ฉู่เฟิงใจเต้นระทึก ตอนแรกก็ไม่คิดว่าภายในเวลาอันสั้นเมล็ดพันธุ์ทั้งสามจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่คาดคิดว่าก่อนที่จะออกเดินทางกลับเกิดเื่น่าประหลาดใจเช่นนี้
ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เขาวางกล่องหินลงบนโต๊ะหนังสือสำรวจตรวจตราอย่างละเอียด
ภายใน เมล็ดพันธุ์ทั้งสามที่อยู่ตรงกลางก้อนดินพิเศษเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะก้อนดินพิเศษนั้นเหมือนกับหินหยกก้อนเล็กๆ ที่โปร่งใสอย่างยิ่งเกาะรวมกัน
ฉู่เฟิงเห็นทุกสิ่งอย่าง ความผิดปรกติเกิดจากเมล็ดที่กลมอิ่มที่สุดแสงสีเขียวขจีสาดส่อง อย่างกับว่าแสงสีเขียวเป็สายน้ำที่ไหลล้นออกมาจากขอบของกล่องหิน
ความผิดปรกติทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากมัน!
“งอกต้นอ่อนแล้วเหรอ?” ฉู่เฟิงคาดหวังในที่สุดก็ถึงวันที่รอคอย นับว่าไม่เสียงแรงเปล่าที่เฝ้ารอ
เพียงแต่เขาไม่นึกฝันว่า จุดพลิกผันจะอยู่ที่กล่องหิน
กล่องหิน สูงสามนิ้ว สัณฐานสี่เหลี่ยมลูกบาศก์แต่ว่าตรงขอบมุมเหมือนกับถูกขัดฝนมาก่อน จึงค่อนข้างมน
มันดูเก่าคร่ำครึอย่างมาก ลวดลายด้านนอกเลือนรางหากไม่สังเกตดูให้ดีย่อมยากจะมองเห็น
“หรือว่าในกล่องหินจะมีกลไกอะไรที่ทำให้เมล็ดพันธุ์งอกได้?”
เขาไม่กล้าเอาเมล็ดพันธุ์ออกมาตรวจสอบ กว่าจะถึงวันนี้นี่ไม่ง่ายเลยถ้าเอาเมล็ดพันธุ์ออกมาไปฝังดินใหม่อีกรอบ นั่นมันก็บ้าเกินไปแล้ว
ฉู่เฟิงมีความสุขอย่างยิ่ง รู้สึกเหมือนรอคอยความสำเร็จที่อยู่เบื้องหน้า
แสงสีเขียวในกล่องหินไหวระริกอยู่ชั่วครู่ก็ดับลงกลายเป็ว่าเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ใจกลางก้อนดินพิเศษเปล่งแสงระยิบระยับเรืองรอง
พลังชีวิตของมันช่างเข้มแข็ง ทว่าถูกเก็บกักโดยกล่องหินไม่ให้พลังแห่งชีวิตอันร้อนแรงหลุดรอดออกไปได้
“พิสดารจริงๆ กล่องหินนี่ไม่ธรรมดาเลย!”
ฉู่เฟิงมั่นใจ กล่องหินนี่ต้องมีที่มาที่ไป ก่อนหน้านี้กลับละเลยมันไปได้หากรู้ว่ามันมหัศจรรย์อย่างนี้ ได้งัดออกมาใช้นานแล้ว
แต่แล้วเขาก็คิดถึงหวงหนิว มันเพิ่งคล้อยหลังไปได้ไม่นานก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
นี่ถ้าหวงหนิวรู้เื่เข้า มีหวังโมโหจนดีดกีบใส่แน่นอน
หลังจากศึกที่เขางูขาว มันอุตส่าห์รอคอยอยู่ตั้งยี่สิบวันแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
กล่องหินนี่มันมหัศจรรย์จริงๆ
“แต่ว่า เราเองก็ต้องเผ่นเหมือนกัน!”
ฉู่เฟิงขมวดคิ้ว ทั้งบิดามารดาเร่งเขาหลายครั้งหลายคราแล้ว โทรมาเช็กเขาทุกวันด้วยเป็ห่วงความปลอดภัยของเขา
นอกจากนี้ เมื่อตอนที่วัวั์สีดำจะจากไปก็เคยเอ่ยเตือนฟ้าดินจะเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ให้เตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆขนาดมันเองยังต้องกลับไปยังเขาหั่วเยี่ยนซานเลย
“ยังไงก็มีกล่องหินอยู่ในมือ เอามันไปทั้งอย่างนี้แหละ!” ฉู่เฟิงตัดสินใจเดินทาง
ก่อนออกเดินทาง ฉู่เฟิงไปร่ำลาจ้าวซานเหยียที่ร้านทำอาวุธ
“ซานเหยียฮะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ บางทีอาจจะเกิดเื่ขึ้นได้ปู่ไปกับผมเถอะ” เขาออกความเห็น
ผู้สูงวัยส่ายศีรษะ ไม่้าที่จะจากถิ่นที่อยู่อีกทั้งตอนนี้สภาพร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งอย่างมาก พละกำลังมหาศาลต่างจากคนธรรมดาเป็อย่างยิ่ง
ฉู่เฟิงคิดจะทิ้งคันศรฟ้าคำรามไว้ให้เขาป้องกันตัวด้วยเกรงว่าจะเกิดเื่ที่เมืองชิงหยาง
“เสียวฉู่ เธอพกมันไปด้วยเถอะ เธอจะไปที่เมืองซุ่นเทียนหนทางยาวไกลเป็พันกว่ากิโลเมตรเชียวนะ ตอนนี้โลกก็ไม่สงบยากจะบอกได้ว่ากลางทางจะเกิดอะไรขึ้น”
ที่จริง จ้าวซานเหยียก็ไม่อยากให้เขาจากไป หนทางไกลอย่างยิ่งเป็พันกิโลเมตร ตอนนี้แต่ละที่ล้วนเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายกลายพันธุ์การเดินทางตัวคนเดียวนั้นอันตรายอย่างยิ่ง
ทว่าฉู่เฟิงตัดสินใจแล้ว เขาต้องเดินทางไปเมืองซุ่นเทียนทันที
เป็เพราะฉู่เฟิงเคยบอกบิดามารดาว่าตอนนี้เขาอยู่ห่างจากเมืองซุ่นเทียนไม่ไกลเท่าไร หากยังไปไม่ถึงละก็ ที่โกหกเขาไว้ก่อนหน้านี้อาจจะความแตกได้
“เสียวฉู่ ระวังตัวด้วย!”จ้าวซานเหยียส่งเขาออกเดินทาง
จากนั้นฉู่เฟิงแวะไปที่ร้านขายของเก่า มอบกุญแจบ้านของตัวเองให้กับลุงหลิวบอกเขาว่า ช่องแช่แข็งของตู้เย็นที่บ้านเขามีเนื้อสัตว์อยู่ อย่าได้ทิ้งไว้ให้เสียเปล่า
ถึงหลายวันนี้ เขาส่งเนื้อสัตว์ให้กับจ้าวซานเหยียและลุงหลิวไม่ขาดแต่ตอนนี้ถึงเวลาเดินทางแล้ว
“เสียวฉู่ เธอเดินทางคนเดียวไม่ได้นะ มันอันตรายเกินไป!” ลุงหลิวเอ่ยอย่างเป็กังวล
“มีมนุษย์พิเศษเดินทางไปด้วยคนหนึ่งฮะ!”แล้วฉู่เฟิงก็เอ่ยลา
เขาเดินทางออกจากเมืองชิงหยาง มุ่งหน้าขึ้นเหนือ
ตอนนี้ สำหรับระยะหนึ่งร้อยเมตรเขาใช้เวลาเพียงหนึ่งจุดหนึ่งวินาทีเรียกได้ว่ารวดเร็วปานสายฟ้า สองเท้าทะยานไป ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางไปไกลกว่าห้ากิโลเมตรแล้ว
ทว่าความเร็วเช่นนี้ไม่อาจเดินทางได้นาน ด้วยความเร็วอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวที่รุนแรง ทำให้ทั่วร่างเขาเกิดความร้อนหากเป็เช่นนี้นานเกินไปย่อมเกิดปัญหาได้
แต่ว่า ฉู่เฟิงก็ไม่ได้หยุดทันที เขายังคงวิ่งตะบึง คิดจะทดสอบดูว่าขีดจำกัดอยู่ที่ตรงไหนตลอดทางเขาไม่ต่างกับสายลมบ้าคลั่ง พัดพาจนฝุ่นทรายกระจัดกระจาย
จนเวลาผ่านพ้นไป เขาเริ่มลดความเร็วลงเหนือศีรษะของเขาเริ่มเกิดควันสีขาวระเหย ร้อนจนเดือดพล่านไปทั้งตัว
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง ฉู่เฟิงจึงหยุด
“วิ่งได้ร้อยกิโลโดยประมาณ”
เป็ความเร็วที่น่าใอย่างยิ่ง หากมีคนรู้เข้า ย่อมแตกตื่นกันใหญ่โตด้วยเป็ความเร็วที่ไม่ได้ช้าไปกว่ารถสักเท่าไรบ่งบอกถึงร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“วิ่งร้อยเมตรในเวลาหนึ่งจุดหนึ่งวินาที แต่วิ่งได้แป๊บเดียวเท่านั้นนานกว่านี้ไม่ไหว” ฉู่เฟิงส่ายศีรษะ
ถ้าวิ่งด้วยความเร็วระดับนี้ตลอดเวลา เกิดมีคนรู้เข้ามีหวังได้ใตายกันหมด
ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ การเคลื่อนไหวระดับนี้ใช้พลังงานไปเยอะมาก
พอเปลี่ยนมาเป็ก้าวเดินช้าๆ เดินไปราวชั่วโมงกว่าเขาก็รู้สึกว่ากำลังวังชาฟื้นคืนมาไม่น้อยจึงเริ่มวิ่งสุดฝีเท้าอีกครั้งด้วยความเร็วเช่นเดิม เสียงลมหวิวหวีดอยู่ข้างหู
ภาพวิวทิวทัศน์สองข้างทางถูกทิ้งไว้เื้ั!
ด้วยความเร็วเช่นนี้ หากเป็ร่างกายคนเราล่ะจะทนทานได้สักกี่น้ำ?
ถนนหนทางยังพอมี ถึงแม้ว่าบางส่วนจะไม่ใช่ถนนอย่างดีหากก็ยังเป็ถนนดินลูกรังไม่เช่นนั้นการเร่งเดินทางกลางป่าเขาย่อมเป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ด้วยความเร็วสูง ย่อมมีการปะทะกับก้อนหินหรือต้นไม้อยู่บ้าง
ครั้งนี้ฉู่เฟิงวิ่งต่อเนื่องเพียงสี่สิบนาทีก็หยุดพัก ิัร้อนผ่าวร่างทั้งร่างกลายเป็สีแดงก่ำ อีกทั้งมีควันขาวพวยพุ่งร่างกายถูกใช้อย่างหนักหน่วง
“เร่งเดินทางอย่างนี้ต่อไม่ได้แฮะ!”ฉู่เฟิงรู้สึกว่า อย่างนี้ร่างกายรับภาระหนักเกินไปถ้าเกิดวิ่งเข้าไปเจอกับพวกสัตว์ร้ายทั้งที่ร่างกายไม่พร้อมย่อมเกิดปัญหาอย่างแน่นอน
ว่าตามสภาพร่างกายของเขาแล้วเดินทางต่อวันด้วยระยะทางห้าสิบกิโลเมตรนั้นสบายมาก ไม่ถึงกับเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
แต่ถ้าทุ่มใช้พลังวิ่งตะบึงเต็มที่ ย่อมได้ระยะทางที่น่าใอย่างแน่นอนแต่ก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้
ระหว่างทางรกร้างว่างเปล่า ในระยะห้ากิโลเมตรไร้ซึ่งบ้านเรือนผู้คน
จะว่าไปแล้ว มันเป็เื่ที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นมีพื้นที่รกร้างอย่างนี้เสียที่ไหน
บางพื้นที่เป็ป่ารกชัฏ กลางป่าเขาบางครั้งก็มีเสียงร้องของสัตว์ป่าลอยมาตามลม
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง ขณะที่ฉู่เฟิงลดความเร็วลงทันใดนั้นก็รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่พุ่งเข้ามา เงาดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้า
เสียงฟึ่บดังขึ้น เขาไหวตัววูบพุ่งห่างออกไปสิบกว่าเมตรใช้เพียงแค่พลังระดับคนทั่วไปก็ถอยห่างออกมาจากที่ตรงนั้น
ตึง!
นกั์สีดำขาวตัวหนึ่งพุ่งลงมา กรงเล็บของมันตะกุยเข้ากับพื้นดินหินกระจาย ลมจากปีกโหมรุนแรง
“นกสาลิกาปากดำ?!”
ฉู่เฟิงนิ่งอึ้ง นกั์ตัวนี้ยาวห้าเมตรกว่า หากไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายละก็มันก็ไม่ต่างกับนกสาลิกาที่เห็นทั่วไปสักเท่าไร
แต่เห็นได้ชัดเจนว่า มันคือนกสาลิกาปากดำกลายพันธุ์ที่มีพลังไม่ธรรมดา
ที่จ้าวซานเหยียกับลุงหลิวเป็กังวลนั้นก็มีเหตุผลกลางทางนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ทั้งสัตว์ป่าและนกล่าเหยื่อสารพัดชนิดถ้าเป็คนธรรมดาเดินทางคนเดียว คงไม่รอดอย่างไม่ต้องสงสัย
นกสาลิกาปากดำตัวนี้ดุร้ายอย่างยิ่งเมื่อทะยานขึ้นฟ้าก็ทิ้งตัวพุ่งลงมาอีกรอบ ดุร้ายเสียยิ่งกว่าพวกเหยี่ยวเสียอีกมันกางกรงเล็บอันใหญ่โตของมันคว้าเข้าที่ศีรษะของฉู่เฟิง
ถ้าโดนมันคว้าเข้าจริงๆ ละก็ กะโหลกคงไม่แคล้วเป็รู กรงเล็บส่งประกายเย็นเยียบแหลมคมอย่างยิ่งทั้งยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล
ฟึ่บ!
ฉู่เฟิงพุ่งหลบ เพียงไหวตัวเงาร่างก็พุ่งห่างออกไปสิบกว่าเมตร
กร๊อบ!
ต้นไม้ลำต้นหนาเท่าถังไม้ถูกนกสาลิกาปากดำชนหักตัวมันตอนนี้แข็งแกร่งอย่างกับเหล็ก เรี่ยวแรงมหาศาลจนน่าใ
“พวกสัตว์ร้ายกับนกล่าเหยื่อนี่ดุร้ายกันอย่างนี้ทั้งหมดเลยหรือไงนะ?” ฉู่เฟิงขมวดคิ้ว คอยจับตาดูลูกไม้ของเ้าสาลิกาปากดำว่าจะร้ายกาจขนาดไหน
ในที่สุดเขาก็พบว่ารับมือกับมันนั้นยากเย็นยิ่งกว่าต่อสู้กับมนุษย์พิเศษทั่วๆ ไป หากชนกันซึ่งๆ หน้านกสาลิกาปากดำตัวนี้สามารถสังหารมนุษย์พิเศษได้หลายคนเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่า นกสาลิกาปากดำตัวนี้มีสติปัญญาไม่เป็รองมนุษย์พอโจมตีหลายครั้งแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ มันล้มเลิกความตั้งใจในทันทีคิดจะทะยานหนีด้วยเกรงว่าจะเกิดอันตราย
“ฉันหิวแล้วนะ ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย แกอย่าหนีไปไหนเซ่”ฉู่เฟิงสะบัดมือ กระบี่สั้นสีดำพลันพุ่งออกไป เสียงปุดังขึ้นตัวนกสาลิกาปากดำถูกทะลวงเป็โพรง ร่วงตุบลงกับพื้น
จากนั้นไม่นาน ที่ตรงนั้นก็เต็มไปด้วยควันไฟฉู่เฟิงจับนกสาลิกากลายพันธุ์ย่างเสีย แต่ก็กินได้แค่เพียงส่วนปีกเท่านั้นนกตัวนี้ใหญ่ั์เกินไป กินไม่หมด
กลิ่นเนื้อย่างหอมอบอวล เพิ่งจะสุกได้ที่แต่ฉู่เฟิงยังไม่ทันได้ลงมือลิ้มรส กลิ่นสาบสางก็ลอยตลบสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งพุ่งทะยานออกมา
ตัวมันใหญ่ขนาดรถบรรทุก สีดำสนิท ทั่วร่างเต็มไปด้วยหนามแหลมท่าทางดุร้ายอย่างยิ่ง ทั้งยังตัวมหึมา
“เม่นเหรอ?!”
ฉู่เฟิงตะลึง การกลายพันธุ์ครั้งนี้ประหลาดเกินไปไหมเม่นั์ตัวใหญ่เบ้อเริ่มขนาดนี้ มันแยกเขี้ยวขาวราวกับหิมะแล้วพุ่งเข้าหาอย่างดุร้าย
ระยะทางยังห่างร่วมสิบกว่าเมตร จู่ๆ เม่นั์นี่ก็หยุดจากนั้นแหกปากร้องคำรามสนั่น
จี๊ดจี๊ดจี๊ด...
บนร่างของมัน ขนแหลมเล่มแล้วเล่มเล่า พุ่งออกมาอย่างกับลูกศรไม่ก็หอกเหล็ก เข้าใส่ฉู่เฟิงแน่นขนัดถี่ยิบ
ตึงตึงตึง...
จังหวะที่ฉู่เฟิงยกเนื้อนกย่างเผ่นหนี พื้นหินตรงนั้นก็ถูกปักจนพรุนต้นไม้ใหญ่ถูกแทงทะลวง พลังอันรุนแรงของขนเม่นสีดำสนิทนั้นน่าใอย่างยิ่ง
“ขนาดเม่นยังร้ายขนาดนี้เลยเหรอ?”
ฉู่เฟิงตกตะลึง ไอ้ตัวนี้ถึงกับสามารถสลัดขนแข็งทั่วตัวออกมาได้อย่างนี้ฆ่าคนได้ชัดๆ
มนุษย์พิเศษทั่วๆ ไปย่อมไม่อาจต้านทานได้!
เขาไม่คิดต่อสู้กับมัน แต่ก็ไม่อยากเปลืองพลังงานเขาหยิบคันศรฟ้าคำรามออกมา ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งทะลวงหัวกะโหลกเม่นั์จนร่างมหึมาของมันล้มคว่ำดังสนั่นลงกับพื้น เืสดๆ ไหลนอง
สีหน้าฉู่เฟิงเคร่งเครียด เขานึกรู้ได้ทันทีว่า โลกใบนี้การเปลี่ยนแปลงยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวันคนธรรมดาแม้แต่จะออกมาเดินข้างนอกก็ยากเย็นเสียแล้ว
เมื่ออิ่มแล้ว เขาเตรียมผละจากที่ตรงนี้ทันที แต่พอคล้อยหลังไปได้ไม่เท่าไรก็ได้ยินเสียงคำรามของส่ำสัตว์จากทางเื้ั
สัตว์ประหลาดหลายตัวปรากฏตัวขึ้นพากันพุ่งเข้าไปกัดกินซากนกสาลิกาปากดำและเม่นั์ กลิ่นคาวเืคละคลุ้ง
“สัตว์กลายพันธุ์เยอะขึ้นทุกที!” ฉู่เฟิงขมวดคิ้วในใจรู้สึกหนักหน่วง โลกนี้ไม่ใช่โลกใบเก่าที่เขาคุ้นเคยอีกต่อไปภายนอกยิ่งอันตรายขึ้นทุกที มีทั้งสัตว์ร้ายและนกล่าเหยื่อสารพัดชนิดโผล่ออกมา
...
เขตเจียงหนิง อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าเจียงหนาน เป็เมืองที่หรูหราใหญ่โตเป็หนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสำนักงานใหญ่ของเทียนเสินเซิงอู้ก็อยู่ที่นี่
เขตวิลล่ารอบทะเลสาบสีหยก สภาพแวดล้อมงดงาม เต็มไปด้วยต้นไม้ั์ขนาดหลายคนโอบทะเลสาบพร่างพรายระยิบระยับ ก้อนหินทรงแปลกตาวางประดับกระจัดกระจายทัศนียภาพงดงามไม่ด้อยไปกว่าแหล่งท่องเที่ยวแม้แต่น้อย
วิลล่าหลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยว ภายในตกแต่งอย่างหรูหรางดงามละเมียดละไม ไม่ต่างกับพระราชวัง
สวีหวั่นอี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว อารมณ์ไม่สู้ดีจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงปึงปัง หมอนอิงถูกเหวี่ยงฟาดลงกับพื้นหนักหน่วงใบหน้าเย้ายวนบัดนี้ฉายแววเ็า
หลินเยี่ยอวี่เดินเข้ามา เอ่ยถาม “ทำไมหรือ?”
สวีหวั่นอี๋ระงับอารมณ์เล็กน้อย กัดริมฝีปาก หากสีหน้าไม่สบอารมณ์ เอ่ยว่า“ยังจะถามอีก ฉันเป็อาสะใภ้เล็กของนั่วอีนะ แต่เขากลับพูดจากับฉันอย่างเ็าไม่เกรงใจกันบ้างเลย”
“นั่วอีเขาเป็คนละเอียดน่ะ ทุกทีไม่เสียมารยาทอย่างนี้นี่”หลินเยี่ยอวี่แปลกใจ
ด้วยั์ตาหงส์ และริมฝีปากเย้ายวนของสวีหวั่นอี๋ยามปรกตินั้นแลดูมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้กลับไร้ซึ่งรอยแย้มยิ้ม เธอเอ่ยว่า“เื่การตายของหวั่นชิง ฉันเสียใจมากนะ คิดจะตรวจสอบว่าใครฆ่าน้องกันแน่พอจะเคลื่อนไหว นั่วอีก็มากล่าวหาฉัน นี่ฉันเป็อาสะใภ้ของเขานะเขากลับไม่ไว้หน้าฉันอย่างนี้น่ะเหรอ”
“แล้วคุณไปทำอะไรเข้าล่ะ?” หลินเยี่ยอวี่ขมวดคิ้วตามความเข้าใจของเขา หลินนั่วอีไม่ใช่คนทำอะไรอย่างนั้น
“ครั้งก่อน ที่คุณกับฉันไปหาฉู่เฟิงนั่นด้วยกันน่ะ ตอนนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรแต่พอกลับมาฉันว่ามีบางอย่างแปลกๆเลยส่งคนไปจับตาดูพ่อกับแม่ของเขาที่เมืองซุ่นเทียน มหานครทางตอนเหนือ...”
เธอเหลือบแลดูหลินเยี่ยอวี่แวบหนึ่ง ก็พบว่าสีหน้าของเขาค่อนข้างเครียดจึงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็เรียบเรื่อยทันที “ฉันรู้ค่ะฉู่เฟิงนั่นกับนั่วอีเคยคบกันมาก่อน แต่เขาจะมากล่าวหาฉันอย่างนั้นไม่ได้นะคะ”
“แล้วคนที่คุณส่งไปล่ะ ทำอะไรพ่อแม่ฉู่เฟิงหรือเปล่า?” หลินเยี่ยอวี่ถาม
“มีที่ไหนล่ะ! ก็แค่ทักทายเท่านั้นแล้วไม่รู้ว่านั่วอีไปรู้ได้ยังไง ถึงแล่นมาต่อว่าฉันแถมยังติดต่อคนที่ซุ่นเทียนให้ไล่คนของฉันออกมาอีก” สวีหวั่นอี๋หัวฟัดหัวเหวี่ยง
“คุณไม่ควรไปแตะต้องพ่อกับแม่ของเขา ถ้าฉู่เฟิงนั่นมีปัญหาคุณจัดการกับเขาตรงๆ ก็พอ” หลินเยี่ยอวี่เอ่ย
“คุณเข้าข้างนั่วอีได้ยังไงกัน ฉันโดนเขาด่ามานะ แล้วคุณยังจะมาว่าฉันอีก”สวีหวั่นอี๋ไม่สบอารมณ์ แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนท่าทีทันควันเดินไปกอดแขนหลินเยี่ยอวี่ เอ่ยว่า “ก็ได้ค่ะ เอาเป็ว่าฉันผิดเองคราวนี้วู่วามไปหน่อย”
...
ระหว่างทาง ฉู่เฟิงติดต่อกับบิดามารดาบอกพวกเขาว่าอีกสามสี่วันก็จะได้พบกันแล้ว
ระหว่างที่คุย เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแม่ท่าทางแปลกๆใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“แม่ฮะ เป็อะไรหรือเปล่า เกิดเื่อะไรหรือ?” เขาซักไซ้
“ไม่มีอะไร ลูกรีบกลับมาก็พอแล้ว ตอนนี้ไม่ค่อยสงบแม่กับพ่อเป็ห่วงลูกมากนะ ลูกไม่ได้หลอกพวกเรานะห่างจากซุ่นเทียนอีกไม่มากแล้วจริงๆ นะ?”
“ผมใกล้ถึงแล้วฮะ แม่กับพ่อสบายใจได้”ฉู่เฟิงรู้สึกว่าทางบ้านน่าจะมีปัญหา
“พ่อฮะ บอกได้ไหมฮะ ว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” จากนั้น ฉู่เฟิงก็โทรหาผู้เป็พ่อทันที ซักถามจริงจัง
สุดท้าย บิดาเขาก็เล่าเื่ให้ฟัง ไม่ปิดบังอะไรอีก
วันนี้ พวกเขาสองสามีภรรยาถูกข่มขู่ คนพวกนั้นถึงกับลงไม้ลงมือจะพาตัวพวกเขาไปให้ได้
“ใครกัน?!” ฉู่เฟิงถาม
“น่าจะเป็พวกมนุษย์พิเศษ มีลักษณะเฉพาะตัวมาก” บิดาของเขาบอก
ฉู่เฟิงบีบเครื่องมือสื่อสารแน่น แววตาเย็นเยียบเื่ที่เขากลัวที่สุดเกิดขึ้นแล้ว อยากจะรีบไปให้ถึงบ้านใจแทบขาด
เป็เพราะััอันเฉียบคมของเขาบอกว่า คนพวกนั้นพุ่งมาที่เขาอย่างแน่นอน
มนุษย์พิเศษพวกนั้นถึงกับจะลงมือกับพ่อแม่ของเขานั่นทำให้เขาโกรธอย่างถึงที่สุด อย่างนี้มันหาเื่เขาชัดๆ
“แต่ต่อมาก็มีอีกหลายคนโผล่ออกมานะ แล้วลากตัวพวกมนุษย์พิเศษพวกนั้นไปนี่พ่อยังนึกขอบคุณพวกเขาอยู่เลย” บิดาของฉู่เฟิงเล่าเื่ทั้งหมดให้เขาฟัง
“พ่อฮะ แม่ฮะ ไม่ต้องกลัวนะ คนพวกนั้นคงออกมาไม่ได้เป็การชั่วคราวแล้วล่ะรอผมกลับไปนะ!” ฉู่เฟิงวางสาย
เขาเก็บเครื่องมือสื่อสาร ดวงตาฉายแสงน่ากลัว เพลิงโทสะของเขายากจะดับลงไอสังหารอันน่าหวาดกลัวแผ่กระจายทั่วร่าง
ฉู่เฟิงเร่งเดินทางต่อ พลางสงบสติอารมณ์ เขารู้ดี เื่นี้ไม่จบลงง่ายๆแน่!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้