ดูเหมือนสือเจียงหย่วนจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากระยะไกล กลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นชา แต่เป็กลิ่นหอมประหลาดอย่างหนึ่ง ซึ่งหอมหวาน อบอุ่น สดชื่น และชวนให้ไม่อาจตัดใจได้
สือเจียงหย่วนรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบรัด ไม่ได้รู้สึกเ็ปแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างดึงรั้งเอาไว้ เขาอดไม่ได้ที่จะเอามือแตะหน้าอกพลางรำพึงว่าแย่แล้ว
ชีพจรที่เต้นผิดปกติเกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขาจะป่วยเป็โรคหัวใจั้แ่อายุยังน้อยแล้วจากโลกนี้ไปอย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เขากลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพียงแต่มองไปยังคังอิงด้วยแววตาเลื่อนลอย ไม่อาจอธิบายได้ว่าความคิดพวกนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเกิดจากอะไรกันแน่
คังอิงเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นว่าสือเจียงหย่วนดูเหม่อลอย จึงเอ่ยเรียกเขา “มาดื่มชากันค่ะ!”
‘มาดื่มชา’ เป็คำพูดที่คนในท้องถิ่นมักจะใช้ต้อนรับแขก เพราะไม่ได้พูดคุยมาสักพักหนึ่ง น้ำเสียงของคังอิงจึงแหบแห้งไปบ้าง แต่ท้ายประโยคกลับมียกสูงขึ้นเล็กน้อย ฟังแล้วชวนให้รู้สึกคันยุบยิบในใจ
จู่ๆ สือเจียงหย่วนก็รู้สึกเหมือนกับมีบางอย่างมาคว้าหัวใจของเขาไว้…
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สือเจียงหย่วนไม่อาจเอามือปิดหน้าอกเอาไว้ตลอดเวลา เดี๋ยวมันจะดูเหมือนกับนางซีซือกุมหัวใจ [1] แล้วทำให้คังอิงหัวเราะเยาะเขาเอาได้
เขาเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามคังอิง แล้วถอดหมวกแก๊ปที่ใช้กันแดดออกวางไว้บนเก้าอี้ข้างๆ
“อากาศยิ่งวันยิ่งร้อน เดินทางไปไหนก็ต้องใส่หมวก ไม่อย่างนั้นจะเวียนหัว”
สือเจียงหย่วนไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงพูดเื่พวกนี้ แต่คังอิงกลับรู้สึกเห็นด้วยกับเขา เธอแย้มยิ้มพลางบอกว่า
“ตอนนี้แค่เก้าโมงเช้าเอง เลยเที่ยงไปแล้วถึงจะเป็่ที่แดดร้อนที่สุด ไม่อยากจะออกไปข้างนอกเลยจริงๆ”
“ใช่แล้วล่ะ ผมเลยมาหาคุณแต่เช้าไง” สือเจียงหย่วนบอก
คังอิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถามขึ้น “คุณมาหาฉันมีธุระอะไรคะ?” ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกสือเจียงหย่วนเื่การซื้อวิทยุติดตามตัวเลย จึงพูดเสริมต่อว่า “อ้อ ใช่แล้ว ฉันเองก็มีเื่จะคุยกับคุณพอดี เมื่อวานนี้ลืมบอกคุณไปน่ะ”
พอสือเจียงหย่วนที่ได้ยินเช่นนั้นพลันสนใจขึ้นมา เขาบอกว่า “คุณบอกผมก่อนสิ เื่อะไร?”
คังอิงรินชาให้เขาแก้วหนึ่ง ก่อนจะถามกลับไปว่า “แล้วคุณล่ะ? มีเื่อะไร? บอกฉันก่อนสิ”
สือเจียงหย่วนยอมแพ้เธอ ก่อนบอกว่า “ผมเคยบอกว่าจะไปตรวจหัวใจที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ? เมื่อวานนี้ผมโทรไปนัดเวลากับพี่สะใภ้ บอกว่าจะไปถึงที่นั่นสิบโมงเช้า
แต่เช้าวันนี้พอดีพี่สะใภ้ต้องผ่าตัด เธอเป็ห่วงผม เลยแนะนำให้น้ารองไปเป็เพื่อนผม
ผมกลัวว่าน้ารองจะใ ก็เลยไม่อยากให้เธอไปเป็เพื่อน แต่พี่สะใภ้บอกว่าถ้าไม่ให้น้ารองไปเป็เพื่อน ก็ให้พี่ชายหรือไม่ก็น้องชายไปเป็เพื่อนแทน
ผมได้ยินแล้วรำคาญก็เลยบอกไปว่าผมจะชวนเพื่อนไปเป็เพื่อน เธอถึงยอมตกลง มิฉะนั้นเธอบอกว่าจะเลื่อนการผ่าตัดออกไปเพื่อมาเป็เพื่อนผม แบบนี้มันจะได้อย่างไรกัน? ไม่ต้องไปดูแลคนไข้เหรอ ทำไมต้องทำขนาดนี้?”
เมื่อคังอิงได้ฟังดังนั้น เธอก็รู้สึกอิจฉาเขาเล็กน้อย จึงบอกว่า “ดูเหมือนครอบครัวของน้ารองจะรักคุณมากเลยนะ เวลาที่เราป่วยเรามักจะอ่อนแอไร้ที่พึ่งพิงมากที่สุด ก็เลยยิ่ง้าให้ครอบครัวอยู่เคียงข้างมากที่สุด”
เื่นี้คังอิงรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็อย่างมาก เพราะเธอเป็เด็กกำพร้า เติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โชคดีที่เธอฉลาดและมุ่งมั่นจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอก็ออกมาทำธุรกิจส่วนตัว เธอต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายที่ต้องแบกรับไว้เพียงลำพัง ั้แ่เด็กเธอก็ไม่เคยลิ้มรสชาติความอบอุ่นของครอบครัวเลย
ตอนสาวๆ ร่างกายก็ยังแข็งแรง ไม่ค่อยป่วยเท่าไหร่ จึงไม่เคยัักับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มทำงานหนักจนร่างกายอ่อนแอลง ป่วยบ่อยขึ้น ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล ตอนที่นอนให้น้ำเกลือก็มีเพียงเลขานุการกับผู้ช่วยเท่านั้นที่อยู่ข้างๆ ไม่มีญาติพี่น้องเลย
ถึงแม้จะมีคนอยู่เป็เพื่อน แต่พวกเขาก็เป็แค่พนักงาน ลูกน้องกับญาติพี่น้องที่บ้านนั้นต่างกัน
ดังนั้นพอคังอิงได้ยินสือเจียงหย่วนพูดแบบนี้ เธอที่อิจฉาเขาเป็อย่างยิ่งจึงเอ่ยว่า “ให้พวกเขาไปเป็เพื่อนคุณดีแล้ว พวกเขาก็แค่เป็ห่วงคุณ”
สือเจียงหย่วนกล่าวว่า “ผมรู้ว่าพวกเขาเป็ห่วง แต่ผมกลัวว่าพวกเขาจะเป็ห่วงมากเกินไป ถ้าผมป่วยเป็อะไรขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจะต้องรีบแจ้งเื่นี้กับทางบ้านของผมแน่ๆ
“ถึงแม่ของผมจะเป็หมอ แต่เธอกลับรับไม่ได้ที่ผมป่วย พอผมป่วยเธอจะนึกถึงกรณีที่แย่ที่สุดอยู่เสมอ ทำให้เธอเป็กังวล
เพราะงั้นผมก็เลยไม่อยากให้พวกเขาไปเป็เพื่อนผม หากเกิดตรวจพบว่าผมเป็โรคเล็กๆ น้อยๆ ผมก็สามารถปิดบังพวกเขาได้ แล้วก็กินยาจนกว่าจะหาย ก็เลยอยากชวนคุณไปเป็เพื่อน”
คังอิงฟังอยู่นาน ในที่สุดเขาก็วกกลับมาพูดเื่ของเธอ เื่แบบนี้เธอไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว คังอิงจึงบอกว่า
“โอเค ฉันจะไปเป็เพื่อนคุณเอง”
ส่วนเื่ที่จะพูดถึงเื่ค่าจ้างกับสือเจียงหย่วนนั้น ในเวลานี้สือเจียงหย่วนกำลังป่วย เื่พวกนี้จึงไม่สำคัญอีกต่อไป
คังอิงมองดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ไปกันเถอะ”
สือเจียงหย่วนเหลือบมองนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์สีดำราคาถูกที่คังอิงสวมอยู่ ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขารู้สึกว่านาฬิกาเรือนนี้ไม่เหมาะกับคังอิงเลยสักนิด
นาฬิกาที่เขาสวมอยู่เป็นาฬิกาที่เขาซื้อมาจากต่างประเทศ ราคาของมันเท่ากับรายได้ของคนอื่นหลายปี
ไม่ได้เป็เพราะสือเจียงหย่วนชอบของฟุ่มเฟือยและอยากจะอวดรวย แต่เป็เพราะตอนที่เขาเห็นนาฬิกาเรือนนี้ในแวบแรก เขารู้สึกว่ามันดูเรียบหรูและมีเสน่ห์ สำหรับสิ่งของที่เขาชอบแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยผ่านไปแน่ๆ
แววตาของสือเจียงหย่วนเป็ประกาย พอเห็นว่าคังอิงตกลงที่จะไปเป็เพื่อนเขา เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที ทำให้ความกังวลที่ว่าเขาเป็โรคหัวใจหรือไม่นั้นเลือนหายไปมาก
ทั้งสองคนล็อกประตูเหล็กแล้วขึ้นรถจี๊ปของสือเจียงหย่วน ครั้งนี้คังอิงไม่ได้อาสาขับรถ เพราะตอนนี้แผลของสือเจียงหย่วนหายดีแล้ว การขับรถจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่อยากทำให้สือเจียงหย่วนรู้สึกว่าเธอกำลังดูแลคนป่วยอยู่ ตอนนี้ยังไม่ได้ตรวจร่างกายเลย ใครจะรู้ว่าเขาป่วยหรือเปล่า!
ทั้งสองขับรถประมาณยี่สิบนาทีก็มาถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอ นี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่คังอิงมาที่นี่ ที่แห่งนี้เป็สถานที่ที่เธอได้กลับมาเกิดใหม่ พอมาถึงที่นี่เธอก็รู้สึกหวนคิดถึงอดีตอีกครั้ง
สือเจียงหย่วนเห็นสีหน้าที่ดูแปลกประหลาดของเธอ ตอนแรกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม แต่หลังจากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่นานมานี้คังอิงเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล เพราะถูกฟู่ซินหลางทำร้ายร่างกาย เขาจึงเข้าใจความรู้สึกของเธอ
ดวงตาของสือเจียงหย่วนหม่นลึกลง เขากำลังคิดว่าการลงโทษฟู่ซินหลางครั้งนี้นั้นเบาเกินไปหรือเปล่า? แค่ตัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอู๋ฮวนเท่านั้นมันจะพอหรือ? หรือว่าต้องสั่งสอนเขาเพิ่มเติมอีก?
สือเจียงหย่วนกับคังอิงเดินขึ้นไปที่ชั้นสองแผนกอายุรกรรม พวกเขาไปหาผู้อำนวยการชิว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์ ผู้อำนวยการชิวคนนี้เป็เพื่อนร่วมงานที่พี่สะใภ้ของสือเจียงหย่วนแนะนำมา
ผู้อำนวยการชิวรู้ว่าเป็ญาติของเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งยังรู้ภูมิหลังของหลิวซิ่วเหมย จึงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น เขาจัดการเขียนใบส่งตรวจอัลตราซาวด์กับคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้กับสือเจียงหย่วนอย่างรวดเร็ว
จากนั้นคังอิงก็พาสือเจียงหย่วนไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจก่อน ผลการตรวจพบว่าเขาไม่ได้เป็อะไร ชีพจรและอื่นๆ ก็เป็ปกติ
สือเจียงหย่วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าคำพูดของหมอกลับทำให้พวกเขารู้สึกกังวลใจขึ้นมา หมอที่ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่รู้ว่าเขาเป็ญาติของเพื่อนร่วมงานเอ่ยเตือนเขาด้วยความหวังดี ว่าถึงแม้ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะออกมาเป็ปกติ แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้แม่นยำเสมอไป หาก้าตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้แม่นยำ ต้องสวมเครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของหัวใจในแต่ละ่เวลา แบบนี้ถึงจะได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด
แน่นอนว่าหากทำอัลตราซาวด์แล้วไม่พบว่ามีโรคหัวใจ ก็ถือว่าหัวใจแข็งแรงดี
คังอิงจึงรีบพาสือเจียงหย่วนไปทำอัลตราซาวด์หัวใจ
เชิงอรรถ
[1] ซีซือกุมหัวใจ เป็สำนวนจีน หมายถึง หญิงสาวที่ป่วยหรือเ็ปมาก จนต้องเอามือกุมหัวใจทำหน้านิ้วคิ้วขมวด แต่ก็ยังดูงดงามน่าสงสาร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้