท่านอา กลับมาวันแรกจึงตั้งใจมาทักทายเพื่อนบ้าน น้องเสิ่น ต่อไปข้าคงต้องพึ่งพาเ้าอีกมาก”
เสิ่นม่านมองดูร่างอ้อนแอ้นของนางแล้วตาลาย จึงยักไหล่
“ตามหลักแล้ว ข้ากับอาของเ้าไม่สนิทสนมกัน เ้าควรเก็บของขวัญไว้มอบให้อาเ้าจะดีกว่า” พูดจบ นางก็ถลกแขนเสื้อเดินกลับเข้าครัวไป
จางซิ่วอวิ๋นราวกับิญญาสาวตามเสิ่นม่านเข้าครัวไปอย่างไร้สุ้มเสียง พอเข้ามาก็ไปยืนข้างหนิงโม่ จากนั้นยกมือเรียวขาวขึ้นเกี่ยวปอยผมด้านข้าง แสร้งทำเป็ชะเง้อเข้าไปดูในหม้อ
“น้องเสิ่น ทำของอร่อยอะไรหรือ ถึงได้หอมเช่นนี้?”
เดิมทีก็ไม่ได้สนิทสนม แต่กลับเรียกน้องเสิ่นเสียคล่องปาก ทำเอาเสิ่นม่านหมดอารมณ์ปรุงอาหาร
นางมองจางซิ่วอวิ๋นด้วยหางตาอย่างไม่ไยดี ดูแล้วก็เหมือนก้อนสไลม์ที่มีชีวิตและพุ่งเข้าไปยืนแนบชิดหนิงโม่
หนิงโม่ขยับถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จางซิ่วอวิ๋นจึงเสียหลักจนล้ม ‘โครม’ กองกับพื้นในครัว
“โอ๊ย!”
นางส่งเสียงร้องโอดโอยแฝงความออดอ้อน “เจ็บจัง!”
จากนั้น ร่างอรชรของนางกึ่งคลานอยู่บนพื้นและเฝ้ารอว่าจะมีคนยื่นมือมาให้นางเงียบๆ
หนึ่งวินาทีผ่านไป
สองวินาทีผ่านไป
หลายวินาทีผ่านไป…
ทั้งบ้านสกุลเสิ่น ไม่มีผู้ใดสนใจนาง
เสิ่นม่านเดินออกจากหลังเตาและตบฝุ่นบนเสื้อ จากนั้นมองต่ำลงมาที่นาง
“ครอบครัวข้ายังต้องทำกับข้าว เ้ายังมีธุระหรือไม่? หากไม่มีก็รีบกลับบ้านอาเ้าไปได้แล้ว”
นี่ขับไล่นางหรือ? จางซิ่วอวิ๋นอยู่ที่ตระกูลเฉียนมานานหลายปี หากเื่แค่นี้ยังดูไม่ออกก็นับว่าใช้ชีวิตมาเสียเปล่า
แต่นางไม่คิดจะไป!
จางซิ่วอวิ๋นอดทนลุกขึ้นเอง จากนั้นแกล้งทำผ้าเช็ดหน้าที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมหล่นลงบนพื้นอย่าง ‘ไม่ได้ตั้งใจ’
นางยกมือขึ้นจับมวยผมอีกครั้ง จากนั้นทอดสายตาไปทางหนิงโม่อย่างตั้งอกตั้งใจ “น้องเสิ่น ข้าได้ยินมานานว่าฝีมือปรุงอาหารของเ้าน่าทึ่ง ไม่รู้ว่าข้ากลับมาครั้งแรก จะมีโชคได้ร่วมทานอาหารค่ำกับพวกเ้าหรือไม่?”
เสิ่นม่านปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ไม่มี ขอโทษด้วย ครอบครัวเรารักสะอาด ไม่ชอบทานอาหารร่วมกับผู้อื่น”
หลังจากจุกกับคำปฏิเสธ ในใจจางซิ่วอวิ๋นก็หงุดหงิด แต่เพราะอยู่ต่อหน้าหนิงโม่ นางจึงพยายามสร้างภาพคนดีน่าคบหา
“ข้าเข้าใจ น้องเสิ่น เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวน”
พูดจบก็หันหลังด้วยท่วงท่าที่ตนคิดว่าสง่างามที่สุดและเดินบิดร่างอรชรไปทางประตู แล้วรอหนิงโม่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเงียบๆ
ครั้นแล้ว…
ใครบางคนที่ไม่แม้แต่จะสบตานางั้แ่ต้นจนจบ เขาก้าวเท้าออกไปและเหยียบลงบนผ้าเช็ดหน้าลายนกยวนยางเล่นน้ำของนางเต็มเท้า
เสิ่นม่าน “…”
ญาติผู้พี่ท่านนี้ ช่างเป็ชายที่ซื่อตรงดั่งเหล็กกล้า มิอาจไหวเอน
เสิ่นม่านส่ายหน้า แม้ว่าจางซิ่วอวิ๋นผู้นี้จะรูปโฉมงดงามเปี่ยมเสน่ห์ แต่เดาว่าคงไม่เข้าตาใครบางคน
คนเขาอยู่เมืองหลวง โฉมงามประเภทใดบ้างที่ไม่เคยเห็น? อย่างจางซิ่วอวิ๋น อย่างมากก็เหมือนกับเหอยวนยางก่อนหน้านี้ สวยงามก็จริง แต่ไม่มีความแปลกใหม่
ส่วนจางซิ่วอวิ๋นเดินมาจนถึงหน้าประตูบ้านสกุลเสิ่นก็ไม่เห็นหนิงโม่ตามมาพร้อมผ้าเช็ดหน้า กลับกลายเป็เสี่ยวหลานที่ถือผ้าเช็ดหน้าพร้อมรอยเท้าวิ่งเอามาให้ พร้อมกับฝากคำพูดให้นาง
“ท่านป้าท่านนี้ ท่านอาข้าบอกว่า เก็บของของท่านให้ดี อย่าเที่ยวมาทิ้งไว้บ้านคนอื่น มิเช่นนั้น ครั้งหน้าจะไม่ให้เหยียบเข้าแม้กระทั่งประตูบ้าน”
จางซิ่วอวิ๋นหน้าชา รับผ้าเช็ดหน้าคืนมาอย่างจำยอม
ถึงขั้นมีผู้ชายที่ไม่ติดกับแผนสาวงามของนางด้วยหรือ? ดีนัก หนิงโม่ เ้าดึงดูดความสนใจของข้าได้สำเร็จ!
่อาหารค่ำ บนโต๊ะ เสิ่นม่านเห็นใครบางคนที่ทำให้ผู้หญิงติดใจแล้วยังทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังคงทานข้าวไปถึงสองถ้วยเหมือนเช่นเคย นางจึงอดไม่ได้ที่จะแซะ
“นี่ เ้าไม่รู้สึกหรือว่า หญิงหม้ายบ้านข้างๆ ที่เพิ่งมาใหม่ชอบเ้าเข้าแล้ว?”
เยี่ยนชีที่ทานข้าวไปสามถ้วย ขณะนี้เงยหน้าขึ้นจากถ้วยและมองเขาด้วยสายตาเป็ประกายเปี่ยมด้วยิญญาแห่งความอยากรู้อยากเห็น
“ใช่แล้ว แต่ว่าเ้า… เสี่ยวหนิงสมัยก่อนเคยพบเจอสาวงามมากมายถมเถ มีหญิงสาวมากมายที่พร้อมส่งมอบความรักให้เขาทุกหนแห่ง ผู้หญิงคนนี้ไม่อาจอยู่ในแถวด้วยซ้ำ!”
“อ้อ? เช่นนี้เองหรือ?”
เสิ่นม่านนึกสนุก “เ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่า สาวงามที่เมืองหลวงตามจีบคุณชายน้อยเอาใจยากผู้นี้อย่างไรบ้าง?”
หนิงโม่วางตะเกียบลงอย่างสง่างาม เขาปรับความเข้าใจ “ตาสุนัขข้างไหนของเ้ามองว่าข้าเอาใจยาก?”
ใครบางคนอยู่นานไป คำพูดคำจาก็ยิ่งแฝงด้วยรังสีสังหาร เยี่ยนชีชะงักกับรังสีสังหารของเขา จึงหดคอและยิ้มแหยไม่กล้าพูดต่อ
เสิ่นม่านยังคงแสดงท่าทีสนุกสนานกับเื่ซุบซิบเช่นนี้ จนลืมไปว่าบนโต๊ะยังมีเด็กน้อยสามคน
“เหตุใดจึงไม่พูดต่อ? หรือว่าเกินบรรยายเกินไป? มีคนถวายตัวถึงที่ใช่หรือไม่? หรือว่าใช้แผนสาวงามหลอกล่อ? วางยา? ลักพาตัวน่าจะตื่นเต้นกว่า ใช่หรือไม่?”
หนิงโม่สีหน้าเปลี่ยน จากนั้นกระแทกถ้วยกับโต๊ะและมองนางด้วยสายตาเยือกเย็น “ขืนเ้ายังกล้าพูดอีก ข้าจะจับเ้าโยนออกไป”
สีหน้าที่เปลี่ยนกะทันหันทำให้นางไม่ทันตั้งตัว
แต่เสิ่นม่านรู้ดีว่าท่าทางเช่นนี้แสดงว่าเขากำลังโกรธจริงๆ นางจึงไม่ได้พูดต่อ หนิงโม่ลุกขึ้นและเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“ข้าอิ่มแล้ว” จากนั้นเตรียมลุกจากโต๊ะ แต่ก่อนจะจากไป กลับเอ่ยถามด้วยท่าทีเ็า
“ปกติเ้าทำตัวเป็ตัวอย่างให้แก่เด็กทั้งสามเช่นนี้หรือ? ไม่ว่าอะไรก็พูดต่อหน้าเด็ก”
เสิ่นม่านมองดูเด็กน้อยทั้งสามทั้งกำลังเอามือปิดหูอย่างหวาดหวั่น “…”
แย่แล้ว เื่ซุบซิบก็ต้องดูจังหวะด้วย
นางรีบโซ้ยข้าวไม่กี่คำและหยุดกิน
ตกดึก หนิงโม่กลิ้งไปมาบนเตียง จนประสบความสำเร็จในการทำให้เยี่ยนชีที่นอนบนพื้นไม่อาจนอนได้
เยี่ยนชีเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เ้านาย ท่านคิดถึงคนผู้นั้นใช่หรือไม่?”
หนิงโม่ไม่พูดจา ท่ามกลางความมืด เขาลืมตาขึ้นมา ั์ตาดำขลับดุจหมึก
เยี่ยนชีอยากพูดแต่แล้วก็หยุด สุดท้ายก็ทนความปากมากไม่ได้และพึมพำ
“อันที่จริงข้ารู้สึกว่า ผ่านมาก็ตั้งหลายปี หากนางยังมีชีวิตอยู่ ก็คงต้องแต่งงานมีลูกไปนานแล้ว เราตามหามานานแต่กลับไม่มีเบาะแส เช่นนั้นนางคงไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว”
เ้านายที่โง่เขลาในเื่ความรัก ยังคงงมเข็มในมหาสมุทรเพื่อตามหาคนผู้นั้น
เ้านายยังคงไม่ตอบ เยี่ยนชีลุกขึ้นนั่งและมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง จากนั้นกดเสียงต่ำและกระซิบถาม
“อันที่จริงข้าคิดว่า แม่นางเสิ่นก็ดี นาง…เอิ่ม ค่อนข้างพิเศษ ใครได้แต่งงานกับนาง คงต้องเป็โชคที่สั่งสมจากชาติที่แล้วแน่ๆ”
คราวนี้คนบนเตียงขยับและพ่นออกมาเบาๆ “โชคแบบนี้ เ้ารับไว้เองไหมเล่า?”
เขาจะชอบสาวร่างอวบได้อย่างไรกัน?
นี่มัน ไม่ มี ทาง เป็ ไป ได้!
-----
