ดวงตาทั้งคู่ของอาหนูมีน้ำตารื้นขึ้นมาขณะมองไปยังหัวอี้ นางเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้เข้าไปหาเขาเมื่อถึงตรงหน้าหั่วอี้ก็จับจ้องเขาด้วยใบหน้าดอกหลีต้องน้ำตาย่อตัวและคุกเข่าให้เขา เอ่ยทั้งน้ำเสียงสะอื้นว่า “ท่านแม่ทัพ”
ก่อนหลิ่วจิ้งจะเข้าจวนมา หั่วอี้รักใคร่อาหนูมากล้นซึ่งแน่นอนว่าเป็เพราะอาหนูมีความสามารถดึงดูดหั่วอี้ได้ หาไม่แล้วนางก็คงไม่ได้เป็ที่รักอยู่เพียงผู้เดียวมาหกเจ็ดปี
ยามอาหนูอิ่มอาบอยู่ในความรักของหั่วอี้ ทุกๆ วันนางล้วนมีสีหน้าผ่องใสอารมณ์ดีหนักหนา อย่างมากก็เพียงแอบแง่งอนหั่วอี้บ้างเล็กน้อยเท่านั้นหั่วอี้จึงเคยเห็นอาหนูร้องไห้น้อยครั้งนักและเขาก็แทบไม่เคยเห็นท่าทางอ่อนแอน่าสงสารเช่นนี้ของอาหนู
หั่วอี้หรี่ตาลงจับจ้องอาหนู นางยังคงงดงามเพลินตาเช่นก่อนมา ไม่ว่าอย่างไรก็เป็สตรีที่เคียงข้างเขามาหลายปี
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หั่วอี้จึงก้มตัวลงมาประคองอาหนูให้ลุกขึ้นพลางเอ่ยช้าๆว่า “เหตุใดเ้าจึงร้องไห้อีกแล้ว ใครไม่รู้จะนึกว่าข้ารังแกเ้าเอาได้”
“อาหนูชอบให้ท่านแม่ทัพรังแกเป็ที่สุดเ้าค่ะ” อาหนูเอ่ย
คำคำเดียวกัน บอกว่ารังแกเหมือนกันแต่ความหมายที่แท้จริงกลับมีแค่หั่วอี้และอาหนูสองคนที่เข้าใจ คำพูดว่า ‘อาหนูชอบให้ท่านแม่ทัพรังแกเป็ที่สุด’ กลับคือรสพิศวาสของหั่วอี้กับอาหนูภายในหอห้องทุกครั้งก่อนที่พวกเขาจะรุกเร้ากัน อาหนูชอบพูดประโยคนี้กับหั่วอี้ทำให้หั่วอี้ยิ่งคึกคักเร่าร้อนและภาคภูมิใจทุกครั้งไป
อาหนูสะกิดความทรงจำของหั่วอี้ได้สำเร็จนางมองความอ่อนโยนในสายตาของหั่วอี้ออก จึงแอบได้ใจอยู่ในใจ
หั่วอี้ประคองอาหนูขึ้น ให้นางมายืนอยู่ทางด้านซ้ายของเขาแล้วเดินไปยังลานบ้านที่มีบ่าวไพร่ยืนกันเต็มไปหมด
ด้วยเหตุนี้ ข้างกายของหั่วอี้จึงมีหลิ่วจิ้งและอาหนูสองคนยืนขนาบอยู่ทั้งซ้ายขวา
อาหนูมองตอบสายตาที่หลิ่วจิ้งมองมาอย่างท้าทายและยิ้มเย็นให้หลิ่วจิ้งในตอนที่หั่วอี้ไม่เห็น
นางไม่กลัวว่าต้องต่อสู้กับผู้ใดต่อให้ไม่เป็ที่รักไปชั่วขณะก็ไม่เป็ไรขอเพียงที่สุดแล้วหัวใจของหั่วอี้กลับมาหานางอีกครั้งเป็พอแล้ว
หลิ่วจิ้งเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่หั่วอี้และอาหนูปฏิบัติต่อกันเป็อีกคราหนึ่งที่นางได้เข้าใจถึงวิธีที่สตรีใช้จัดการกับบุรุษบุรุษชอบท่าทีอ่อนแอของสตรีเป็ที่สุด เพราะนั่นทำให้เขารู้สึกทรงเกียรติราวกับเป็วีรบุรุษ
นางจ้าวเห็นรอยยิ้มและความได้ใจบนใบหน้าของอาหนูแววตาร้ายกาจฉายวาบขึ้นทันใด รวดเร็วจนมีเพียงตัวนางเองที่รู้ว่านางอยากสังหารคนแต่หลังจากนั้นนางจ้าวก็พลันมีรอยยิ้มที่สมควรแก่กาลเทศะขึ้นมาแสดงออกให้เห็นชัดเจนว่าตนเองไม่เกี่ยงว่าต้องทนยืนอยู่อย่างลำบากแม้จะกำลังตั้งท้องก็ตามที
หลิ่วจิ้งรีบเดินแซงหน้าหั่วอี้กับอาหนูไปสองสามก้าวเพื่อมาอยู่ข้างๆนางจ้าว นางประคองอีกฝ่ายแล้วพูดเสียงสูงกับพ่อบ้านหวังว่า “พ่อบ้านหวังไปเอาเก้าอี้เบาะมาให้ฮูหยินใหญ่นั่งเร็ววันหน้าอย่าให้ข้าเห็นเื่เช่นนี้อีกเป็หนที่สองยามนี้ฮูหยินใหญ่กำลังตั้งครรภ์บุตรชายคนโตของจวนสกุลหั่วจะปล่อยปละละเลยได้อย่างไร”
“ขอรับๆๆ ฮูหยิน ข้าน้อยรู้ผิดแล้ว จะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”ปกติแล้วพ่อบ้านหวังเคยพบเห็นแต่ยามหลิ่วจิ้งอ่อนหวานนุ่มนวล จะเคยเห็นหลิ่วจิ้งชักสีหน้าพูดจากับเขาแรงๆมาก่อนที่ใดกัน พอถูกหลิ่วจิ้งตำหนิเอาเช่นนี้เขาจึงตื่นตระหนกขึ้นมารีบเรียกเด็กรับใช้สองคนให้เข้าไปข้างในกับเขาเพื่อยกเก้าอี้ออกมา
หลิ่วจิ้งกำลังจะประคองนางจ้าวไปนั่งแต่นางจ้าวกลับอยากเลียนแบบอาหนูด้วยการแสดงออกว่านางเป็สตรีอ่อนแอนางกลับไม่นั่งลงตามที่หลิ่วจิ้งจัดหาเก้าอี้มาให้ แต่ยังคงยืนรอให้หั่วอี้เดินมาหา
“ไฉ่เอ๋อร์คารวะท่านแม่ทัพ” นางจ้าวท้องโตแล้ว ค้อมตัวไม่สะดวกจึงทำได้เพียงย่อตัวลงน้อยๆ เท่านั้น
นางจ้าววางแผนให้ตนเองสมปรารถนาด้วยการเอามือลูบท้องหวังจะทำให้หั่วอี้สนใจนาง นางคิดว่าหั่วอี้จะต้องสงสารที่ร่างกายนางไม่เอื้ออำนวยแต่ยังฝืนยืนอยู่จากนั้นค่อยเอาลูกในท้องไปเรียกร้องความสนใจจากหั่วอี้เมื่อเป็ดังนี้ต่อให้หั่วอี้ไม่อยากสนใจนางก็คงยาก
“ไฉ่เอ๋อร์ ฮูหยินให้เ้านั่งลง เหตุใดเ้าจึงไม่นั่งเ้าคิดว่ายืนนานแล้วจะไม่กระทบต่อลูกหรือ นึกไม่ถึงว่าเ้าจะไม่รู้จักดูแลตนเองถึงเพียงนี้นี่คงเป็เพราะเ้าไม่ได้ไยดีต่อลูกของข้าหั่วอี้ใช่หรือไม่”
หั่วอี้มองนางจ้าวด้วยใบหน้าถมึงทึงและเอ่ยต่ออีกว่า“ตอนแรกยังนึกว่าเ้าไม่ได้คิดให้รอบคอบ เช่นนั้นก็แล้วไป แต่ฮูหยินก็ทำเพื่อเ้าจนขั้นนี้แล้วอุตส่าห์สั่งให้ไปเตรียมเก้าอี้เบาะมาให้เ้าด้วยตนเอง ตอนนี้เก้าอี้ก็มาแล้วแต่เหตุใดเ้ายังไม่นั่งอีก?”
หั่วอี้พูดจบก็มองนางจ้าวด้วยสายตาเ็าอีกหลายครั้งก่อนจะเดินผ่านตัวนางไป ไม่พูดกับนางอีก
“ไม่ๆๆ ไม่ใช่เ้าค่ะท่านแม่ทัพ ไม่ได้เป็เช่นนั้นไฉ่เอ๋อร์ไม่ได้ไม่ทะนุถนอมร่างกายตนเองไฉ่เอ๋อร์คอยบำรุงดูแลอย่างพิถีพิถันเรื่อยมาเ้าค่ะ เพียงแต่ เพียงแต่…”
นางจ้าวพูดไปไม่กี่คำ ก็ต้องอ้าปากค้างมองหั่วอี้ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาก้าวเท้ายาวๆไปข้างหน้า ไม่มีท่าทางจะฟังคำอธิบายของนางเลย นางจึงได้แต่พึมพำและไม่อาจพูดอะไรต่อไปได้อีก
ยามนี้หลิ่วจิ้งเองก็ปล่อยมือนางจ้าวแล้วเช่นกัน นางเดินตามหั่วอี้ไปโดยไม่ได้สนใจนางจ้าวอีกเพราะสิ่งที่ควรทำนางก็ทำไปแล้ว นั่นคือการแสดงความห่วงใยคนในครอบครัวเขาทำตัวเป็สตรีใจกว้างต่อหน้าเขา ส่วนเื่ที่นางจ้าวเล่นแง่แต่ไม่เป็ผลนางก็ไม่จำเป็ต้องไปรับผิดชอบกับนางจ้าวด้วย
ช่างเป็สตรีที่โง่ยิ่งนัก หลิ่วจิ้งไม่ได้ให้ค่าใดๆซ้ำยังดูแคลนนางจ้าวอยู่ในใจ นางจ้าวนึกว่าจะใช้ความอ่อนแอทำให้หั่วอี้สนใจได้หรือ? นางจ้าวคิดจะยื้อแย่งความรักของหั่วอี้แต่น่าเสียดายนักที่นางกลับหลงลืมไปว่าเหตุที่หั่วอี้ปฏิบัติต่อนางต่างไปจากเดิมล้วนเพราะเห็นแก่ลูกในท้องนางเท่านั้นแต่นางกลับนึกว่าตนเองฉลาดทำตัวเย่อหยิ่งเพราะนึกว่านางเป็ที่รักของหั่วอี้
ในขณะที่นางจ้าวถูกหัวอี้ตำหนิอยู่นั้นเก้าอี้เบาะที่พ่อบ้านหวังยกออกมาก็ว่างอยู่ข้างกายนางแต่เวลานี้นางจะนั่งก็ไม่ใช่ ไม่นั่งก็ไม่ควรหลังจากมองตามแผ่นหลังของหั่วอี้ไปสองสามครั้ง ที่สุดนางจ้าวก็นั่งลง
เวลานี้นางจ้าวไม่มีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามอย่างที่นางควรจะเป็ในตอนแรกทั้งไม่มีอาการกระตือรือร้นจะยกลูกในท้องมาอวดอ้างโอหังได้แต่นั่งอยู่อย่างประหม่าขัดเขิน
นางไม่ชิงชังหั่วอี้ แต่กลับเอาความเป็เดือดเป็แค้นที่หั่วอี้ตำหนินางจนทำให้นางต้องเสียหน้าต่อธารกำนัลไปลงที่ตัวหลิ่วจิ้งจนหมด
นางจ้าวถลึงตาชิงชังใส่แผ่นหลังของหลิ่วจิ้งหากมิใช่เพราะหญิงผู้นี้แส่ไม่เข้าเื่ไปเรียกให้พ่อบ้านหวังยกเก้าอี้อะไรนั่นมาให้นาง แล้วจะทำให้หั่วอี้ตำหนินางได้อย่างไร
แต่หลิ่วจิ้งกลับไม่รู้เลยว่าสิ่งที่นางทำลงไปจะทำให้นางจ้าวเคียดแค้นนาง
หั่วอี้เดินไปถึงกึ่งกลางลานบ้านกวาดตามองทุกคนที่ยืนอยู่ในลานบ้านรอบหนึ่งนอกจากป้าจ้าวที่ยังถูกหลิ่วจิ้งขังอยู่ในห้องเก็บฟืน ซึ่งเหลืออีกหนึ่งวันจึงจะครบกำหนดให้ปล่อยตัวและป้าหวังที่ต้องคอยดูแลอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่อาจมาได้แล้วทุกคนในจวนแม่ทัพล้วนมารวมกันอยู่ที่นี่
ในลานบ้านยามนี้ นอกจากบ่าวทุกคนในจวนแม่ทัพแล้วก็ยังมีทหารอีกห้านาย ซึ่งเครื่องแบบทหารบนตัวพวกเขาก็เป็สิ่งที่บ่งบอกฐานะให้ทุกคนได้เห็น
ั้แ่หั่วอี้เดินมาจากไกลๆพวกของนายกองเฉินก็มองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหมดแล้ว และพวกเขาก็ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะเข้ามาในจวนได้ไม่นานก็กลับได้ชมละครอันน่าตื่นตาของสตรีทั้งสามคนในเรือนหลังของหั่วอี้เสียแล้ว
_____________________________
