เมื่อรู้ว่าเป็ท่านอ๋องที่วางแผนช่วยเหลือ ทำให้ไป๋มู่เข้ามาในที่แห่งนี้ได้ ฉินข่ายจึงถามด้วยความสงสัย “จ้านหวัง?”
ไป๋มู่รีบใช้เวลานี้บอกจุดประสงค์ทั้งหมดโดยพลัน “ท่านอ๋องรับรู้ความรู้สึกของข้ากับเ้า หลังจากข้าขอร้องท่าน ท่านอ๋องก็ให้ข้ามาพบเ้าทันที อีกทั้งยังยินยอมที่จะช่วยเหลือข้าให้ช่วยพาเ้าออกไป”
“ช่วยข้า? จะช่วยข้าได้อย่างไร แล้วเหตุใดถึงช่วยข้า?”
สถานการณ์ปัจจุบันช่างตึงเครียด ตระกูลฉินและองค์ชายห้า อีกทั้ง…แม้กระทั่งฉินข่ายยังรู้ดีว่าท่านอ๋องไม่มีทางช่วยเหลือเขาโดยไร้เหตุผลแน่
“เจ๋อิ ที่ท่านอ๋องช่วยเป็พยานให้บิดาเ้า…”
“ข้ารู้!”
ไป๋มู่ไม่อยากให้ฉินข่ายเข้าใจอวี้ฉู่จาวผิด แต่เมื่อครู่พอกำลังจะอธิบายกลับถูกเขาเอ่ยตัดบทขึ้นมา
ฉินข่ายย่อมรู้ดี ท่านอ๋องแค่เข้าไปเพื่อเป็พยานและเอ่ยเพียงประโยคเดียวเท่านั้น สิ่งที่กล่าวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
เพียงแต่...คนที่ทำให้ทุกอย่างเป็เช่นนี้คือบิดาของเขา
เนื่องจากฉินข่ายเข้าใจเื่นี้ดีอยู่แล้ว ไป๋มู่จึงได้กล่าวต่อ “ท่านอ๋องเป็คนซื่อสัตย์และจริงใจ พอข้าขอร้อง ท่านก็ยินยอมที่จะช่วยเหลือ”กล่าวมาถึงตรงนี้ไป๋มู่พลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แต่มีข้อแม้…”
ในใจของฉินข่ายคิด ‘ว่าแล้วเชียว!’
ไป๋มู่เห็นท่าทีของฉินข่ายก็รู้ได้ทันทีว่าฉินข่ายต้องกำลังคิดว่าอวี้ฉู่จาวคุกคามอะไรเขาแน่นอน จึงรีบเอ่ย “สถานะของท่านอ๋องค่อนข้างสูง แน่นอนว่าจะทำการใดต้องไตร่ตรองให้ดี เ้าเป็คนของตระกูลฉิน ท่านอ๋องจึงขอให้ข้าโน้มน้าวเ้า อย่าได้กลับไปตระกูลฉินอีกเป็พอ ตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับจวนตระกูลฉินเสียแล้วมาอยู่กับข้า ท่านถึงพร้อมที่จะช่วยเหลือเ้า”
ฉินข่ายต้องตกตะลึงอีกครั้ง
เหตุใดสิ่งที่ท่านอ๋องขอถึงได้ง่ายดายเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไร หากเขาได้ออกไปก็จะไม่มีวันกลับไปที่ตระกูลฉินอีกอย่างแน่นอน และการตัดความสัมพันธ์กับตระกูลฉิน เื่นี้เป็สิ่งที่เขาตั้งใจจะทำอยู่แล้ว
“แล้วก็ตอนนี้ การค้าตงเยวี่ยของตระกูลฉินตกอยู่ในมือท่านอ๋อง พอเ้าออกจากที่นี่ พวกเราจะไปตงเยวี่ยกัน หนทางนี้พร้อมมอบให้เ้า พวกเราทั้งสองคนจะคอยช่วยเหลือกัน”
“จริงหรือ! ท่านอ๋องตรัสเช่นนั้นจริงหรือ ท่านเชื่อในตัวข้าเช่นนั้นเชียว?” ฉินข่ายรู้สึกลังเล อยากรู้ว่าอวี้ฉู่จาวกำลังคิดอะไรกันแน่
“ข้าบอกเ้าแล้ว ท่านอ๋องเป็คนซื่อสัตย์และจริงใจ ท่านเชื่อในตัวข้าและเชื่อในตัวเ้าด้วย”
ครู่ต่อมาฉินข่ายครุ่นคิด พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แน่นอนว่าเื่นี้เขาต้องตอบตกลงเป็แน่ เพราะเขาไม่มีทางทอดทิ้งมู่เอ๋อร์
อีกฝ่ายคือสิ่งล้ำค่าเพียงสิ่งเดียวในชีวิต
ฉินข่ายมองไป๋มู่ก่อนลูบใบหน้าน้อย “ขอบใจเ้ามากไป๋มู่ เ้าได้ให้ชีวิตครั้งที่สองกับข้า เ้าไปกราบทูลท่านอ๋อง ให้ท่านวางใจได้เลย หากออกไปได้ ข้าฉินข่ายจะจงรักภักดีต่อท่านอ๋องจวบจนชีวิตหาไม่”
ฉินข่ายให้คำมั่นสัญญา ไป๋มู่จึงดีใจเป็อย่างมาก
ระหว่างพวกเขาจะไม่มีอะไรมาขัดขวางอีก ต่อไปนี้ พวกเขาจะจงรักภักดีต่อผู้เป็นาย เดินร่วมทางไปด้วยกัน ไม่พรากจากตลอดไป
………
ณ จวนต้าหม่า บ้านของหรงจิ่งในถนนจูเชวี่ยแห่งเมืองอวี้อัน
“เขาพูดเช่นนั้นจริงหรือ?”
หรงจิ่งหยิบแก้วชาขึ้น มองไปทางไป๋มู่ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าก่อนเอ่ยถาม
“ใช่ขอรับนายท่านหรง ฉินข่ายตอบตกลงแล้ว เขาซาบซึ้งในความเมตตาของท่านอ๋อง เต็มใจที่จะจงรักภักดีต่อท่านอ๋องขอรับ”
“เป็เช่นนั้นก็ดี” หรงจิ่งรู้ดีว่าฉินข่ายต้องเลือกทำเช่นนี้ จึงไม่ได้สงสัยนัก
อันที่จริงแล้ว ฉินข่ายเป็คนมีคุณธรรม ตัวเขาเองก็คงรู้สึกผิดหวังกับตระกูลฉินมานานแล้วกระมัง
“เช่นนั้นมู่เอ๋อร์ เ้ารอก่อนเถิด รอให้ผ่านไปสักเดือนสองเดือน ให้เื่ของตระกูลฉินคลี่คลายลง พวกเราค่อยช่วยฉินข่ายออกมา ส่วนป้ายชื่อนี้เ้าเก็บเอาไว้ก่อน” หรงจิ่งยื่นป้ายตราทหารรักษาพระองค์ให้ไป๋มู่แล้วเอ่ยขึ้นอีก “่เวลานี้เ้าไปเยี่ยมเขาได้ ไปส่งของต่างๆ ก็ย่อมได้ แต่…อย่าให้ใครสงสัยล่ะ”
ไป๋มู่รับป้ายตรานั้นมา ในใจเต็มไปด้วยความยินดีก่อนพยักหน้ารับ “ขอรับ มู่เอ๋อร์ทราบแล้ว นายท่านหรงได้โปรดวางใจ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของไป๋มู่ หรงจิ่งจึงกล่าวขึ้นมาด้วยความเอ็นดู “เ้าเด็กโง่มู่เอ๋อร์ เ้านั่นหลอกให้เ้าตายใจได้โดยง่ายเช่นนี้เชียวหรือ?”
“เขาดีต่อข้ามากขอรับ” ไป๋มู่ก้มหน้าลงพร้อมตอบ
หรงจิ่งระบายยิ้มพลางเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
ไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไร ทว่า แววตาช่างลึกซึ้งราวกับผืนน้ำ “เป็เด็กหนุ่มนี่มันดีจริงเชียว”
คนที่รักอยู่เบื้องหน้า กล้าที่จะรักและกล้าที่จะโกรธ ช่างดูมีความสุขเสียจริง
ไป๋มู่ไม่รู้ว่านายท่านหรงถอนหายใจด้วยเื่อะไร แต่ก็อยากจะบอกออกไปเหลือเกิน ‘ตอนนี้นายท่านหรงก็ไม่ได้แก่เสียหน่อย ถึงจะบอกว่านายท่านหรงเป็คนเก็บเขามาเลี้ยงจนเติบใหญ่ แต่เวลานั้นนายท่านหรงก็อายุแค่สิบกว่าปีเท่านั้นเอง’
ไม่มีใครเข้าใจความในใจของหรงจิ่ง เขาเป็คนเฉลียวฉลาดมากด้วยความสามารถ อายุของสติปัญญาแน่นอนว่าไม่น้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นจะต่อกรกับเหล่าจิ้งจอกในราชสำนักได้อย่างไร
.........
หลังจากงานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้ผ่านพ้น ชีวิตของหลินหร่านกับอวี้ฉู่จาวก็กลับมาปกติสุขอีกครั้ง
รุ่งเช้าวันหนึ่ง
อวี้ฉู่จาวลืมตาขึ้นมาก็พบว่าด้านนอกสว่างแล้ว หลินหร่านยังคงซุกตัวนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา
อวี้ฉู่จาวกระชับอ้อมกอด ให้หลินหร่านเข้ามาใกล้ตนเองมากขึ้นแล้วประทับจูบที่หน้าผากมน ก่อนจุมพิตแ่เบาบนริมฝีปาก
หลินหร่านรับรู้ถึงการกระทำของท่านอ๋อง เขางัวเงียตื่นขึ้นมา รับรู้ว่าท่านอ๋องจะไปว่าราชการยามเช้าตามเดิม
ด้วยความเคยชิน เขาจึงขยับตัวเข้าไปใกล้อวี้ฉู่จาวมากขึ้น หลับตาลงพร้อมเงยหน้า ก่อนที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจะแตะใบหน้าของท่านอ๋อง บรรจงจูบที่ริมฝีปาก “ท่านอ๋องรีบกลับมานะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ท่าทีราวกับแมวน้อยที่เข้ามาออดอ้อนเช่นนี้ทำเอาอวี้ฉู่จาวแทบใจละลาย
เขาลูบหัวหลินหร่านเบาๆ ซึ่งต้องใช้ความพยายามเป็อย่างมากถึงจะผละตัวลุกขึ้นจากเตียงได้
วันนี้คือวันที่จางเหยียนนำทัพทหารร่วมหมื่นนายกลับมายังราชสำนัก
ราวหนึ่งเดือนก่อน หลังจากอวี้ฉู่จาวเสนอความเห็น ฮ่องเต้ฉงเต๋อจึงได้มีพระบรมาานุญาต ให้จางเหยียนนำทัพเข้าโจมตีรังของชาวซยงหนู
ใช้เวลาร่วมสามเดือน จางเหยียนนำทัพทหารกว่าหมื่นนายขับไล่ชาวซยงหนูออกจากแผ่นดินต้าอวี้ อีกทั้งยังทำลายรังของชาวซยงหนูจนราบคาบ
เมื่อกุดหัวของตาเฒ่าเค่อหานเรียบร้อย ถึงจะนับว่าได้รับชัยชนะอย่างแท้จริง
อย่างน้อยใน่สิบปีนี้ ต้าอวี้คงได้อยู่อย่างสงบสุขเพราะชาวชยงหนูคงไม่กล้าเข้ามารุกรานต้าอวี้อีกนาน
“แม่ทัพซวนเจิงเป่ย จางเหยียนเข้าเฝ้าฮ่องเต้”
หลี่ิลู่ะโเสียงสูงดังกึกก้องราชสำนัก
ทันใดนั้น เหล่าข้าหลวงและนายทหารต่างพากันมองไปทางประตูใหญ่ของท้องพระโรง
“แม่ทัพเจิงเป่ย” นี่เป็พระราชโองการของฮ่องเต้ฉงเต๋อหลังจากได้รับราชสาส์นครั้งสุดท้ายจากจางเหยียน จึงได้ทำการมอบตำแหน่งให้เขาเพื่อเป็รางวัล
หลังจากนั้นไม่นานก็มีชายในชุดเกราะสีเงินเดินเข้ามาในท้องพระโรง ใบหน้าคมคล้ายกับมีด ช่างดูหล่อเหลา
“กระหม่อมจางเหยียน ถวายบังคมฮ่องเต้”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อระบายยิ้มด้วยท่าทีพึงพอใจ เพราะนี่คือคนที่พระองค์ได้แต่งตั้งขึ้นมา
“เ้าลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าา”
“เ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ไม่ได้าเ็ใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ฉงเต๋อแสดงท่าทีใส่ใจจางเหยียนยิ่งนัก
“ขอบพระทัยฝ่าาที่ทรงห่วงใย กระหม่อมเป็ขุนศึก การออกรบคือหน้าที่ การาเ็คือเื่ที่พบเจอ นับเป็เื่ปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
“หากไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงก็ดี เช่นนั้นเ้าเล่าถึงเหตุการณ์่ทำศึกกับชาวซยงหนูให้ข้าและเหล่าขุนนางได้รับรู้เถิดว่าชาวซยงหนูป่าเถื่อนเพียงใด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้น จางเหยียนจึงได้เล่าเหตุการณ์ในสนามรบ
ในประวัติศาสตร์ ชาวซยงหนูถือเป็ชนเผ่าป่าเถื่อนชนเผ่าหนึ่ง ทำการเลี้ยงสัตว์เป็หลัก ่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วงนับว่ายังดี แต่หากเข้าสู่่ฤดูหนาวแล้ว พวกเขามักพบเจอกับภัยธรรมชาติต่างๆ
เื่นี้เท่ากับเป็การบีบบังคับให้นำมาสู่การปล้น
ครั้งนี้ก็เป็เพราะชาวซยงหนูต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ ไม่มีอาหารและหญ้าเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเลี้ยงดูคนในชนเผ่าให้อยู่รอดจนผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้ จึงได้รุกล้ำเข้ามาโจมตีต้าอวี้
เริ่มจากเผา เข่นฆ่าและปล้นสะดม ผู้คนในเขตชายแดนมากมายถูกสังหาร ผู้หญิงและเด็กต้องสังเวยชีวิตให้กับคมดาบของพวกเขา เป็เื่ราวที่ชวนให้โกรธชังต่อพวกเขายิ่งนัก
จางเหยียนเอ่ยถึงเื่นี้ทีไรก็รู้สึกไม่สบายใจทุกครั้ง เพราะครั้งหนึ่ง เขาได้เห็นกับตาว่าคนเถื่อนเ่าั้แทงมีดเข้าไปในกะโหลกของทารกที่ยังอยู่ในห่อผ้า เหตุผลของพวกเขามีเพียงแค่้าแย่งชิงเสื้อคลุมผ้าฝ้ายจากเด็กคนนั้นเท่านั้น
ถึงแม้ภรรยาและลูกหลานของชาวซยงหนูอาจ้าสิ่งเ่าั้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาจะมาเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เช่นนี้
-----------------------------------------------------------
