เล่มที่ 2 บทที่ 58
เฉินเทียนหยูพูดพล่ามแต่จ้าวจื่อซินเกือบจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
ทำไมมู่หรงฉิงผู้นี้ถึงดูดีในสายตาของเฉินเทียนหยูถึงเพียงนั้น? เนื่องจากเ้าตัวไม่พบความเ้าเล่ห์ของนางกระมัง ผู้หญิงที่มีความคิดพิลึกพิลั่นตลอดทั้งวันเช่นนาง ดีถึงเพียงนั้นเลยหรือ
จ้าวจื่อซินส่ายศีรษะพลางมองไปที่เฉินเทียนหยู เขาคิดเพียงว่าเฉินเทียนหยูเป็คนโง่เขลา จึงไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมู่หรงฉิง จังหวะนั้นมู่หรงฉิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงได้ลืมตาขึ้น ในแววตาของนางปรากฏความซับซ้อนและมีอารมณ์ที่อธิบายเป็คำพูดไม่ถูก
ทันทีที่เห็นมู่หรงฉิงตื่นขึ้น ใบหน้าเศร้าเสียใจของเฉินเทียนหยูก็เปื้อนด้วยรอยยิ้มทันควัน "น้องหญิงตื่นแล้ว น้องหญิงตื่นแล้ว"
“จะไม่ตื่นได้อย่างไร? ถูกคนชมเช่นนั้น ถ้ายังสามารถฟังต่อไปได้ มันก็คงจะหน้าหนามากจริงๆ” จ้าวจื่อซินยิ้มมุมปาก จากนั้นหมุนตัวหมายจะเดินออกไป “ผู้น้อยจะให้คนเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น เนื่องจากฮูหยินน้อยตื่นแล้ว ก็ได้เวลากินข้าวแล้ว”
คล้อยหลังจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงก็ถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่งโดยเฉินเทียนหยู ครั้นมองดูคนที่ยิ้มแย้มอย่างใสสะอาดบริสุทธิ์อยู่ตรงหน้าคนนี้ มู่หรงฉิงกลับไม่อาจบอกได้ว่าตนมีความสุขหรือมีความเศร้า?
มีผู้หญิงคนใดบ้างที่ไม่อยากมีสามีที่รักตน? ตอนนี้นางมีสามีที่รักนาง แต่สามีคนนี้เป็ปีศาจที่สามารถกินเนื้อคนได้ตลอดเวลา
คิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น
เฉินเทียนหยูเห็นมู่หรงฉิงยิ้มแปลกๆ จึงยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของผู้เป็น้องหญิง "น้องหญิงไม่สบายตรงไหนหรือไม่? สีเอ๋อร์ไปหาหมอประจำจวนแล้ว อีกสักพักก็จะมาถึง รอจนกว่าหมอประจำจวนจะสั่งยาให้กับน้องหญิง ถึงเวลานั้นน้องหญิงก็จะหายจากอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวแล้ว”
“ท่านพี่ ถ้าวันใดวันหนึ่งท่านพี่พบว่าฉิงเอ๋อร์โกหกท่านพี่ ท่านพี่จะโทษฉิงเอ๋อร์หรือไม่?” มู่หรงฉิงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ระหว่างนั้นนางได้จ้องเข้าไปในดวงตาที่ใสสะอาดและปราศจากความขุ่นมัวของเฉินเทียนหยู
“น้องหญิงไม่โกหกข้าอย่างแน่นอน น้องหญิงเป็น้องหญิงที่ดีที่สุด” เฉินเทียนหยูตอบอย่างภาคภูมิใจทั้งยังมั่นใจเป็อย่างมาก ท่าทีของเขาก็ดูเหมือนว่าตนเองจะไม่โกหกมู่หรงฉิงตลอดไปด้วยเช่นเดียวกัน
“แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง...”
“คุณชายรอง หมอมาแล้ว”
ก่อนที่มู่หรงฉิงจะถามอีกครั้งจนจบ เสียงกระวนกระวายของสีเอ๋อร์ได้ดังมาจากด้านนอก ถัดจากนั้นเป็เสียงฝีเท้าซึ่งเต็มไปด้วยความเร่งรีบ
หลังจากถูกขัดจังหวะ มู่หรงฉิงจึงไม่ได้พูดอะไรมากอีกต่อไป ก่อนที่หมอจะเข้ามา นางยกมือขึ้นและลดผ้าม่านเตียงลง "ท่านพี่ รอด้านข้างสักครู่ หลังจากหมอดูอาการแล้ว พวกเราจะทานอาหารเย็นด้วยกัน"
“ตกลง” มู่หรงฉิงตื่นแล้ว เฉินเทียนหยูย่อมไม่ได้กลัดกลุ้มใจอีกต่อไป เขาจึงฟังทุกคำพูดของมู่หรงฉิงโดยคิดในใจว่า ขอแค่น้องหญิงมีความสุขก็เพียงพอแล้ว
หมอประจำจวนเข้ามาในห้องและค้อมศีรษะคำนับเฉินเทียนหยู จากนั้นเดินไปที่เตียงพร้อมพูดกับสีเอ๋อร์ว่า "ข้าจะต้องตรวจชีพจรของฮูหยินน้อย"
สีเอ๋อร์เอ่ยตอบ นางเดินไปที่เตียงเพื่อเลิกม่าน ครั้นเห็นมู่หรงฉิงตื่นขึ้นแล้ว นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ฮูหยินน้อยฟื้นขึ้นมาแล้ว บ่าวได้เชิญหมอมาแล้ว จะต้องตรวจชีพจรของฮูหยินน้อยก่อน วันนี้ร่างกายของฮูหยินน้อยอ่อนแอ จะต้องได้รับการรักษาถึงจะถูก"
“อืม” มู่หรงฉิงตอบด้วยเสียงเบาก่อนจะยื่นมือออกจากมุ้ง หมอหยิบหมอนสำหรับตรวจชีพจรออกมา และให้มู่หรงฉิงวางมือลงบนหมอน จากนั้นวางสามนิ้วเบาๆ หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมพยายามตรวจชีพจรอย่างระมัดระวัง
หลังจากชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หมอประจำจวนก็ส่งสัญญาณบอกสีเอ๋อร์ว่าตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเดินไปที่โต๊ะพร้อมกับกล่องยา และเขียนใบสั่งยา “ชีพจรเต้นอ่อน ไฟในตับเกิน สาเหตุมาจากฮูหยินน้อยโกรธมากเกินไป ไปรับยาตามใบสั่งยานี้ก่อน และกินยาเป็เวลาสองวัน ทำจิตใจให้สงบก็จะดีขึ้นแล้ว”
“รับทราบ” สีเอ๋อร์รับใบสั่งยาและเดินตามหมอประจำจวนไปรับยา
ั้แ่ต้นจนจบ เฉินเทียนหยูอยู่ด้านหน้าเตียงอย่างเงียบๆ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่หมอประจำจวนพูดแม้แต่คำเดียว เขารู้แค่ว่าตอนนี้น้องหญิงฟื้นแล้ว จะไม่เป็อะไรแล้ว
สีเอ๋อร์เดินตามหมอประจำจวนเพื่อไปรับยา แต่ทางด้านจ้าวจื่อซินเดินเข้ามาพร้อมกับจานขนม ด้านหลังของเขาตามมาด้วยสาวใช้สามคน แต่ละคนถือจานอาหารคนละหนึ่งจาน
เมื่อสาวใช้จัดวางจานอาหารพร้อมสรรพ จ้าวจื่อซินก็สั่งคนออกไปอีกหน จากนั้นเขาก็พูดว่า "สภาพชีพจรก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เ้าช่างมีความสามารถจริงๆ ข้าประเมินเ้าต่ำเกินไปแล้ว”
สิ้นสุดคำพูดของจ้าวจื่อซิน ตามมาด้วยเสียงปิดบานหน้าต่าง
หลังจากรู้ว่าจ้าวจื่อซินปิดประตูและหน้าต่างแล้ว มู่หรงฉิงจึงเลิกผ้าม่านพลางลุกขึ้นออกจากเตียง "ในตำราทางการแพทย์ก็มีบอกไว้ การดูแลชีพจรนั้นสามารถรู้ถึงสุขภาพดีหรือไม่ดี"
ในเมื่อรู้ว่าปี้เอ๋อร์จะเชิญหมอประจำจวน นางย่อมรู้วิธีจัดการกับมัน นางคงต้องขอบคุณสมุดจดบันทึกสองเล่มของหมอเทวดา ด้วยสาเหตุนั้นนางจึงรู้วิธีโกงหมอประจำจวน
ั้แ่เช้าจวบจวนเวลานี้ นางยังไม่ได้กินอะไรเป็จริงเป็จัง หลังจากแสดงละครเป็เวลานาน นางจึงหิวแล้วจริงๆ
ทันทีที่มู่หรงฉิงลุกออกจากเตียง เฉินเทียนหยูก็รีบเข้ามาพยุงนาง "น้องหญิง ระวังด้วย อย่าล้มล่ะ"
การกระทำด้วยความใส่ใจทำให้มู่หรงฉิงถึงกับตกตะลึงชั่วขณะหนึ่ง แต่หลังจากนั้นนางก็กลับมาเป็ปกติอีกหน "ขอบคุณท่านพี่"
“ฝีมือของพ่อครัวประจำจวนเทียบกับฝีมือของฮูหยินน้อยไม่ได้ แต่ขนมถั่วเขียวนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็คนจัดแจงให้พ่อครัวทำให้ โดยบอกว่ากินเพื่อดับร้อน”
จ้าวจื่อซินไม่ได้รอให้ทั้งคู่หย่อนตัวลงนั่ง เขาได้เริ่มทานอาหารก่อนแล้ว
มู่หรงฉิงรู้ว่า จ้าวจื่อซินกำลังตักเตือนนางว่า ทำการแสดงต้องมีขอบเขตด้วย อย่าทำลายข้าวโพด แต่กลับเสียแตงโม ถ้าจัดการยวี้เอ๋อร์ได้แล้วแต่กลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคือง มันจะได้ไม่คุ้มเสีย
“รบกวนฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว รอให้อาการดีขึ้น ข้าจะต้องไปคำนับท่านอย่างแน่นอน” นางเอ่ยตอบจากนั้นจึงนั่งลง และยกตะเกียบขึ้นเริ่มรับประทานอาหาร
ทางด้านซ้ายคือจ้าวจื่อซิน ส่วนทางด้านขวาคือเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงนั่งอยู่ตรงกลาง ขณะที่นางยื่นตะเกียบเพื่อคีบอาหาร ตะเกียบสองคู่ก็คีบอาหารส่งมาในชามของนางพร้อมกัน
ด้านซ้ายส่งฟักแฟงขาวใส ส่วนทางด้านขวาคือขนมถั่วเขียวซึ่งเป็ขนมถั่วเขียวที่จ้าวจื่อซินเพิ่งกล่าวถึงเมื่อครู่ก่อน
ความคิดของเฉินเทียนหยูเรียบง่ายมาก เมื่ออึดใจก่อน เขาได้ยินจ้าวจื่อซินบอกว่า นี่เป็สิ่งที่ดีสำหรับน้องหญิง จึงคีบให้น้องหญิง โดยไม่คิดอะไรมากมาย แต่เมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อซินคีบฟักแฟงใส่ลงไปในชามของน้องหญิงของเขา เฉินเทียนหยูก็ผงะไปชั่วครู่หนึ่ง “จ้าวจื่อซิน เ้าบอกว่าขนมถั่วเขียวดีไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงให้ฟักแฟงกับน้องหญิง?"
“คุณชายรอง คุณชายรองจะต้องจำไว้ว่า เวลาคีบอาหารให้ผู้อื่นจะต้องใช้ตะเกียบกลาง”
จ้าวจื่อซินไม่ได้ตอบคำถามของเฉินเทียนหยู ั์ตาของเขาเป็ประกายก่อนวางตะเกียบกลางไว้ด้านข้าง จากนั้นเขาก็เริ่มกินเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แปลก! แปลกมาก
บรรยากาศยามนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง มู่หรงฉิงแปลกใจว่า ทำไมจ้าวจื่อซินถึงคีบผักให้นาง? สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น นางวิตกกังวลว่าผักนี้จะมีพิษหรือไม่? มิเช่นนั้นทำไมจ้าวจื่อซินถึงได้ขยันนัก
เป็การทานอาหารในบรรยากาศที่แปลกพิกลเป็อย่างมาก ถึงกระนั้นกลับปลอดภัยไม่มีอะไร
สำหรับการเตรียมชามและตะเกียบอย่างเปิดเผยเพื่อรับประทานอาหารร่วมโต๊ะของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงถึงกับไม่มีคำพูดใดๆ สำหรับคนหยิ่งยโส มองทุกอย่างไม่อยู่ในสายตาเช่นจ้าวจื่อซิน นางรู้สึกว่านางควรจะทำเป็มองไม่เห็นจะเป็การดีกว่า
ครู่ก่อนเฉินเทียนหยูเอาใจมู่หรงฉิงด้วยการบอกว่าจะขอให้หมอประจำจวนดูอาการให้ยวี้เอ๋อร์ แต่มู่หรงฉิงคิดว่ายังมีเื่ที่จะต้องปรึกษาหารือกับปี้เอ๋อร์ ดังนั้นนางคงมีความสุขมากกว่า ถ้าเฉินเทียนหยูจะไม่เข้ามาร่วมด้วย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย สาวใช้เพิ่งทำความสะอาดโต๊ะ ทางด้านปี้เอ๋อร์ที่ออกไปเป็เวลานานก็กลับมา
ทันทีที่ทั้งสองสบสายตากัน มู่หรงฉิงก็รับรู้แล้วว่าเื่คราวนี้ได้รับการจัดการเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“เ้าไปไหนมาหรือ? ข้าไม่เห็นเ้าเป็เวลานานเชียว” มู่หรงฉิงเอ่ยถามเสียงเรียบหลังจากเห็นหน้าปี้เอ๋อร์ ราวกับว่าการมีอยู่หรือหายไปของปี้เอ๋อร์ไม่สำคัญอย่างไรอย่างนั้น
ปี้เอ๋อร์กัดริมฝีปากพร้อมสาวเท้าไปข้างหน้า "เรียนคุณหนูใหญ่ ข้าข้อเท้าแพลงระหว่างทางไปเชิญหมอประจำจวน เลยใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะกลับมา"
“อืม นี่ก็สายมากแล้ว ช่วยเตรียมของให้ข้าอาบน้ำพักผ่อนเถอะ” มู่หรงฉิงตอบอย่างสบายๆ จากนั้นพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายว่า “คุณชายรองก็ใจดีเช่นกัน เขาพาหมอประจำจวนไปดูอาการยวี้เอ๋อร์แล้ว ข้าหวังว่านางจะไม่เป็อะไร"
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองดูพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า “ยวี้เอ๋อร์รับใช้ข้าเป็เวลานานกว่าสิบปีแล้ว ข้ายังคงคุ้นชินกับการดูแลรับใช้ของยวี้เอ๋อร์”
คำพูดของมู่หรงฉิงดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่สายตาของปี้เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับแปรเปลี่ยนเป็เ็าหลังจากได้ฟัง “คุณหนูใหญ่พูดถูก บ่าวโง่งมไม่ประสีประสา ในเื่ของความพิถีพิถันและความรอบคอบนั้นเทียบกับยวี้เอ๋อร์ไม่ได้เลย”
“อืม ใช่! เ้าแค่เรียนรู้เพิ่มเติมจากยวี้เอ๋อร์ก็ได้แล้ว” มู่หรงฉิงเดินไปที่ห้องด้านข้างระหว่างเอ่ยถ้อยคำ
ปี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองตามแผ่นหลังของมู่หรงฉิงด้วยสีหน้ามืดมน อากัปกิริยากัดริมฝีปากของนางเผยความเกลียดชังสุดจะพรรณนาเป็คำพูดได้
ทางด้านเหนือชายคามีชายเสื้อสีชมพูพลิ้วไหวตามแรงลม แต่ในขณะที่ปี้เอ๋อร์ปิดหน้าต่าง มันกลับหายวับราวกับภูตผี
ั้แ่พบว่ายวี้เอ๋อร์วางยาพิษ จนกระทั่งจัดการลงโทษยวี้เอ๋อร์ และจวบจวนเวลานี้ที่ทุกอย่างได้ถูกเตรียมพร้อม เวลาก็ผ่านไปสิบชั่วยามแล้ว
ในตอนกลางคืน มู่หรงฉิงสอดร่างเล็กกะทัดรัดเข้าไปในชุดสีดำ คลุมผมยาวสลวยของนางด้วยผ้าคลุมศีรษะ คลุมใบหน้าด้วยผ้าสีดำ สายตาของนางสดใสและมีพลัง ให้ความรู้สึกลึกลับกึ่งฉลาดแกมโกงอยู่หลายส่วน
จ้าวจื่อซินมองดูการแต่งกายของมู่หรงฉิง จากนั้นเลื่อนสายตามองไปทางปี้เอ๋อร์ซึ่งแต่งกายในชุดแบบเดียวกัน ท้ายที่สุดสายตาของเขาก็ทอดลงบนเตียง เห็นเฉินเทียนหยูที่หลับไปแล้ว "ฮูหยินน้อยทำได้จริงๆ วันนี้คุณชายรองต้องยาเทพขี้เมาไปแล้ว และตอนนี้ก็ยังคงถูกฮูหยินน้อยวางยาเสน่ห์ลงไปอีก”
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ยาตัวนั้นเ้าเป็คนให้มาไม่ใช่หรือ?” เหลือบมองจ้าวจื่อซินปราดหนึ่ง ทว่ามู่หรงฉิงกลับไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ นางเปิดบานหน้าต่างและะโออกไป
มู่หรงฉิงะโออกจากหน้าต่างโดยมีปี้เอ๋อร์ติดตามอย่างใกล้ชิด จ้าวจื่อซินหัวเราะอย่างอดไม่ได้ หลังจากเห็นมู่หรงฉิงที่สวมชุดดำกลมกลืนกับค่ำคืนอันมืดมิด "มู่หรงฉิง ถ้าว่าด้วยเื่ความโหดร้าย ข้าเกรงว่า ในภายภาคหน้า จะไม่มีใครสามารถเทียบกับเ้าได้"
ระหว่างพูด ร่างของเขาก็หายวับจากนั้นไล่ตามทั้งสองคนออกไป
พระจันทร์สีเงินแขวนอยู่บนท้องฟ้า ดวงดาวที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วก็สว่างไสวน้อยกว่าวันก่อนๆ แม้ว่าจะเป็เวลาดึกดื่น แต่สายลมในยามกลางคืนกลับไม่ได้เย็นมากนัก ผืนดินถูกแสงแดดแผดเผาอย่างไร้ความปรานีเป็เวลาหนึ่งวันแล้ว ทำให้ในเวลานี้มันเย็นตัวลงเล็กน้อยเท่านั้น
ร่างสามร่างะโขึ้นไปบนหลังคาคล้ายภูตผีในยามกลางคืน มองดูอีกทีก็คล้ายกับิญญาในเงามืด หลังจากะโขึ้นๆ ลงๆ เป็เวลาไม่นาน เงาสีดำด้านหลังก็พุ่งไปขวางตรงหน้าเงาสีดำเล็กๆ เงาดำเล็กกะทัดรัดยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกเงาดำสูงใหญ่ลากลงไปบนหลังคาและซ่อนตัวอยู่ในความมืด
“เริ่มจากที่นี่ซึ่งมีสิ่งมีพิษนับไม่ถ้วน สิ่งมีพิษเ่าั้จะถูกขังไว้ในระหว่างวัน และในเวลากลางคืน พวกมันจะมีอิสระในการเดินภายในเรือน” จ้าวจื่อซินกล่าวตักเตือนมู่หรงฉิงอีกหน “เ้าคิดอย่างกระจ่างแล้วใช่หรือไม่ สิ่งมีพิษพวกนั้นแม้ััเพียงเล็กน้อย ก็สามารถปลิดชีวิตคนได้ เ้าจะสละชีวิตของตนเองเพื่อการเดิมพัน มันจำเป็ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?"
มู่หรงฉิงไม่ได้คิดพิจารณาถึงคำพูดของจ้าวจื่อซิน ถึงอย่างไรโอกาสนี้ก็หายากมาก เช่นเดียวกับคืนนั้น คืนที่นางติดกับดักของอนุหนิง ถ้าไม่ใช่เพราะยาของจ้าวจื่อซินที่ช่วยเพิ่มกำลังภายใน นางจะรู้ได้อย่างไรว่าทั้งหมดล้วนเป็แผนการทั้งสิ้น?