“โอ๊ะ ใช่แล้ว” จู่ๆ เซี่ยงเหมยก็นึกเื่อะไรขึ้นมาได้ เธอกล่าวเตือน “นมผงของซิงซิงเหลืออยู่นิดหน่อย ฉันคิดว่าเขาน่าจะกินได้อีกสองสามวันเท่านั้น ซย่านี เธอต้องรีบซื้อนมผงให้ลูกได้แล้ว”
ซย่านีตบหัวตนเองไปหนึ่งทีเกือบลืมเื่สำคัญแบบนี้ไปเสียแล้ว!
เธอไม่มีทะเบียนบ้านท้องถิ่นในเขตนี้ พอคลอดลูกแล้วจึงไม่ได้ตั๋วนมผง ดังนั้นเธอไม่เพียงแต่ต้องซื้อนมผงเอง แต่ยังต้องซื้อตั๋วนมผงอีกด้วยซึ่งเื่นี้เธอต้องใช้เงินไม่น้อยเลยทีเดียว
ดังนั้นตอนนี้ซย่านีจึงต้องพักเื่ซื้อบ้านไว้ก่อน เธอต้องเอาเื่เลี้ยงลูกให้ดีก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
เซี่ยงเหมยถามอย่างเป็กังวล “เธอจะไปซื้อตั๋วนมผงที่ไหนหรือ? ฉันไปถามพวกเพื่อนบ้านให้ดีไหม ดูว่าบ้านไหนเพิ่งคลอดลูกบ้างแล้วถามพวกเขาว่าพอจะขอแบ่งตั๋วนมผงมาให้เธอได้ไหมสักใบสองใบ?”
“ไม่เป็ไรค่ะ” ซย่านีคิดวิธีรับมือไว้แล้ว เธอกล่าวต่อว่า “พรุ่งนี้ฉันว่าจะไปที่โรงพยาบาลสักหน่อยที่นั่นมีหญิงตั้งครรภ์อยู่เยอะแยะ เดี๋ยวฉันค่อยหาคนที่เพิ่งคลอดลูกและถามพวกเธอเื่น้ำนมก็ได้ค่ะ หากพวกเธอมีน้ำนมพอแล้วก็ไม่จำเป็ต้องให้นมผงกับลูก จากนั้นฉันก็ค่อยขอซื้อตั๋วนมผงจากพวกเธอก็น่าจะได้นะคะ” ซย่านีสะบัดเงินในมือพลางกล่าวว่า “บนโลกนี้ไม่มีปัญหาใดที่เงินแก้ไขไม่ได้หรอกค่ะ”
“เธอมีแผนในใจก็ดีแล้วล่ะ” เซี่ยงเหมยถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไม่กี่วันมานี้ฉันเลี้ยงซิงซิงเองกับมือ เห็นด้วยตาเลยว่าเขาอ้วนขึ้นจากเดิมมาก ถ้าเกิดเขาหิวขึ้นมาแล้วฉันต้องปล่อยให้เขาอดนมล่ะก็ ฉันต้องไม่มีความสุขแน่ๆ”
ใน่ไม่กี่วันมานี้เซี่ยงเหมยเริ่มมีความรู้สึกผูกพันกับซิงซิงแล้ว
ซย่านียิ้ม “วางใจเถอะ เขาไม่ต้องทนหิวอีกต่อไปแล้ว” จากนั้นเธอก็คุยกับเซี่ยงเหมยเื่ธุรกิจ “ถึงการค้าขายวันนี้จะได้ไม่มากแต่เท่าที่ฉันดูแล้ว ฉันรู้สึกว่ามันขายไม่ดีเท่าเมื่อวานเลย”
เซี่ยงเหมยที่กำลังถีบจักรเย็บผ้าอยู่พลันหยุดเท้าลงชั่วขณะ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความกังวลอย่างชัดเจน “เช่นนั้นแล้ว เราจะทำอย่างไรกันดี? นี่เพิ่งสองวันเองนะ ทำไมถึง...”
ทว่าซย่านีกลับไม่กังวลเธอกล่าวกับเซี่ยงเหมยว่า “มหาวิทยาลัยปักกิ่งมีนักศึกษาหญิงแค่ไม่กี่คนเอง ใน่สองวันมานี้พวกเราก็ขายยางรัดผมได้พันกว่าชิ้นแล้ว ถ้าที่นั่นขายไม่ออกก็ไม่เป็ไรหรอกแค่เปลี่ยนไปขายที่สถานศึกษาอื่นก็ได้นี่นา ทั้งประเทศมีแค่ที่เมืองปักกิ่งของพวกเราที่มีสถานศึกษาตั้งอยู่หลายแห่งแล้ว ถึงที่ฝั่งมหาวิทยาลัยจะขายไม่ออกก็ไม่เป็หรอก เมื่อบ่ายวันนี้เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเพื่อนในโรงเรียนของเธอต่างก็ชอบยางรัดผมของพวกเรากันมากๆ ถึงตอนนั้นเราก็ไปขายที่หน้าประตูโรงเรียนประถมแห่งต่างๆ กัน ฉันคิดว่าก็คงจะขายได้ไม่น้อยเหมือนที่มหาวิทยาลัยนั่นแหละ”
เซี่ยงเหมยถอนหายใจอย่างโล่งอก “เธอคิดคำนวณไว้มากมาย ฉันฟังเธอก็แล้วกัน”
ซย่านีกล่าวกับเซี่ยงเหมย “พี่ถีบจักรเย็บผ้าเหนื่อยแล้วหรือยัง พวกเราสลับกันไหม?”
“แม่ ผมทำการบ้านเสร็จแล้ว ขอออกไปเล่นได้ไหมครับ?” ซ่งตงซวี่วิ่งมาหาซย่านี แล้วนอนแผ่หลาอยู่ข้างจักรเย็บผ้า
ซย่านีเหล่มองเขา เธอเหยียบจักรไปพลางเอ่ยถามลูกชาย “ทำไมทำเสร็จเร็วขนาดนี้?”
ซ่งตงซวี่ตอบผู้เป็แม่ “คาบสุดท้ายของบ่ายวันนี้เป็การประชุมชั้นเรียน ครูประจำชั้นเลยให้พวกเราทำการบ้านกัน ผมทำการบ้านเสร็จไปเกินครึ่งแล้วครับ ั้แ่ตอนอยู่ที่โรงเรียน”
ซย่านียังคงไม่วางใจอยู่บ้างจึงกล่าวเสียงดัง “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ ลูกตรวจการบ้านของน้องชายลูกทีสิ” จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับซ่งตงซวี่ “ถ้าการบ้านไม่มีปัญหา ลูกก็ออกไปเล่นได้”
ซ่งตงซวี่ร้อง ‘เย้’ จากนั้นก็วิ่งไปหาพี่สาวอย่างดีใจ
ปกติแล้วซ่งวั่งซูมักจะรำคาญน้องชายคนนี้มาก เธอยังทำการบ้านของตัวเองไม่เสร็จจึงไม่อยากสนใจเื่การบ้านของน้องชาย แต่เพราะซย่านีสั่งเธอก็เลยช่วยตรวจการบ้านอย่างเชื่อฟังคำสั่งมารดา
แม้ว่าซ่งวั่งซูจะอยู่แค่ชั้นป.2 แต่สำหรับเธอแล้วเนื้อหาความรู้ของชั้นป.1 เป็เื่ที่ง่ายดายมาก ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็วางการบ้านของซ่งตงซวี่ลงแล้วหันไปบอกซย่านีว่า “แม่คะ การบ้านของหยางหยางถูกแล้วค่ะ”
“อืม” ซย่านีกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เธอกล่าวกับลูกว่า “บอกให้เขาจัดกระเป๋าเรียนก่อน ค่อยออกไปเล่นข้างนอกนะ”
“ลูกของเธอทั้งสองคนนี้การเรียนคงดีล่ะสิท่า?” เซี่ยงเหมยอดถอนหายใจไม่ได้ “ฉันไม่เคยเห็นเด็กฉลาดเท่าพวกเขามาก่อนเลย”
“เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ผลการเรียนดีจริงๆค่ะ แต่หยางหยางน่ะไม่ได้เื่เลย” ซย่านีส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “หยางหยางมีนิสัยซุกซนไม่ตั้งใจเรียน ก่อนหน้านี้ครูประจำชั้นก็เรียกฉันไปพบบอกว่าเขามักจะก่อปัญหาที่โรงเรียน แถมยังไม่ยอมทำการบ้านอีกด้วย”
“แต่เขาน่ะสมองดีมากเลย เธอดูสิเขาทำการบ้านถูกหมดเลยนะ แสดงว่าเขาเรียนรู้เร็วมาก”
ซย่านียิ้ม “นั่นอาจจะเป็เพราะได้สมองมาจากพ่อของเขาล่ะมั้งคะ”
พอพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา[1] ซย่านีเพิ่งจะพูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงลูกชายคนรองร้องะโดังมาจากหน้าประตู “แม่ฮะ พ่อมาแล้ว!”
ซ่งวั่งซูพลันทิ้งการบ้านลงแล้ววิ่งออกไปทันที พลางร้องเรียก “พ่อคะ...”
ซย่านีใไยซ่งหานเจียงถึงมาอยู่ที่นี่กันเล่า? เมื่อวานเขาเพิ่งกลับบ้านไม่ใช่หรือไง? หรือว่า...หรือว่าพอไม่เห็นเธอที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยก็เลยตามหาเธอ?
จู่ๆ ในใจของซย่านีก็บังเกิดร่องรอยความรู้สึกผิด เธอรีบวางของลงแล้วตามหลังซ่งวั่งซูออกไปทันที
ซ่งวั่งซูกอดเอวซ่งหานเจียง เธอออดอ้อนอยู่ข้างกายเขาพร้อมกับเอ่ยถามว่า “พ่อคะ ทำไมพ่อกลับมาล่ะ?”
ซ่งหานเจียงยิ้มพลางลูบหัวของเธอ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นซย่านีกำลังเดินออกมาจากบ้านของเซี่ยงเหมย
เขาจูงรถจักรยานแล้วกล่าวว่า “ผมไม่ได้มีเื่อะไรหรอกแค่จะมาดูว่าเธอถึงบ้านปลอดภัยดีหรือเปล่า ถ้าปลอดภัยดีงั้นผมกลับก่อนนะ”
ซ่งหานเจียงพูดจบ ก็เตรียมจะจากไปทันที
“นี่” ซย่านีลังเลที่จะพูดออกมา
ซ่งหานเจียงหันหน้ากลับมามอง
ตอนนี้ซย่านีรู้สึกว่าอารมณ์ของเธอซับซ้อนยิ่งนัก เขาไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงไปขายของที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยของเขาและก็ไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงไม่ได้อยู่ที่บ้านของตนเอง แต่กลับพาพวกลูกๆ มาส่งที่บ้านของเซี่ยงเหมย ดูแล้วเหมือนเขาไม่ได้สนใจชีวิตของเธอเลยสักนิดและไม่ได้สนใจว่าเธอคิดจะทำอะไร แต่ว่าตอนที่เขาไม่เจอเธอที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย เขากลับรีบตามหาเธอเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเธอปลอดภัยดี
“คุณ...คุณกินข้าวเย็นหรือยัง?” ซย่านีถาม
ซ่งหานเจียงตอบ “ยังเลย”
ซย่านีกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นอยู่กินข้าวเย็นก่อนค่อยกลับดีไหม?”
ซ่งหานเจียงส่ายหน้าพลางกล่าวตอบ “ไม่ล่ะ ผมยังทำงานไม่เสร็จเลย”
ซย่านีรู้ว่าซ่งหานเจียงเป็คนบ้างาน เขาเป็ว่าที่นักวิทยาศาสตร์ที่ในอนาคตอุทิศทั้งชีวิตให้กับวิทยาศาสตร์ เธอคงรั้งเขาไว้ไม่ได้จึงทำได้เพียงบอกกับเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น ตอนคุณกลับถึงมหาวิทยาลัยแล้วก็หากินข้าวก่อนนะ ไม่ว่าจะทำงานอะไรร่างกายที่ดีก็เป็ต้นทุนแห่งการปฏิวัติ[2]”
ซ่งหานเจียงยิ้มรับ “ได้ วางใจเถอะ”
“แล้วคุณมีเงินพอใช้หรือเปล่า?” ซย่านีลูบเงินของตนเองที่ยังไม่ทันอุ่นดี ก่อนจะควักเงินออกมาสองหยวนแล้วเดินไปยัดใส่กระเป๋าเสื้อของซ่งหานเจียง จากนั้นก็ตบเบาๆ พลางเอ่ยกำชับว่า “เก็บไว้ใช้จ่ายให้ตัวเองนะ”
ท่าทางเช่นนั้นของซย่านีราวกับสาวใหญ่ที่ให้เงินพิเศษกับบริกรหนุ่มน้อยอย่างไรอย่างนั้น
ซ่งหานเจียงกล่าว “…ฉันมีเงินอยู่”
“ไม่ใช่ว่าคุณใช้เงินซื้อยางรัดผมให้เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ไปแล้วหรอกหรือ? คุณจะยังมีเงินอยู่เท่าไหร่กันเชียว?” ซย่านีกล่าวในใจ หากมิใช่เพราะเห็นว่าเขายังจำได้ว่าต้องซื้อของขวัญและนมผงให้ลูกๆ แล้วล่ะก็ จากพฤติกรรมก่อนหน้านี้ที่เขามอบเงินทั้งหมดให้ยายแก่ขี้งกหวังซิ่วอิงแบบนั้น เธอจะไม่มีวันให้เงินสองหยวนนี้กับเขาแน่ๆ
ตอนนี้ซ่งหานเจียงรู้แล้วว่าภรรยาของเขาทำยางรัดผมขายและรู้ว่าซย่านีหาเงินได้แล้ว เขาจึงไม่เกรงใจซย่านีอีกต่อไปจึงไม่ได้ปฏิเสธเงินสองหยวนที่หล่อนให้มานี้
“ได้ งั้นผมไปก่อนนะ” ก่อนไปซ่งหานเจียงยังไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “วันนี้อย่าลืมทบทวนพินอินที่ผมสอนไปเมื่อวานด้วยล่ะ”
ซย่านีพูดไม่ออกเลยทีเดียว “…” เธอควรทำอย่างดี ตอนนี้เธอนึกเสียใจที่ให้เงินสองหยวนนั่นกับเขาแล้วสิ
หลังจากที่ซ่งหานเจียงพูดจบก็ขึ้นรถจักรยานแล้วขี่มันจากไป แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อคลุมทหารแต่รูปร่างของเขาก็ยังดูสูงโปร่งอยู่ดี ไม่นานนักแผ่นหลังของเขาก็หายลับไปจากสายตาของซย่านีและเด็กๆ ทั้งสองคนแล้ว
ซย่านีลูบหัวซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ “ไปกันเถอะ พวกเราก็กลับกันได้แล้ว”
[1] พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา 说曹操曹操到 เป็สำนวนที่มีความหมายว่า เมื่อเราพูดถึงใครอยู่และคน ๆ นั้นก็บังเอิญปรากฏตัวหรือเดินมาพอดี
[2] ร่างกายที่ดีก็เป็ต้นทุนแห่งการปฏิวัติ 身体是革命的本钱 คือคำกล่าวอันโด่งดังของเหมาเจ๋อตุงหมายความว่า เงื่อนไขพื้นฐานในการทำสิ่งใดคือการมีร่างกายที่ดี หากบุคคล้าบรรลุผลสำเร็จเขาจะต้องมีคุณสมบัติมากมายแต่คุณสมบัติทั้งหมดนั้นต้องอาศัยคุณสมบัติเบื้องต้นประการเดียว นั่นก็คือร่างกายที่แข็งแรง
