เศรษฐีเฒ่าเหอนิ่งอึ้งไปแล้ว
เ้าอ้วนชุยก็หยิกต้นขาตนเองอย่างแรง
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง!
เฉิงกุยกล่าวเสียงแหบ “เ้า้าจะขายโคมไฟทิ้งก็เพื่อเปลี่ยนเป็เงินบริจาคให้โรงเมตตาเด็ก?”
เฉิงชิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “มิผิด ข้ารู้มาว่าเงินค่าผ่านประตูของงานชุมนุมวรรณกรรมในทุกปีจะบริจาคให้โรงเมตตาเด็ก แม้ว่าข้าจะไม่มีทรัพย์สมบัติตระกูลมากมายนัก แต่ก็ยินดีที่จะพยายามด้วยกำลังอันน้อยนิดของตน แม้เพียงสามารถทำให้เด็กๆ ในโรงเมตตาเด็กมีเสื้อหนาวเพิ่มสักตัวก็ยังดี โคมไฟที่เอาไว้ห้าดวงนี้ ข้าจะเอากลับบ้านไปมอบให้ญาติสนิท ส่วนที่เกินมาห้าดวง ข้าคิดจะลองดูว่าสามารถขายทิ้ง ณ ตรงนี้ได้หรือไม่... นอกจากจะขายโคมไฟเปลี่ยนเป็เงินแล้ว ข้าก็ยินดีที่จะแบ่งเอาเงินรางวัลหนึ่งร้อยตำลึงเงินที่ได้รับนี้ออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วบริจาคให้โรงเมตตาเด็กไปพร้อมกัน”
โรงเมตตาเด็กของแคว้นเว่ยก็เปรียบเสมือนสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและสถานสงเคราะห์ของสังคมในยุคปัจจุบัน
ถูกก่อตั้งตามคำสั่งของราชสำนักเพื่อรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไร้ที่พึ่ง ดูแลเลี้ยงดูพวกเขาจนเติบใหญ่
งบประมาณของโรงเมตตาเด็กนอกจากจะมาจากงบที่ราชสำนักแจกจ่ายมาให้แล้ว ยังพึ่งพิงเงินบริจาคของผู้คนในสังคม
ที่เฉิงชิงขายโคมไฟไม่ใช่เพราะยากจนละโมบเงิน แต่เพื่อบริจาคให้โรงเมตตาเด็ก ผู้ที่เพิ่งวิพากษ์วิจารณ์นางต่างพากันทยอยปิดปากไม่กล่าวคำ ผู้คนต่างรู้สึกว่าใบหน้าแสบร้อน
ผู้ดูแลประสานมือคารวะ
“คุณชายมีคุณธรรมสูงส่ง ข้าน้อยขอแสดงความขอบคุณคุณชายแทนเหล่าเด็กกำพร้าในโรงเมตตาเด็ก!”
“เป็แค่เื่เล็กน้อยเท่านั้น”
เศรษฐีเฒ่าเหอเอ่ยชมไม่ขาดปาก บริจาคเงิน ณ ที่ตรงนั้นอย่างใจกว้าง ควักเงินมาสิบตำลึงเพื่อซื้อโคมไฟของเฉิงชิงหนึ่งดวง
“หากหนานอี๋มีเด็กหนุ่มเช่นเ้าสักหลายคนหน่อย ไหนเลยจะต้องกังวลว่าไม่รุ่งเรืองไม่สงบสุขปลอดภัย? ได้แต่หวังว่าจะมีบัณฑิตเช่นเ้าหนุ่มเฉิงนี่มากหน่อย ในอนาคตเมื่อได้เป็ขุนนางแล้วถึงจะนับว่าเป็บุญของประชาชน!”
คำชมของเศรษฐีเฒ่าเหอทำให้อวี๋ซานเข็ดฟัน
ที่เฉิงชิงแก้ได้สามสิบข้อนั้น เขายอมรับว่าเฉิงชิงมีทักษะที่บิดเบี้ยวและปัญญาในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ในห้องติงมีคนอยู่สองร้อยหกสิบเจ็ดคน เฉิงชิงสอบได้แค่อันดับที่เก้าสิบเจ็ด ทั้งยังห่างไกลจากการสอบได้วุฒิซิ่วไฉนัก เศรษฐีเฒ่าเหอกลับสรรเสริญเยินยอว่าในอนาคตเฉิงชิงจะต้องได้เป็ขุนนาง อวี๋ซานฟังแล้วสุดแสนจะบาดหู
อย่างไรก็ตาม ในยามนี้อวี๋ซานจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดยั้งความโด่งดังของเฉิงชิงได้แล้ว ในกลุ่มคนที่รายล้อมมีผู้ร่ำรวยอยู่ไม่น้อย พอเศรษฐีเฒ่าเหอเป็คนเริ่ม โคมไฟที่เหลืออีกสี่ดวงก็ถูกขายไปจนหมดอย่างรวดเร็ว ไม่มีสิบตำลึงเงินก็ยังมีแปดตำลึง ห้าตำลึง รวมแล้วทั้งหมดขายได้สามสิบแปดตำลึงเงิน เมื่อรวมกับเงินรางวัลที่เฉิงชิงหักออกมาบริจาคครึ่งหนึ่ง นางเพียงคนเดียวก็บริจาคเงินไปแปดสิบแปดตำลึง
ตัวเลขนี้ช่างเป็มงคลยิ่งนัก!
ที่จริงแล้วนางไม่ได้ควักเลยสักเฟิน[1] ในมือยังเหลืออีกห้าสิบตำลึงเงิน ผลตอบรับดีกว่าการที่นางบริจาคแปดร้อยตำลึงโดยตรงมากนัก
กระทั่งคุณชายบุตรเ้าเมืองเช่นอวี๋ซานและบัณฑิตซิ่วไฉผู้สง่างามอย่างเฉิงกุยในยามนี้ก็ไม่อาจแย่งชิงความโดดเด่นของเฉิงชิงไปได้ สายตาของเหล่าแม่นางน้อยที่รายล้อมจ้องมองเฉิงชิงแฝงไปด้วยความเขินอายและความชื่นชม การกระทำของนางไม่แปลกเลยที่จะเสริมฟิลเตอร์ความหน้าตาดีให้กับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไม่ได้ ยามนี้แม่นางน้อยมากมายล้วนมีความประทับใจที่ดีต่อนางมาก
ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็สาวน้อยในห้องหอที่ไร้เดียงสา ไหนเลยจะสามารถต้านทานบุคคลที่มี ‘ความสามารถ + มีเมตตา’ ทั้งสองข้อสำคัญนี้ได้!
เศรษฐีเฒ่าเหอนำโคมไฟที่ซื้อมาส่งให้แก่หลานสาว เหอหว่านพึมพำหนึ่งประโยค “เสแสร้งแกล้งทำ” แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงรับโคมไฟมา
โคมไฟนี้ประณีตงดงาม ทั้งเฉิงชิงยังพึ่งพาความสามารถเอาชนะมา มือของเหอหว่านที่ถือโคมไฟเห่อร้อนเล็กน้อย
เมื่อเฉิงชิงเป็ผู้นำการกระทำนี้ ผู้อื่นต่างก็ทยอย้าที่จะขายโคมไฟที่ได้รับมาจากการแก้ไขปัญหา เพื่อที่จะให้ไม่เกินหน้าเฉิงชิง ต่างก็บริจาคเงินรางวัลที่ชนะมาเพียงครึ่งเดียว แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีรัศมีแสงวงกลมของเฉิงชิง เงินที่ได้จากการขายโคมไฟจึงไม่มากนัก
เมื่อมากมายเช่นนี้แล้ว ไม่ทันไรก็สามารถระดมมาได้สามร้อยกว่าตำลึงเงิน ผู้ดูแลฉีกยิ้มเชิญเฉิงชิงเข้างาน หญิงรับใช้นำทางน้ำเสียงอ่อนหวาน แววตาที่มองมายังเฉิงชิงก็นุ่มนวลเป็พิเศษ
“คุณชายเชิญตามบ่าวมาเ้าค่ะ”
เฉิงชิงก้าวเข้าไปในเรือนแยกท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คน ซือเยี่ยนและซือโม่ก็มองส่งเฉิงชิงเข้าไป เฮ้อ พวกเขาเพิ่งจะคิดสงสัยวิธีการของนายน้อยเฉิงชิง ผู้ที่นายท่านห้าให้ความสำคัญ ไหนเลยจะเป็คนโง่!
ยามนี้ไม่มีผู้ใดสงสัยในคุณสมบัติการเข้างานของเฉิงชิง
ค่ำคืนนี้ หากเฉิงชิงไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม ผู้อื่นก็ยิ่งไม่ควรค่าที่จะเข้าไป
เฉิงกุยเหม่อลอย
เขาได้ยินยามผู้คนถกเถียงกันกล่าวว่าเฉิงชิงเป็นายน้อยของบ้านรองตระกูลเฉิง
เขาต่างหากที่เป็หลานชายคนโตของภรรยาเอกบ้านรอง แต่ยามนี้กลับถูกเฉิงชิง่ชิงจุดสนใจไปหมด
อวี๋ซานกำหมัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางดึงแขนเสื้อของเฉิงกุย “เ้าเร่งตอบปัญหาเร็ว เหลือเพียงห้าข้อเท่านั้น พอเ้าไขได้สามสิบข้อแล้วก็ยังคงได้ไปพบราชบัณฑิตเสิ่น อย่าได้ถูกคนทำให้จิตใจว้าวุ่น อย่าบอกนะว่าเ้าจะยอมให้เ้าเฉิงชิงนั่นผูกขาดความได้เปรียบ?”
เฉิงกุยตัวสั่นเทา
หากท่านย่าล่วงรู้ถึงเื่ในคืนนี้ ย่อมผิดหวังในตัวเขาเป็แน่
ท่านย่าไม่ชอบท่านลุงใหญ่ ไม่ชอบเฉิงชิง หากเฉิงชิงมีอนาคตที่สดใส ท่านย่าย่อมไม่ยินดีแน่!
เฉิงกุยกัดฟันตั้งสมาธิ แก้ปัญหาต่อตามที่อวี๋ซานกล่าว
พอได้ไปอยู่ต่อหน้าราชบัณฑิตเสิ่น ก็จะเป็การต่อสู้ครั้งใหม่
ได้ยินมาว่าราชบัณฑิตเสิ่นรังเกียจความชั่วร้ายประหนึ่งศัตรู ปฏิบัติตนอยู่ในหลักศีลธรรม คนที่ฉวยโอกาสแก้ปัญหาสามสิบข้อเช่นเฉิงชิง ราชบัณฑิตเสิ่นย่อมไม่มีทางชื่นชอบ!
ยิ่งไปกว่านั้น คดีของลุงใหญ่เฉิงจือหย่วนก็ถูกเลื่อนยังไม่ได้ข้อยุติ ภายในงานชุมนุมวรรณกรรม ผู้ใดจะชื่นชอบเฉิงชิงกัน?
เฉิงกุยรู้สึกว่าในค่ำคืนนี้ตนยังไม่พ่ายแพ้
ท่านเสนาบดีเฒ่าที่เกษียณอายุราชการแล้วทำงานหนักมากว่าครึ่งค่อนชีวิต หลังจากลาพักก็คิดที่จะดื่มด่ำกับชีวิตอันสุขสบายในวัยไม้ใกล้ฝั่ง เรือนแยกแห่งนี้ปรับปรุงจนกว้างขวาง
ภายในเรือนแยกครึกครื้นไม่ต่างกับตรงประตูทางเข้า
ด้านนอกคือบัณฑิตธรรมดาและประชาชนทั่วไปที่มาชมความครึกครื้น ด้านในคือบัณฑิตซิ่วไฉและบัณฑิตจวี่เหริน รวมถึงแม่นางน้อยจากตระกูลผู้ดี กลุ่มบุรุษและกลุ่มสตรีที่ถูกขวางกั้นด้วยศาลากลางน้ำที่คดเคี้ยวจ้องมองกันและกัน บางคนร่ำสุราแต่งบทกวี บางคนดีดฉินร้องเพลง ความครึกครื้นภายในนี้เต็มไปด้วยความสูงสง่าและสงวนท่าที
แม้ว่าในหนึ่งปีเสนาบดีเฒ่าจะมาอาศัยอยู่ในหนานอี๋เพียงสองสามเดือน แต่บ่าวรับใช้ภายในเรือนแยกกลับได้รับการอบรมมาอย่างดียิ่ง หญิงรับใช้ที่นำทางให้เฉิงชิงเดินผ่านความครึกครื้นของเรือนแยกตรงไปยังโถงรับรองกลางสวนดอกไม้ ทั้งยังแนะนำตัวแทนเฉิงชิงว่าเป็แขกสำคัญของค่ำคืนนี้
เป็ดั่งที่เฉิงชิงคาดการณ์ไว้ ผู้ที่มามีราชบัณฑิตเสิ่น เ้าเมืองอวี๋ นายอำเภอหนานอี๋ใต้เท้าหลี่ ที่ขาดไม่ได้คือนายท่านห้าเฉิงและเมิ่งเจี้ยหยวน
อันที่จริงแล้วยามที่เฉิงชิงยังมาไม่ถึงที่นี่ เื่ที่นางทำตรงประตูทางเข้าก็ได้แพร่มาถึงเบื้องหน้าของเหล่าใต้เท้าทุกท่านแล้ว
จะทำอย่างไรได้ เฉิงชิงคือผู้ที่สามารถแก้ปัญหาสามสิบข้อตรงประตูทางเข้าได้เป็คนแรกของค่ำคืนนี้
นางยังเป็เพียงศิษย์ห้องตัวอักษรติงของสถานศึกษาหนานอี๋
นายอำเภอหลี่ลูบเคราพลางพยักหน้า “ตระกูลเฉิงนี่ล้วนแล้วแต่มีผู้มีความสามารถจริงๆ ตัวข้ารู้สึกอิจฉาท่านผู้นำตระกูลเฉิงยิ่งนัก”
นายท่านห้าเฉิงเองก็คาดไม่ถึง
เขาย่อมรู้ว่าเฉิงชิง้าที่จะมาเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม เฉิงชิงไม่เคยปิดบังความ้าของตนที่จะเข้าร่วมกลุ่มผู้มีอำนาจบารมีของหนานอี๋ งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูที่ถือเป็โอกาสอันดีเช่นนี้ เฉิงชิงไม่มีทางพลาด
แต่นายท่านห้าเฉิงกลับคิดไม่ถึงว่าหลานคนนี้จะเก่งกาจเช่นนี้
แก้ปัญหาสามสิบข้อในรวดเดียว? ไหนเลยจะเป็แค่ความโชคดี
ถึงเฉิงจือหย่วนจะไม่เคยสอนสี่ตำราห้าคัมภีร์แก่เด็กคนนี้ แต่ก็สอนอย่างอื่นให้ไม่น้อย การเล่าเรียนของเฉิงชิงจึงเบ็ดเตล็ด
ทั้งยังบริจาคเงินรางวัลครึ่งหนึ่งที่ชนะมาได้ให้แก่โรงเมตตาเด็ก ได้ยินมาว่าด้านนอกเรือนแยกเกิดกระแสบริจาคเงินขึ้นมา… นายท่านห้าเฉิงเกิดรอยยิ้มอย่างอดไม่อยู่ วิธีการนี้ช่างคุ้นเคยนัก ยามเฉิงชิงนำโลงศพของเฉิงจือหย่วนเชิญดวงิญญากลับบ้านเกิดก็ทำเช่นนี้ที่ประตูทางเข้าบ้านรอง
“ใต้เท้าหลี่ชมเกินไปแล้ว บุตรหลานภายในตระกูลหาได้เก่งกาจขนาดนั้นไม่ แค่สามารถแสดงความฉลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ใต้เท้าหลี่อย่าได้กล่าวชมต่อหน้าเขา ข้าเกรงว่าเขาจะฉลาดเพียงแค่ตอนยังเล็ก หาได้ประสบความสำเร็จตอนโตไม่”
นายท่านห้าเฉิงถ่อมตน
นายอำเภอหลี่ยัง้ากล่าวอะไรอีก ราชบัณฑิตเสิ่นก็พลันเอ่ยถาม
“เด็กหนุ่มตระกูลเฉิงผู้ที่แก้ปัญหาสามสิบข้ออีกทั้งบริจาคเงินให้แก่โรงเมตตาเด็กผู้นี้ หรือว่าจะเป็บุตรชายของนายอำเภอเจียงหนิงคนก่อน เฉิงจือหย่วน?”
สีหน้าของนายท่านห้าเฉิงแข็งทื่อเล็กน้อย
เหตุใดแม้แต่ราชบัณฑิตเสิ่นก็รู้เื่นี้ด้วย?
ในเมื่อยังไม่ได้พบเฉิงชิงก็ต้องทิ้งความประทับใจไว้หน่อย!
นายท่านห้าเฉิงยังไม่ทันได้ตอบกลับ หญิงรับใช้ก็เข้ามาในโถงกล่าวรายงาน
“เรียนใต้เท้าทุกท่าน บ่าวพานายน้อยเฉิงชิงมาแล้วเ้าค่ะ”
[1] เฟิน คือหน่วยเงินของจีน 100 เฟินเท่ากับ 1 ตำลึง
