หอมเหลือเกิน! ต้าเป่าอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ มีทั้งเนื้อและโจ๊กข้าว สีขาวสีแดงแบ่งกันชัดเจน กลิ่นหอมยั่วยวน นี่มันวันดีอะไรกัน!
เขานั่งยองๆ เฝ้าอยู่ข้างหม้อ ราวกับกลัวว่าโจ๊กในหม้อจะบินหนีอย่างไรอย่างนั้น
เสิ่นม่านยิ้มขมขื่น จากนั้นลูบศีรษะของเขาเบาๆ “ยังไม่ได้ที่ ต้องเคี่ยวอย่างน้อยอีกสักยี่สิบนาทีถึงจะกินได้”
แม้จะไม่รู้ว่ายี่สิบนาทีนานแค่ไหน แต่ต้าเป่าก็เชื่อฟังคำของเสิ่นม่านอย่างแข็งขัน
หลังจากอดทนรอไปประมาณยี่สิบนาที เสิ่นม่านเอาช้อนแหว่งคนโจ๊กในหม้อจนกลิ่นหอมโชยเตะจมูก นางเหยาะเกลือที่นำออกมาจากระบบ จากนั้นใส่เครื่องปรุงสูตรลับเฉพาะ กลิ่นโจ๊กหอมฟุ้งหนักกว่าเดิม ทำให้ร่างนี้ของนางน้ำลายสอ
นางหยิบชามมาสองใบ หลังจากตักให้ต้าเป่าหนึ่งชาม ค่อยตักให้ตนเองหนึ่งชาม ทั้งสองคนไม่สนใจความร้อน ต่างก็กอดชามและเริ่มซดจนเกลี้ยงชาม
หลังจากกินหมดไปหนึ่งชาม เดิมทียังคงหิวเล็กน้อย แต่พอัั ‘ห่วงยางรอบเอว’ หนาสามชั้นของตนที่อ้วนเกินเกณฑ์ จึงตัดใจวางชามลงและตักให้ต้าเป่าอีกหนึ่งชามอย่างไม่ลังเล
เด็กน้อยสำคัญกว่า นางกินน้อยหน่อย ถือเสียว่าลดน้ำหนัก
หลังจากกินเรียบร้อย ท้องฟ้าก็มืดค่ำ ในบ้านไม่มีตะเกียงน้ำมัน เสิ่นม่านซุกตัวอยู่ในหญ้าฟางบนเตียงคั่ง สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดจากหลังคา นางหนาวจนเท้าหงิกงอ จากนั้นก็โอบกอดต้าเป่าที่หลับสนิทไว้แน่นกว่าเดิม
ความหนาวทำให้ตื่นง่าย เสิ่นม่านไม่คุ้นชินจึงยิ่งนอนไม่ค่อยหลับ หลังจากพลิกไปมาหลายครั้งก็ได้ยินเสียงไก่ขันจากด้านนอก
ดึกดื่นป่านนี้ ไก่มาจากไหน?
นางเงี่ยหูตั้งใจฟัง ขันเป็จังหวะเสียด้วย! หลังจาก ‘ไก่’ ขันสี่ครั้งก็จะหยุดแล้วขันอีกสี่ครั้ง
หืม หรือว่ามีขโมย?
บ้านเรือนมีอยู่รอบทิศ ยังอุตส่าห์มาเข้าบ้านนางอีก ตาบอดหรืออย่างไร
เสิ่นม่านเย้ยหยันในใจ แต่ก็ยังค่อยๆ ย่องลงจากเตียงคั่ง เพื่อเสริมความกล้า นางจึงหยิบมีดทำครัวหนึ่งเดียวของตนเองออกมา จากนั้นย่องออกไปทางประตู
คืนนี้ไม่มีพระจันทร์ ในลานบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวอันน้อยนิด ที่ทำให้นางพอจะสามารถแยกทิศทางในลานบ้านที่เต็มไปด้วยกอหญ้านี้ได้
ก่อนจะถึงประตูบ้าน เสิ่นม่านก็รับรู้ว่าเสียงไม่ได้มาจากบ้านตนเอง หากแต่เป็บ้านของนางโจวที่อยู่ข้างกัน
ด้านนอกกำแพงที่สูงระดับเอว มีชายหนุ่มท่าทางน่ากลัวกำลังยืนอยู่ ค่ำคืนมืดมิด นางมองออกเพียงโครงหน้าคร่าวๆ เสิ่นม่านกังวลว่าจะถูกเห็นเข้า จึงหยิบมีดและนั่งยองลงใต้รั้วบ้าน
ชายคนนั้นยังคงเลียนแบบไก่ขัน ส่งเสียงขันอยู่ราวสี่ห้าครั้ง ประตูบ้านก็เปิดออก
เสิ่นม่านหรี่ตามองผ่านรั้ว คนที่ออกมาคือนางโจวที่ถูกนางทุบตีตอนกลางวันไม่ใช่หรือ?
จากรายงานของระบบ พี่ชายของร่างเดิมไปเป็ทหารเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นมาก็หายไปโดยไม่มีข่าวคราว เช่นนั้นแล้วชายคนนี้คงไม่ใช่…
ในสมองของเสิ่นม่านปรากฏความคิดที่อุกอาจ
เห็นเพียงนางโจวเร่งเร้าชายคนนั้น “รีบไปเถิด ไม่ง่ายดายกว่าข้าจะกล่อมเ้าเด็กเวรสองตัวนั่นให้หลับได้ หากพวกเขาเห็นเ้าเข้าคงแย่”
ชายคนนั้นลดเสียงลงและแอบหัวเราะ “เห็นก็เห็นสิ สามีผีของเ้าจากบ้านไปหลายปีเช่นนี้ คิดจะให้เ้าอยู่เฝ้าตัวภาระสองตัวนี้ไปตลอดชีวิตหรือไร?”
ทั้งสองโอบกอดกัน จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทิศทางบนเขา
เสิ่นม่านนั่งยองๆ และขบเล็บ ทันทีที่มาถึงก็เจอกับภาพชายโฉดหญิงชั่วคบชู้กัน ทั้งยังเป็พี่สะใภ้ของร่างเดิม
ละครบทนี้ช่างตื่นเต้นเร้าใจนัก
นางลังเลครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงว่าเป็พี่ชายของร่างเดิม ความลังเลก่อเกิดเพียงไม่กี่วินาที ท้ายสุดก็อดกลั้นความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ จึงแอบย่องตามไป
เสิ่นม่านเดินตามไปอย่างช้าๆ ท้องฟ้ามืดมิด นางห่วงว่าจะถูกพบเข้า จึงเดินตามหลังทั้งสองหลายสิบเมตร เดินมาราวๆ ครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็เจอทั้งสองเข้าไปในวัดร้างแห่งหนึ่ง
เสิ่นม่านรอให้พวกเขาเข้าไป ก่อนที่จะหาโอกาสแอบไปด้านหลังวัดร้าง ประจวบเหมาะกับได้ยินเสียงหายใจหอบอันแสนเร่าร้อนของทั้งสอง
เสิ่นม่าน “...”
หรือจะกลับไปดี?
นางลังเลอยู่สักพัก จนคนด้านในเสร็จกิจธุระ เสิ่นม่านได้ยินนางโจวบ่น
“เหตุใดวันนี้เ้าจึงเสร็จเร็วนัก? คงไม่ใช่ว่าแอบข้าไปเกี้ยวจางเหลียนฮัวที่หน้าหมู่บ้านมาหรอกนะ?”
ชายคนนั้นถอนหายใจ ราวกับถูกใส่ร้ายป้ายสี “ใช่ที่ไหนกัน ข้าเพียงรู้สึกว่า เหมือนมีคนกำลังจ้องพวกเราอยู่...”
เสิ่นม่านซ่อนตัวอยู่ที่เชิงกําแพงไม่กล้าขยับเขยื้อน “...”
แต่คําพูดของนางโจวทําให้นางโล่งอก
“ฮึ! ดึกดื่นป่านนี้จะมีคนได้อย่างไร? ข้าว่าเ้าหาข้ออ้างมากกว่า! ตอนนั้นให้เ้ามาสู่ขอข้า เ้าก็ไม่ยอม เอาแต่หาข้ออ้างนั่นนี่ ข้าว่าเ้าคงไม่อยากรับผิดชอบมากกว่า? คนบ้า!”
“ที่ไหนกัน? เ้ายังมีตัวภาระของสกุลเสิ่นอีกสองตัวไม่ใช่หรือ? บ้านข้าฐานะไม่ดี ไม่อยากเลี้ยงดูลูกชาวบ้านหรอกนะ!” ชายคนนั้นด่าทอ
นางโจวตบหน้าเขาอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงชั่วร้าย “คนบ้า! เ้าจะใจร้อนอะไรกัน? ข้าไปถามแม่เฒ่าหวังที่ตำบลมาแล้ว ตระกูลใหญ่แซ่จางในตำบล ่นี้กำลังกว้านซื้อทาส… รออีกไม่กี่วันข้าจะหาเหตุผลพาลูกทั้งสองไปที่ตำบลและขายพวกเขาเสีย พอได้เงินมา ชีวิตของเราสองคนก็สุขสำราญแล้วไม่ใช่หรือ?”
“หึๆ ความคิดเข้าท่า ข้าได้ยินมาว่าแม่เฒ่าหวังเ้าเล่ห์นัก มีคนเคยขายทาสให้นางได้ราคามาสองตำลึงด้วย เ้าอย่าถูกนางหลอกเอาได้ล่ะ”
ชายคนนั้นหัวเราะจนไม่อาจหุบปากลงได้ จากนั้นนางโจวก็ด่าทออีกยก
“ไม่ต้องห่วง! ข้าต่อรองราคาไว้แล้ว ลูกสองคนของข้า นางจะให้สามตำลึง ส่วนเ้าเด็กพันทางของเสิ่นม่าน สามารถขายได้สองตำลึงเชียว...”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ในที่สุดเสิ่นม่านก็ทนไม่ไหว
พวกเดรัจฉาน! เสือยังไม่กินลูกตัวเองด้วยซ้ำ แต่กลับมีแม่ที่วางแผนขายลูกตัวเองเพื่อชายชู้เสียนี่!
การขายลูกตัวเองก็ถือว่าผิดต่อลิขิตฟ้าแล้ว แต่นี่ยังริอาจจะขายต้าเป่าของนางด้วย?!
ไม่ได้ นางไม่สามารถดูมองดูหญิงชั่วคนนี้ทำลายเด็กๆ ต่อหน้าต่อตา!
เสิ่นม่านกําลังคิดว่าจะออกไปอย่างไรดี ขณะที่สติหลุดลอย ไม่รู้ว่ามีแมวป่าะโมาจากไหน
“เหมียว...”
ทันใดนั้นคนในห้องก็ตื่นตัวและตวาด “ใคร?!”
แย่ล่ะสิ ถูกพบเข้าแล้ว!
เมื่อเห็นว่าทั้งสองหยิบท่อนไม้อันใหญ่กำลังเดินมาทางตนเอง เสิ่นม่านจึงรีบวิ่งจ้ำอ้าวไปทางหมู่บ้านโดยไม่หันกลับไปมอง
นางเพิ่งข้ามมิติมา ไม่อยากถูกคนฆ่าปิดปากไปทั้งอย่างนี้ นอกจากนี้ในบ้านยังมีเด็กน้อยแสนน่ารักรอให้นางเลี้ยงดูอยู่!
กลางค่ำกลางคืนมองไม่เห็นทาง มีหลายครั้งที่นางเกือบสะดุดบนทางคดเคี้ยวในเนินเขาและพุ่งเข้ากอหญ้า
ส่วนสองคนในวัดร้างรีบแต่งตัวและออกมา ทว่าท่ามกลางคืนอันมืดมิด จึงเห็นเพียงร่างท้วมที่วิ่งหนีอยู่กลางป่าเขา ชายชู้คิดจะตามไป แต่ถูกนางโจวห้ามไว้ก่อน
“ไม่ต้องตาม นั่นคือนังเสิ่นม่านตัวดี”
“เสิ่นม่าน?”
ชายชู้เห็นเงาคนวิ่งไปไกลจึงเอ่ยอย่างโมโห “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งเก็บนางไว้ไม่ได้ หากนางเที่ยวไปพูดข้างนอก เราสองคนคงถูกประณามแน่”
นางโจวกระชับเสื้อแน่น จากนั้นลูบท้ายทอยที่เคยถูกเสิ่นม่านทุบจนหัวโน ดูเหมือนว่าจะยังเจ็บอยู่เล็กน้อย สายตาของนางเผยประกายอาฆาตแค้น
“นางกล้าหรือ? ข้าย่อมมีทางทำให้นางไม่อาจพูดอะไรได้อีก ตอนนี้งานของเราที่เร่งด่วนกว่าคือ จะหลอกให้นางยกเ้าเด็กพันทางให้ได้อย่างไร เขามีค่าตั้งสองตำลึงนะ!”
ชายชู้มองนาง ดวงตาเผยแววชั่วร้าย
“เ้ามีวิธีหรือ?”
-----