ที่ตำหนักตระกูลจื่ออันกว้างใหญ่ ทั่วบริเวณตอนนี้ล้วนประดับไปด้วยดอกชงโค ทำให้พื้นที่ชั้นหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงนวลตา
ตำหนักตระกูลจื่อตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นบนยอดเขา ด้วยพื้นที่อันกว้างขวางภายในตำหนักทำให้ดูราวกับเป็ที่สิงสถิตของเหล่าเทพเซียน ซึ่งมีทางเดินที่ทอดตัวยาวจากูเาเข้าสู่ตำหนักดูคล้ายกับกำลังเชื่อมต่อระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน
สุดทางเดินเบื้องหน้าเป็ทางเข้าตำหนัก ซึ่งมีรูปปั้นสีม่วงทองตั้งตระหง่านอยู่ นั่นคือรูปปั้นของบรรพบุรุษตระกูลจื่อ โดยทั่วไปแล้วหากคนในตระกูลจื่อมีการแต่งงานจะต้องมีพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษเสียก่อน เพราะตำหนักแห่งนี้นับว่าเป็เขตต้องห้ามของตระกูลจื่อ ในวันแต่งงานของผู้ที่มีสายเืของตระกูลจื่อ หลังจากไหว้บรรพบุรุษแล้ว ถึงจะสามารถเข้าไปภายในตำหนักได้
ตามหนทางที่ยาวไกล ผู้คนจำนวนมากต่างทยอยเดินทางมายังตำหนักตระกูลจื่อ เมื่อมาถึงแล้วพวกเขาต่างจ้องมองรูปปั้นขนาดใหญ่ และตำหนักอันโออ่าอย่างตื่นตาตื่นใจ
ตำหนักที่อยู่บนยอดเขาแห่งนี้ ปกติแล้วจะปิดไม่ให้คนนอกเข้า แม้พวกเขาจะอยากเห็นเขตต้องห้ามของตระกูลจื่อตามข่าวลือมากแค่ไหนก็ตาม ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอยู่ดี
ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนมากได้มาถึงหน้ารูปปั้นและคุกเข่าลงทำความเคารพรูปปั้นตรงหน้าอย่างนอบน้อม
ตามทางเดินเริ่มมีผู้คนหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเหล่านี้ส่วนมากเป็สายเืของตระกูลจื่อรวมไปถึงมิตรสหายของคนตระกูลจื่อ แม้จะเป็เพียงพิธีแต่งงานอันหรูหรา แต่พิธีของตระกูลจื่อนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป เนื่องจากพวกเขาต้องไหว้บรรพบุรุษเสียก่อน ถึงจะเข้าสู่เขตต้องห้ามได้ ซึ่งไม่อนุญาตให้ใครมารบกวนหรือทำลาย ดังนั้นจึงไม่อาจเชิญชวนผู้คนเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าได้
ตอนนี้หลินเฟิงและจื่อหลิงก็มาถึงทางเดินของตำหนักแล้ว แต่หลินเฟิงยังคงสวมหน้ากากสีเงินอยู่ ซึ่งจื่อหลิงก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดหลินเฟิงถึงต้องทำเช่นนี้
“ท่านพี่จื่ออีมาแล้ว”
จื่อหลิงกล่าวขึ้นหลังจากหันไปเห็นจื่ออีกับหลินฮ่าวเจี๋ยกำลังเดินมา
“จื่อหลิง เ้ายังอยู่กับคนอย่างเขาอีกหรือ?”
จื่ออีกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าพลางขมวดคิ้วเป็ปมแน่น
หลินเฟิงเองก็มองจื่ออีเช่นกัน ั้แ่บรรลุขอบเขตผสานกับโลกแล้ว หูตาของเขาก็ยิ่งเฉียบแหลมกว่าเดิมมาก เขาััได้ว่าจื่ออีในตอนนี้แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
จื่ออี สูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว!
“ช่างเป็ผู้หญิงที่โง่เขลานัก”
หลินเฟิงส่ายหัวเล็กน้อย แค่พบเจอกันยังไม่ถึงหนึ่งวันดี จื่ออีก็ยอมมอบกายให้หลินฮ่าวเจี๋ยไปแล้ว หลินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก อย่างไรก็ตามในเมื่อเป็จื่ออีเองที่ตกลงปลงใจเองเช่นนี้ แล้วหลินเฟิงจะทำอะไรได้ เขาได้พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เช่นเดียวกับคำแนะนำที่เคยเตือนจื่ออีไป
บางทีจื่ออีคงคิดว่า หลินฮ่าวเจี๋ยอาจเป็คนที่ฟ้าลิขิตให้มาคู่กับนางก็เป็ได้
“ท่านพี่!” จื่อหลิงกล่าว “พวกเราและหลินเฟิงต่างก็เดินทางมาด้วยกัน ถึงอย่างไรเขาก็ต้องอยู่กับพวกเรา”
“จื่อหลิง เ้าไม่ควรไว้ใจคนชั่วช้าอย่างเขา เ้ากำลังถูกเขาหลอก แล้วเมื่อคืนเขาไม่ได้ทำอะไรเ้าหรือ?”
น้ำเสียงของจื่ออีในตอนนี้ทั้งหยิ่งยโสและไม่แยแสต่อสิ่งใด สถานการณ์ตรงหน้าทำให้หลินเฟิงถึงกับหมดคำพูด
ทั้งๆ ที่จื่ออีก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าจื่อหลิงแล้ว นางจะดูอ่อนแอและเกรงใจมากกว่านี้เพราะนางเป็เพียงบุตรสาวบุญธรรม แต่ตอนนี้นางกลับฝีปากกล้าขึ้นหลายมาหลายส่วน หรือนางคิดว่าตัวเองได้คบหากับหลินฮ่าวเจี๋ยแล้ว สถานะก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“ท่านพี่ ท่านว่าอะไรนะ”
จื่อหลิงอุทานด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นหลินเฟิงก็กล่าวเสียงเ็าขึ้นว่า “จื่อหลิง จื่ออี ข้าได้สัญญากับท่านพ่อของพวกเ้าว่าจะพาพวกเ้ามาที่นี่ ซึ่งตอนนี้หน้าที่ของข้าก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว นับแต่นี้ไปข้ากับพวกเ้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แม้พวกเราจะพบเจอกันที่ใดก็ตาม เราก็จะเป็แค่คนแปลกหน้าต่อกันเท่านั้น”
“อีกอย่างจื่ออี… เื่ที่ตัวเองก่อก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ข้าถือว่าเคยเตือนเ้าแล้วนะ”
หลินเฟิงทิ้งท้ายคำพูดเอาไว้ก่อนหายไปท่ามกลางฝูงชน ฉากนี้ทำให้จื่อหลิงและจื่ออีต่างประหลาดใจ
หลินเฟิงไปแล้ว?
“ท่านพี่ ท่านทำให้หลินเฟิงต้องจากไป”
จื่อหลิงกล่าวด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตามจื่ออีกลับกล่าวอย่างเ็าขึ้นมาว่า “ไปก็ดีแล้ว ไม่งั้นเ้าอาจถูกเขาหลอกได้”
ในขณะนั้นผู้คนที่มารวมตัวกันเริ่มพูดคุยเสียงดังจอแจ พวกเขามองไปยังทางเดินที่มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ผู้ที่เดินนำหน้าขบวนเป็ชายชราผมสีม่วง มีใบหน้าเคร่งขรึมและสง่าผ่าเผย คนผู้นี้ก็คือผู้นำของตระกูลจื่อนามว่าจื่ออิ่ง
ด้านหลังของจื่ออิ่งมีร่างเงาสองร่างติดตามอยู่ หนึ่งในนั้นสวมใส่เสื้อผ้าสีทอง ซึ่งคนนี้ก็คือจื่อโฉง
ข้างจื่อโฉงเป็หญิงสาวที่มีรูปร่างดูเปราะบาง นางสวมเสื้อผ้าสีม่วง และบนศรีษะสวมมงกุฎที่ทำมาจากดอกไม้ที่มีสีม่วง ช่างดูสวยสง่ายิ่งนัก
“ช่างเป็หญิงสาวที่สวยงามนัก ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็ความจริงที่ว่า ภรรยาของจื่อโฉงเป็หญิงสาวที่สวยกว่าใครในตระกูลจื่อเสียอีก แม้จะเป็จื่อเซี๋ยแห่งตระกูลจื่อก็ไม่อาจเทียบนางได้”
“นางช่างงดงามยิ่งนัก มิหนำซ้ำยังมีบุคลิกที่งามสง่า ยิ่งแต่งกายเช่นนี้ด้วยแล้ว ความงามของเธอก็โดดเด่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก จื่อโฉงนี่ช่างตาแหลมเสียจริง หากข้ามีภรรยาที่สวยงามเช่นนี้ได้ก็นับว่าโชคดีมาก ต่อให้ต้องทิ้งวิถีแห่งนักรบข้าก็ยอม”
ั์ตาของผู้คนต่างเป็ประกายเมื่อมองสาวงามเบื้องหน้า ในใจพลันเกิดความรู้สึกมากมาย สมแล้วที่เป็นายน้อยของตระกูลจื่อที่มีภรรยาผู้งดงามและเพียบพร้อมเช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก
เดิมทีพวกเขาไม่คิดว่าจื่อโฉงจะได้แต่งงานกับหญิงสาวที่สวยงามเช่นนี้ได้ แต่ความคิดของพวกเขาต้องเปลี่ยนไป เพราะหญิงสาวนางนี้เหมาะสมกับสถานะอันสูงส่งของจื่อโฉงอย่างมาก
“ช่างเป็หญิงสาวที่งดงามนัก ท่านพี่จื่ออี ดูเหมือนว่าข่าวลือจะไม่ได้พูดเกินความจริงเลยแม้แต่นิด นางสวยงามมาก สมแล้วที่เป็ภรรยาของจื่อโฉง”
ั์ตาของจื่อหลิงเปล่งประกายไปด้วยแสงสีม่วงที่สะท้อนจากบริเวณรอบๆ นางกระซิบข้างหูของจื่ออี ซึ่งหญิงงามในชุดสีม่วงที่อยู่เบื้องหน้าตอนนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจใช้คำใดๆ มาอธิบายถึงความงามพร้อมเช่นนี้ได้
หัวใจของจื่ออีเต้นระรัว แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นางเพียงหันไปมองหลินฮ่าวเจี๋ยข้างๆ และเห็นว่าสายตาของหลินฮ่าวเจี๋ยในตอนนี้กำลังมองสาวงามผู้นั้นตาไม่กะพริบ นางอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่า “พี่จื่อโฉงช่างโชคดียิ่งนัก”
เมื่อจื่ออีเห็นสายตาหลงใหลของหลินฮ่าวเจี๋ยดังนั้นแล้ว จึงทำให้นางรู้สึกหึงหวงขึ้นมา นางจึงรีบจับมือหลินฮ่าวเจี๋ยในทันที
หลินฮ่าวเจี๋ยหันมามองจื่ออีด้วยสายตานิ่งสงบ เมื่อจื่ออีเทียบกับหญิงสาวคนนั้นแล้ว จื่ออีนับว่าเป็คนหยาบคายกว่ามาก แม้กระทั่งคุณสมบัติก็ไม่อาจเทียบได้สักนิด
“จื่อโฉงกับข้าเป็สหายกัน ในเมื่อภรรยาของเขางดงามเช่นนี้ หากจื่ออีเป็ภรรยาของข้าล่ะก็ ผู้คนจะไม่หัวเราะเยาะและเยาะเย้ยเอาหรอกเหรอ”
หลินฮ่าวเจี๋ยส่ายหัวและพึมพำในใจ ขณะมองไปที่จื่ออีด้วยแววตาเ็ามากขึ้นเรื่อยๆ จื่ออีในตอนนี้ถูกเขาพรากพรหมจรรย์ไปแล้ว นางจึงไม่น่าสนใจสำหรับเขาอีกต่อไป
เมื่อเห็นแววตาของหลินฮ่าวเจี๋ยที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของจื่ออีก็หนาวเหน็บอย่างบอกไม่ถูก
“เอาล่ะ ทุกคนเงียบก่อน!”
ในขณะนั้นจื่ออิ่งพลันกล่าวขึ้น ทำให้ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ต่างเงียบเสียงลงและหันไปมองจื่ออิ่ง
“จื่อเซี๋ย เ้ามานี่”
จื่ออิ่งหันไปทางสาวน้อยนางหนึ่ง และเธอคนนั้นก็กำลังเดินมาหาจื่ออิ่ง
สาวน้อยคนนี้มีนามว่าจื่อเซี๋ย ซึ่งเป็น้องสาวของจื่อโฉง นางเป็บุตรีแห่งตระกูลจื่อ แม้ความงามจะเทียบไม่ได้กับภรรยาของจื่อโฉง แต่นางก็มีจิตใจงดงามและเป็สาวงามที่หาได้ยากนัก
“จื่อเซี๋ยแต่งกายต่างจากยามปกติแล้วยิ่งดูงดงามนัก”
หลินฮ่าวเจี๋ยพึมพำ แม้แต่จื่ออีก็เทียบนางไม่ได้
ใบหน้าของจื่ออีซีดลงเล็กน้อยขณะจ้องหลินฮ่าวเจี๋ยตาแทบถลน แต่อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะเหลียวมองนาง
“ท่านพี่!” จื่อหลิงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง นางจึงดึงมือของจื่ออีเอาไว้ แต่จื่ออียังชะงักอยู่เช่นนั้นขณะมองหลินฮ่าวเจี๋ย ทั้งที่เมื่อวานเขายังปฏิบัติต่อนางอย่างทะนุถนอมแล้วบอกว่าจะอยู่กับนางตลอดไป แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงได้เ็ากับนางอย่างนี้?
“วันนี้เป็วันแต่งงานของจื่อโฉงลูกชายข้าก็จริงอยู่!”
จื่ออิ่งกล่าวทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง แล้วประกาศต่อว่า “แต่ในขณะเดียวกัน ข้าก็้าหาคู่ให้จื่อเซี๋ยบุตรสาวของข้า ตอนนี้ชายหนุ่มอัจฉริยะที่รวมตัวกันในที่แห่งนี้ หากอยากแต่งงานกับจื่อเซี๋ยลูกสาวของข้าก็ก้าวเท้าออกมา และเผชิญกับความท้าทาย สุดท้ายแล้วหากใครชนะก็จะกลายเป็ลูกเขยของตระกูลจื่อ และสามารถเข้าเขตต้องห้ามของตระกูลจื่อได้”
พิธีแต่งงานของตระกูลจื่อนั้นช่างแปลกประหลาด ผู้คนต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี หลังจากนั้นคู่บ่าวสาวจะต้องไหว้บรรพบุรุษเสียก่อน ถึงจะเข้าสู่เขตต้องห้ามของตระกูลจื่อได้ หลังจากออกมาแล้วพวกเขาก็จะเป็สามีภรรยาอย่างเป็ทางการ
กล่าวกันว่าเขตต้องห้ามของตระกูลจื่อ เ้าสาวจะได้สิทธิให้เข้าไปในนั้นได้
ดังนั้นเมื่อจื่ออิ่งกล่าวจบ ผู้คนมากมายต่างตกตะลึง เข้าสู่เขตต้องห้ามของตระกูลจื่อ?
แต่สิ่งที่ควรต้องรู้คือ ตามกฎของตระกูลจื่อแล้ว มีเพียงบุรุษที่มีสายเืโดยตรงเท่านั้นถึงสามารถเข้าสู่เขตต้องห้ามของตระกูลจื่อได้ ส่วนบุตรีและลูกเขยล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่เขตต้องห้าม ซึ่งนี่น่าจะเป็ประเพณีที่สืบทอดกันมา ทว่าในครั้งนี้ ตระกูลจื่อกลับทำลายกฎลงนี้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมผู้คนถึงได้ออกอาการตกตะลึงกันเช่นนี้
ดวงตาของชายหนุ่มอัจฉริยะในบริเวณนี้ต่างฉายประกายตื่นเต้นออกมา ซึ่งหลินฮ่าวเจี๋ยก็เป็หนึ่งในนั้นด้วย!
ขณะนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นว่าท่ามกลางฝูงชนในตอนนี้ ได้มีชายหนุ่มสวมหน้ากากสีเงินกำลังมองหญิงสาวในข่าวลือนางนั้นด้วยแววตาอันแหลมคม เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปถอดหน้ากากลงและก้าวไปข้างหน้าช้าๆ
หญิงสาวที่กำลังจะแต่งงานกับจื่อโฉงนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็ต้วนซินเยี่ย ซึ่งเป็องค์หญิงแห่งเสวี่ยเยว่
ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ดวงตาของต้วนซินเยี่ยนั้นในยามนี้ มันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอันดำมืด
ก่อนหน้านี้ตระกูลจื่อบีบบังคับต้วนซิยเยี่ยมาโดยตลอด ถ้าเธอไม่ยอมแต่งงานกับจื่อฉงและเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามกับเขาล่ะก็ เมื่อนั้นจื่อฉงจะพรากความบริสุทธิ์ไปจากนาง นางจึงจำเป็ต้องตอบรับการแต่งงานจากเขา จึงได้ทำข้อตกลงกับตระกูลจื่อภายใต้เงื่อนไขว่า ห้ามให้จื่อโฉงหรือใครก็ตามแตะต้องตัวนางเด็ดขาด แต่ถ้านางกับจื่อโฉงได้เข้าสู่เขตต้องห้ามไปแล้ว นางก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น!
หากเป็เช่นนั้น นางควรทำอย่างไรต่อไป?