“ใครบังอาจบุกเข้ามาในตระกูลเนี่ย?”
“หยุดนะ!”
ขณะที่เนี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ด้านนอกพลันมีเสียงคำรามโกรธแค้นจากพวกเนี่ยหนันซานและเนี่ยคั่นดังลอยมา
ลี่ฝานหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ราวกับรู้ว่าความผิดปกติของสถานที่แห่งนี้ชักนำความสนใจจากผู้แข็งแกร่ง
“ไสหัวไป!”
เสียงตวาดเพราะพริ้งดังแว่วมาไกลๆ ไม่นานนักร่างที่เป็ประกายเพลิงสีแดงก็มาปรากฏกายอยู่ ณ ที่แห่งนี้
นั่นคือหญิงสาวงามพิลาสนางหนึ่งที่สวมชุดสีแดงเพลิง ต่างหู จี้รูปหัวใจที่แขวนไว้บนลำคอขาวผ่อง และกำไลบนข้อมือขาวนวลเนียนของนางต่างก็ปล่อยประกายสีสันแพรวพราว
นางที่เดิมทีก็งามเพริศแพร้วไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เมื่ออยู่ภายใต้การขับดันของเครื่องประดับหรูหราจึงยิ่งดูงามสง่าสูงส่งมากยิ่งขึ้น
“ลี่ฝานรึ?” สาวงามผู้ในชุดแดงเพลิงพอยืนได้มั่นคงก็มองเห็นลี่ฝานแห่งสำนักหลิงอวิ๋นทันที อดไม่ได้จนต้องยิ้มแย้มเห็นไรฟัน “เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ที่นี่คือตระกูลเนี่ย! ตระกูลเนี่ยคือตระกูลในสังกัดของสำนักหลิงอวิ๋นพวกเราอยู่แล้ว ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เื่ปกติหรอกหรือ?” ลี่ฝานแค่นเสียงเ็าหนึ่งครั้ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ตระกูลเนี่ยไม่ใช่ถิ่นของเ้า เ้าอันซืออี๋ไม่สนใจคำห้ามปรามจากเ้าของบ้าน อยู่ๆ มาโผล่ที่นี่มีเื่อันใด?”
“อันซืออี๋?” เนี่ยเทียนตะลึงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหญิงงามชุดแดงโดยไม่รู้ตัว
เขาอยู่ที่เมืองเฮยอวิ๋นมาหลายปี แน่นอนย่อมรู้จักบุคคลผู้เก่งกาจของตระกูลใหญ่สามตระกูลของเมืองเฮยอวิ๋น ตระกูลใหญ่ทั้งสามของเมืองเฮยอวิ๋นแบ่งออกเป็ตระกูลอัน ตระกูลเนี่ย และตระกูลอวิ๋น
หลายปีมานี้ หลังจากที่อำนาจของตระกูลเนี่ยอ่อนกำลังลง พละกำลังของตระกูลอวิ๋นแข็งแกร่งกว่าหนึ่งขั้นอย่างเห็นได้ชัด จึงอยู่เป็อันดับที่สองของสามตระกูลใหญ่เมืองเฮยอวิ๋น
ทว่าตระกูลอันเป็ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเฮยอวิ๋นมาโดยตลอด หอหลิงเป่าในเมืองก็เป็ตระกูลอันที่เป็ผู้รับผิดชอบดูแล
ก็เหมือนกับสำนักหลิงอวิ๋น หอหลิงเป่าก็เป็สำนักผู้ฝึกลมปราณที่ยิ่งใหญ่สำนักหนึ่งเช่นกัน ส่วนตระกูลอันก็คือตระกูลผู้แทนหอหลิงเป่าในเมืองเฮยอวิ๋น
เล่ากันว่าตระกูลอันสามารถเป็ตัวแทนหอหลิงเป่าในเมืองเฮยอวิ๋นได้ก็เพราะอันซืออี๋ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้นี้
ว่ากันว่าหญิงสาวผู้นี้มีตำแหน่งสำคัญในหอหลิงเป่า ไม่เพียงแต่ความสามารถที่ไม่ธรรมดา ทั้งยังมีฝีมือเก่งกาจยิ่งนัก สร้างคุณงามความดีให้กับหอหลิงเป่ามากมาย ได้รับความสำคัญอย่างยิ่งยวดจากเ้าของหอหลิงเป่า
หลังจากที่นางเดินออกมาจากตระกูลอัน กลายมาเป็คนสำคัญของหอหลิงเป่า หลายปีมานี้น้อยครั้งนักที่จะกลับมาเมืองเฮยอวิ๋น
บุคคลที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองเฮยอวิ๋น อยู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่นี่ ทำให้เนี่ยเทียนแอบตะลึงระคนแปลกใจไม่น้อย
“น้องชาย ข้าสวยหรือไม่?”
อันซืออี๋ที่สังเกตเห็นสายตาของเนี่ยเทียนจึงแสร้งทำเป็ไม่สนใจคำพูดของลี่ฝาน กลับยิ้มพราวส่งสายตาให้กับเนี่ยเทียน
เนี่ยเทียนที่กำลังจะเดินออกมาจากกองหินอึ้งไปครู่ มองอันซืออี๋อย่างจริงจัง ยกมุมปากยิ้มแย้ม “พี่สาว วันหน้าหากข้าคิดอยากจะมีภรรยา ข้าจะไปสู่ขอท่าน”
“ฮ่าๆ” อันซืออี๋หัวเราะร่าเริง “ปากหวานเสียจริง รอเ้าเติบใหญ่เมื่อไหร่ หากข้ายังไม่ออกเรือน จะมาแต่งงานกับเ้าก็แล้วกัน”
“ดีสิ!” เนี่ยเทียนรับคำทันที
เนี่ยตงไห่เหม่อมองเนี่ยเทียน จะร้องก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก คล้ายรู้สึกว่าเนี่ยเทียนออกจะทำตัวเหลวไหลไปหน่อย
“ไอ้เด็กบ้า!” เนี่ยเป่ยชวนแค่นเสียงเบาหนึ่งครั้ง
“คุณหนูใหญ่อัน!” ลี่ฝานกล่าวเตือน “เ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า!”
อันซืออี๋ยังคงไม่หันไปมองลี่ฝาน แต่ควักกริชสีชาดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าตรงเอว โยนให้เนี่ยเทียน กล่าวด้วยรอยยิ้มแพรวพราวว่า “ข้ายกให้เ้า!”
เมื่อกริชสีชาดบินมา เปลวไฟพลันลุกไหม้อบอวลไปทั่ว
เนี่ยเทียนไม่กล้ารับ มองกริชเล่มนั้นร่วงลงพื้น หลังจากเห็นว่าเปลวไฟดับลงไปแล้วจึงหยิบขึ้นมา เล่นหูเล่นตาใส่อันซืออี๋ “ขอบคุณพี่หญิงที่มอบของแทนใจให้ข้า!”
“ฮ่าๆ! ช่างเป็เด็กที่น่าสนใจนัก!” ดวงตาของอันซืออี๋เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันหน้ากลับไปพูดกับเนี่ยตงไห่ “กริชเล่มนั้นถือเป็ของชดใช้ที่ข้าบุกเข้ามาในตระกูลเนี่ยก็แล้วกัน”
เนี่ยตงไห่สีหน้าดำมืด ส่ายหัว แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ประมุขตระกูลเนี่ยอีกต่อแล้ว”
“อ้อ” อันซืออี๋พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะกระซิบให้เ้าฟัง” ด้วยระดับเสียงที่เนี่ยเป่ยชวนสามารถได้ยิน “ก่อเื่เล็กๆ น้อยๆ ไปมากมายเช่นนั้น ในที่สุดคนบางคนก็ได้สมใจปรารถนา น่าเสียดาย ข้าว่าตำแหน่งนั้นก็คงนั่งอยู่ได้ไม่นานนักหรอก เพราะจิตใจมันคับแคบเกินไป...”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?” เนี่ยเป่ยชวนกล่าวอย่างเดือดดาล
อันซืออี๋เหล่ตามองเขา มุมปากยกยิ้มดูิ่ เอ่ยตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ข้าบอกว่าตระกูลเนี่ยอยู่ในมือของเ้า เกรงว่าคงยากที่จะลืมตาอ้าปากได้อีก”
“เ้า!” เนี่ยเป่ยชวนถลึงตาใส่อย่างโกรธเคือง แต่คล้ายจะเกรงกลัวสถานะของอันซืออี๋จึงไม่กล้าทำอะไรวู่วาม
“เอาล่ะ ไม่มัวพูดเล่นแล้ว” อันซืออี๋ขมวดคิ้วมุ่น ในที่สุดก็หันมองไปทางลี่ฝาน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เื่บางเื่นั้นปกปิดไม่อยู่ ก่อนหน้านี้สถานที่แห่งนี้เกิดคลื่นกลางอากาศอย่างรุนแรง ทั้งยังมีรอยแยกของห้วงอากาศส่องแสงจ้าบาดตา ข้ามองเห็นแต่ไกลๆ สนามแม่เหล็กของพื้นที่นี้ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด น่าจะเกิดจากห้วงมิติปั่นป่วนที่ไม่มั่นคงแห่งหนึ่ง”
“การที่เกิดห้วงอากาศปั่นป่วนนั้นหมายความว่าอย่างไร เ้าและข้าล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ”
“สำนักหลิงอวิ๋นของพวกเ้าคิดจะฮุบเอาไว้คนเดียว ใช้อำนาจของสำนักเดียวไปตรวจค้น เกรงว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้นกระมัง?”
“ผู้ที่มองเห็นย่อมมีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างไรเสียหอหลิงเป่าของพวกข้าก็จะต้องยื่นมือเข้าแทรกให้ได้!”
อันซืออี๋พูดด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว
“ที่นี่คือตระกูลเนี่ย! ตระกูลเนี่ยเป็ของสำนักหลิงอวิ๋น ในเมื่อห้วงมิติปั่นป่วนเกิดขึ้นในตระกูลเนี่ยก็ควรจะเป็ของสำนักหลิงอวิ๋นของพวกข้า!” ลี่ฝานพูดด้วยเสียงกังวานมีเหตุผล
“ตระกูลเนี่ยก็เป็ส่วนหนึ่งของเมืองเฮยอวิ๋น ในเมื่อมันเกิดขึ้นในเมืองเฮยอวิ๋น แน่นอนว่าตระกูลอันย่อมมีส่วนด้วย!” อันซืออี๋เถียงข้างๆ คูๆ
เวลานี้ เนี่ยเทียนที่ออกมาจากกองหินระเกะระกะนั้น ถือกริชที่อันซืออี๋มอบให้ไว้ในมือ เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเนี่ยตงไห่
เนี่ยตงไห่ไม่ได้สนใจการถกเถียงระหว่างลี่ฝานและอันซืออี๋ เขาจับตัวเนี่ยเทียน ถามเสียงเบาๆ ว่า “เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
เขาไม่ได้ถามว่าเนี่ยเทียนไปที่ไหนมา แค่ถามว่าเนี่ยเทียนสบายดีหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เขาสนใจมีเพียงเนี่ยเทียนเท่านั้น
“ท่านตา ทำให้ท่านเป็กังวลแล้ว ข้าไม่เป็อะไรขอรับ” เนี่ยเทียนพูดเสียงเบา
เนี่ยตงไห่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก พุ่งความสนใจไปที่ลี่ฝานและอันซืออี๋อีกครั้ง
“เ้าสำนักเจียง!”
“เ้าสำนักมาแล้ว!”
และเวลานี้เอง ด้านนอกมีเสียงนอบน้อมของเนี่ยหนานซานและคนอื่นๆ ของตระกูลเนี่ยดังลอยมา
พอได้ยินว่าเจียงจือซูเดินทางมาด้วยตัวเอง อันซืออี๋ไม่โต้เถียงกับลี่ฝานอีกต่อไป สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็เคร่งขรึม
“เ้าสำนักมาแล้ว เ้าคิดให้ดีก่อนจะพูดอะไรออกมา” เนี่ยตงไห่เอ่ยกำชับเบาๆ
เนี่ยเทียนพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ
หลายวินาทีต่อมา เจียงจือซูที่สวมชุดสีเขียวก็มาปรากฏกายอยู่ในเส้นสายตาเนี่ยเทียนพร้อมกับเนี่ยหนันซานที่เดินเข้ามาเป็เพื่อน
เจียงจือซูที่เป็เ้าสำนักหลิงอวิ๋น มองดูแล้วมีอายุประมาณสี่สิบปี ใบหน้าแก่ชรา สงบนิ่งราวกับน้ำ ราวกับว่าต่อใหู้เาไท่ซานกดทับลงมาใบหน้าของเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยน
“คุณหนูตระกูลอัน เ้าก็อยู่ด้วยหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คารวะท่านอาเจียง” ตอนที่อันซืออี๋เผชิญหน้ากับเขา นางเก็บเอาความคมกริบร้ายกาจทั้งหมดกลับคืนไป แสดงให้เห็นถึงท่าทางอ่อนน้อมมีมารยาท “หลายวันนี้ข้าอยู่ที่เมืองเฮยอวิ๋น ห้วงมิติปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในตระกูลเนี่ย ข้าสังเกตเห็นพอดี จึงเดินทางมาดูสถานการณ์เ้าค่ะ”
ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ นางจึงพูดอธิบายอีกครั้งว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าท่านลี่ฝานก็อยู่ด้วย ข้ากังวลว่าคนตระกูลเนี่ยจะไม่รู้ถึงความอันตรายของห้วงมิติปั่นป่วน อาจนำภัยมาสู่ตัวทำให้าเ็หนักได้ ที่มาที่นี่ก็เพราะความหวังดี”
“ยังดีที่ห้วงมิติปั่นป่วนนั้นยังไม่สามารถก่อตัวได้อย่างสมบูรณ์เื่ที่ข้าเป็กังวลจึงไม่เกิดขึ้นเ้าค่ะ”
เจียงจือซูฟังคำอธิบายของนางจบก็พยักหน้าแล้วพูดกลับไปว่า “คำพูดเมื่อครู่ของเ้าข้าก็ได้ยินแล้ว หากสถานที่แห่งนี้เกิดห้วงมิติปั่นป่วนแห่งหนึ่งขึ้นจริง และสุดท้ายสามารถก่อตัวได้สำเร็จ สำนักหลิงอวิ๋นย่อมเชิญหอหลิงเป่าเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน”
“ขอบพระคุณท่านอาเจียง” อันซืออี๋โค้งตัวขอบคุณ จากนั้นก็หันไปยิ้มบางๆ ให้กับเนี่ยตงไห่ “รบกวนแล้ว”
พูดจบนางก็ขยิบตาให้เนี่ยเทียน แล้วเดินดิ่งจากไปทันที ไม่หยุดอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
ราวกับว่าสิ่งที่นางรอคอยมีเพียงประโยครับรองประโยคเดียวเท่านั้น หลังจากเจียงจือซูให้คำมั่นแล้ว นางจึงเดินออกไปจากจวนตระกูลเนี่ยได้อย่างสบายใจ
“เล่าเื่ที่เ้าพบเจออย่างละเอียดหนึ่งรอบ” เจียงจือซูหันไปทางลี่ฝาน
ลี่ฝานเล่าอย่างไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว อธิบายภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดทั้งหมดที่เขาเห็นในตระกูลเนี่ยออกมาอย่างชัดเจน
หลังจากที่เขาเล่าจบ เจียงจือซือหลับตาลงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หันขวับไปหาเนี่ยเทียน แล้วกล่าวว่า “เด็กคนนี้อยู่ต่อ คนตระกูลเนี่ยที่เหลือออกไปให้หมด”
ได้ยินเช่นนี้ สามพี่น้องเนี่ยตงไห่จึงหันไปโค้งตัวให้เขา จากนั้นต่างคนก็ต่างจากไปด้วยความคิดต่างกัน
“เ้าหนู ข้าได้ยินมาว่าเ้าหายตัวไปสิบวัน สิบวันมานี้ เ้าไปที่ไหนมารึ?” หลังจากที่เงาร่างของพวกเขาหายไปหมดแล้ว เจียงจือซูมองไปทางเนี่ยเทียน ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เมื่อสิบวันก่อน รอยแยกของห้วงมิติทำนองเดียวกันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นข้าถูกรอยแยกของห้วงมิติเส้นหนึ่งสูบเข้าไป...” เนี่ยเทียนสูดลมหายใจหนึ่งครั้ง ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“สูบเข้าไปรึ?” ดวงตาของเจียงจือซูโชนแสงประหลาดใจ “จากนั้นเล่า? เ้าเห็นอะไรบ้าง? แล้วเ้ากลับมาได้อย่างไร?”
“ข้ามองเห็นแสงไฟพร่างพราวที่ไหลรินอยู่เต็มฟากฟ้า ราวกับดาวตกจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินผ่านกายของข้าไป” เนี่ยเทียนอธิบายด้วยสีหน้าย้อนนึกราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งฝันนั้นว่า “เหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝันอันงดงาม ทั้งหมดมีแต่สะเก็ดไฟ สีสันหลากหลายคล้ายดาวตกที่บินผ่านไปมา ตอนที่อยู่ที่นั่นข้ารู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ตรงนั้นนานมากแล้ว แล้วก็รู้สึกเหมือนอยู่แค่แปบเดียว”
“จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงได้กลับมาที่จวนตระกูลเนี่ยอีกครั้ง”
“ข้านึกไม่ถึงว่าเผลอแปบเดียวเวลาก็ผ่านไปสิบวันแล้ว น่าแปลกยิ่งนัก”
บนใบหน้าของเนี่ยเทียนเต็มไปด้วยความฉงนฉงาย ราวกับกลัดกลุ้มไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเกิดเื่แปลกประหลาดอะไรกับตัวเองกันแน่
เจียงจือซูมองเขาและฟังเขาอธิบายจนจบ ครู่ใหญ่ถึงได้พยักหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “เอาล่ะ เ้าออกไปหาท่านตาเ้าเถอะ”
เนี่ยเทียนเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย เลียนแบบท่าทางของเนี่ยตงไห่ก่อนหน้านี้ โค้งตัวให้กับเจียงจือซู จากนั้นก็ออกไปจากที่ตรงนั้น
“ท่านอาจารย์ ท่านว่าที่เด็กผู้นั้นพูดเป็เื่จริงหรือเท็จ” ลี่ฝานกล่าว
“เขาโกหก” เจียงจือซูสีหน้าเป็ปกติ
“เ้าเด็กบ้านั่นกล้าโกหกท่านเชียวหรือ?” ลี่ฝานกล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าจะไปเรียกตัวเขากลับมาเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
เจียงจือซูส่ายหน้า ดวงตาฉายแววแปลกประหลาด คล้ายรู้สึกว่าเนี่ยเทียนกล้าหาญไม่น้อย “จริงหรือเท็จนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือที่แห่งนี้ บนร่างของเขา เกิดเื่มหัศจรรย์บางอย่างขึ้นจริง”
“ไม่รู้ว่าความจริงเป็เช่นไร แล้วต่อไปพวกเราควรทำอย่างไรเล่าขอรับ?” ลี่ฝานกล่าวอย่างเดือดดาล
“หากเป็ห้วงมิติปั่นป่วนที่จะก่อตัวขึ้นมาจริงๆ มันจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่ใช่... ก็คือความผิดปกติของเด็กผู้นั้น” เจียงจือซูลูบคลำปลายคาง คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ข้ากลับคาดหวังให้ความมหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นมาจากตัวเขา”
“ท่านว่าอย่างไรนะขอรับ?” ลี่ฝานเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ
“หลังูเามีคนมองเขาอยู่แล้ว สักวันหนึ่งเขาต้องกลายมาเป็คนของสำนักหลิงอวิ๋นของพวกเรา หากเป็ความมหัศจรรย์จากตัวของเขาเอง หลังจากที่เขาได้กลายเป็ลูกศิษย์สำนักหลิงอวิ๋น แน่นอนว่าอะไรก็ตามย่อมตกเป็ของสำนักหลิงอวิ๋นของพวกเรา” เจียงจือซูอธิบายด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายลึกล้ำ และกล่าวอีกว่า “่นี้เ้าอาศัยประจำอยู่ที่ตระกูลเนี่ยไปเลย ดูสิว่าหลังจากนี้จะมีความผิดปกติ
“ทราบแล้วขอรับ”
------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้